เรื่องสั้น : ก็แค่วันอาทิตย์ธรรมดา
|
|
ก็แค่วันอาทิตย์ธรรมดา จะผิดแผกไปก็แต่แค่มันเป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า อาจจะมีปีไหนสักปีในวันข้างหน้าที่ ๑๔ กุมภาพันธ์จะตรงกับวันอาทิตย์ เพราะนอกจากวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์จะถูกมัดมือชกให้เป็นวันแห่งความรักที่น่ารื่นรมย์แล้ว บางปีวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ก็ยังตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา นั่นก็คือวันมาฆบูชา และบางปีก็ยังตรงกับเทศกาลสำคัญของเชื้อชาติ นั่นก็คือตรุษจีน เพราะฉะนั้น ๑๔ กุมภาพันธ์ ก็นับว่าเป็นวันสำคัญที่น่าสนใจอีกวันหนึ่งเหมือนกัน
วันอาทิตย์ ธรรมดาที่ไม่มีกระทั่งเสียงปืนจากสนามซ้อมยิงปืนใกล้บ้านให้ได้ยิน เหมือนเคยชินทุกวันอาทิตย์ หรือเพราะนักแม่นปืนเหล่านั้นไปฉลองวันแห่งความรักกับคนรักเสียแล้วก็ไม่รู้ วันนี้เลยเดาไม่ถูกเลยว่ามือปืนเหล่านั้น อารมณ์ไหน.... บางวันเสียงปืนจะดังติดกันอย่างกระชั้น ทำให้แอบนึกในใจว่า ถ้าไม่โกรธใครมา ก็คงเป็นมืออาชีพที่ไม่ต้องเสียเวลาเล็งเป้านานๆ หรือถ้าวันไหนได้ยินทีละนัด เว้นระยะห่างกันหลายวินาที ถ้าไม่ใจเย็นมากก็คงจะมือใหม่มาก.... แต่ก็อีกนั่นแหละ มันเป็นเพียงความคาดเดาเอาจากเสียงที่ได้ยิน ซึ่งนั่นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้
วันอาทิตย์ที่ยังมีใครอีกหลายคนยังต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีวิตของคน ทั้งครอบครัว วันที่อีกบางคนต้องเดินลาดตระเวณท่ามกลางแสงแดดที่อบอ้าวเพื่อรักษาอธิปไตย ของชาติตามแนวตะเข็บชายแดน วันที่คนขับรถเมล์ยังต้องรับส่งผู้โดยสารเวียนวนอยู่อย่างนั้น วันเดียวกันกับที่ซาเล้งเก็บของเก่ายังค้น คุ้ยถังขยะอย่างหวังใจว่าจะมีอะไรให้เก็บไปขายได้บ้าง ขณะกับที่อีกบางคนควักกระเป๋าเพื่อกุหลาบสีแดงสดอุดมไปด้วยสารเคมีในราคา ร้อยห้าสิบบาทต่อดอก เพื่อมอบเป็นกำนัลสำหรับหญิงสาวแก้มใสในห้วงวัยที่ร้อยละของความรัก มีมากกว่าความรับผิดชอบในชีวิต
และเพราะเป็นวันอาทิตย์ที่เงียบผิด ปกติ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการฆ่าเวลาให้สมศักดิ์ศรีกับที่มีเวลาเป็นของตัว เองอย่างเหลือเฟือในวันหยุดแบบนี้ อากาศที่ร้อนอบอ้าว กับความเงียบที่ทำให้รู้สึกเหงาแปลกๆ ทำให้ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวและออกจากบ้านไปที่ไหนสักแห่งที่อาจจะไม่เงียบ เหงามากเท่ากับการอยู่บ้านในวันอาทิตย์...
มีรถเมล์หลายประเภทที่วิ่งอยู่บนท้องถนนกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์หวานเย็น รถเมล์ตีนผี รถเมล์นักเลงช่างกล รถเมล์อารมณ์ดี และรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน (ที่ถูกเจียดมาหลังจากที่อิ่มกันแล้ว) วันนี้ควรเป็นวันอาทิตย์ที่อารมณ์ดี จึงเลือกรอรถเมล์ที่เทียบป้ายอย่างสุภาพ รอจนกว่าคนขึ้นหมดแล้วค่อยออกรถ และไม่ได้สนใจมากมายว่ารถเมล์คนนั้นปลายทางอยู่ที่ไหน...
กระเป๋ารถเมล์เป็นหญิงกลางคน เดินถือกระบอกตั๋วมาใกล้ๆ หากเป็นรถเมล์ตีนผี หรือรถเมล์ช่างกล กระเป๋าจะเป็นผู้ชายวัยรุ่นเดินหนีบกระบอกตั๋วเป็นเสียงดังเพื่อเตือนให้ผู้ โดยสารรู้ว่าต้องจ่ายค่าโดยสาร พร้อมแหกปากตะโกนลั่นรถว่าชิดในหน่อยพี่ ทั้งที่บางทีก็ไม่มีที่จะให้ชิด แต่การเดินทางวันอาทิตย์ธรรมดาวันนี้ไม่มีเสียงตะโกนให้ชิดในเพราะทุกคนมี ที่นั่ง และยังไม่มีใครต้องยืน
รถเมล์วิ่งมาได้ไม่ไกลนักก็จอดที่ป้าย คนที่ขึ้นมามีเพียงคนเดียว เขามองซ้ายขวาเพื่อเลือกตำแหน่งที่จะนั่ง และเพราะทั้งรถเหลือที่นั่งเพียงที่เดียวคือที่ข้างๆ เขานั่งลง เบี่ยงเป้จากหลังมาวางบนตัก ควักกระเป๋าเงินเพื่อจ่ายค่ารถเมล์ กระเป๋ารถเมล์หญิงยืนรอเขาหาเศษเหรียญเพื่อจ่ายค่าโดยสาร
“เอ่อขอโทษนะครับผมมีแบงค์ห้าร้อย” เขายื่นเงินที่ดูจะมีมูลค่าน้อยที่สุดในกระเป๋าให้เธอ
“ไม่มีเศษเหรียญเลยเหรอ”
“มีครับ แต่ว่ามันไม่พอ...มีแค่หกบาทห้าสิบสตางค์”
“ไม่มีทอนหรอก แบงค์ห้าร้อยน่ะ ลงป้ายหน้าก็แล้วกัน” กระเป๋า รถเมล์แนะ อย่างน้อยเธอก็ไม่อารมณ์เสีย หรือหงุดหงิดใส่ผู้โดยสาร เพราะหากเป็นบางคนก็คงย้อนกลับแล้วว่า “ทำไมไม่เตรียมเงินให้พร้อม ถ้ารู้ว่าต้องขึ้นรถเมล์”
“ครับ...” เขารับคำอย่างว่าง่าย
“เอ่อ ขาดอีกเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้” กระเป๋ารถเมล์หญิงบอกจำนวนที่เงินที่ยังขาดอยู่และฉีกตั๋วยื่นให้พร้อมรับเงินทั้งหมดแล้วเดินจากไป
การ อยู่ในเหตุการณ์แบบนั้น และเงินอีกไม่กี่บาทอาจทำให้เขากลับถึงบ้านได้เร็วขึ้น บางทีอาจมีคนรอเขาอยู่ บางทีคนรักของเขาอาจจะรออยู่หน้าโรงหนัง หรืออาจจะหิวท้องกิ่วรอเขา หรือบางทีอาจจะมีใครป่วยที่โรงพยาบาลและเขาต้องไปเยี่ยมไข้คนคนนั้น
“ขอบคุณครับ เอ่อ... มีทอนมั้ย” เขายื่นเงินห้าร้อยบาทมาให้
“ทอนสี่ร้อยเก้าสิบเจ็ดบาทเนี่ยนะ”
“ก็....”
“สามบาท ไม่ต้องก็ได้มั้ง”
“งั้นก็ขอบคุณมากๆ จริงๆ นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียวเอง”
“แต่ว่าเราไม่รู้จักกันสักหน่อยนี่ครับ”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่... ก็เธอไม่มีจริงๆ นี่นา”
“อืมๆ... งั้นก็ขอบคุณมาก” และ ความเงียบก็เข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างเรา ซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้วที่ว่าคนไม่รู้จักกัน จะให้สนทนาอะไรกันมากไปกว่าประโยคสั้นๆ ครั้นจะถามว่าจะไปไหน สบายดีมั้ย กินข้าวหรือยังก็ดูจะไม่ใช่วิสัยของคนสมัยนี้เท่าไหร่นัก ความห่างเหินด้วยสภาวะสังคมทำให้เกิดความเหินห่างโดยไม่ตั้งใจ แม้จะไม่มีความระแวดระวังแต่ก็ไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจในคนแปลกหน้า หรือคนที่ไม่ได้รู้จักคุ้นเคย บางครั้งแม้กระทั่งเดินชนไหล่ คำว่าขอโทษยังไม่หลุดออกมาให้ได้ยิน...
“ไปไหนครับ”
“หือ...อะไรนะ” คำถามที่ชวนแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะไม่คิดว่าจะมีคนบนรถเมล์ที่เพียงแค่นั่งข้างกันแล้วอยากรู้ว่าคนนั่งข้างๆ จะไปไหน
“คุณจะไปไหนเหรอครับ”
“เอ่อ... ไม่รู้เหมือนกัน นั่งรถเล่น”
“อะไรนะครับ”
“นั่งรถเล่น”
“วันนี้เนี่ยนะ”
“ก็...วันนี้น่ะสิ ทำไมเหรอ”
“แปลกดี”
“ไม่เห็นแปลก ก็มีเวลาเหลือจนไม่รู้จะทำอะไรเลยมานั่งรถเล่น แค่นั้นเอง”
“ไม่ไปดูหนังล่ะครับ”
“เออ นั่นสิ... เข้าท่าดีเหมือนกัน งั้นคำถามเมื่อกี้ที่เธอถามว่าไปไหน เราตอบว่า ไปดูหนัง นะ”
“ฮ่ะๆ ครับ ไปดูหนังเหมือนผม”
“อ้าว เธอก็จะไปดูหนังเหมือนกันเหรอ”
“ครับ ผมเพิ่งเลิกงานและยังไม่อยากกลับบ้านก็เลยจะไปดูหนังก่อนน่ะ”
“เพิ่งจะเที่ยงเอง เลิกงานแล้วเหรอ”
“วันนี้ทำครึ่งวันครับ”
“อืมๆ”
“ไปดูด้วยกันมั้ยล่ะครับ” แต่ก็ยังไม่ทันได้ตอบคำถามนั้น รถเมล์ถึงป้าย เราจึงลงมาด้วยกันทั้งคู่
“ดูหนังกับคนแปลกหน้าเนี่ยนะ”
“ในโรงหนัง คนอื่นที่ไปดูก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกันทั้งนั้น”
“จริงด้วยสินะ เราเองก็ไม่ได้รู้จักใครในโรงหนังสักหน่อย นั่งข้างกันไม่ได้หมายความว่าจะมาด้วยกันเสมอไปนี่นะ”
“ผมจ่ายค่าตั๋วหนังให้นะ”
“เอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก เธอจะจ่ายทำไมเราไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย”
“ตอบแทนครับ... เรื่องค่าตั๋วรถเมล์ คุณอาจจะมองเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ผมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับน้ำใจ เพราะจะมีคนสักกี่คนที่ขึ้นมาบนรถเมล์ นั่งข้างกันแล้วควักเงินจ่ายให้คนอื่นทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันเลย ผมขึ้นรถเมล์อีกสักร้อยครั้งก็อาจจะไม่มีใครทำแบบนี้กับผมก็ได้”
วัน อาทิตย์ธรรมดาที่มีหนังให้เลือกดูเข้ากับเทศกาลวันแห่งความรัก แต่เราก็เลือกดูเรื่องที่กำลังเข้าฉายพอดี โดยไม่มีเงื่อนไขว่าทำไม อาจจะเพราะต่างก็ต้องการเพียงใช้เวลาให้หมดวันไป เลยไม่ได้ใส่ใจนักว่าจะต้องเป็นหนังที่เข้ากับเทศกาล หนังที่เพิ่งเข้า หรือหนังที่ใครๆ เล่าว่าต้องดู และเราทั้งคู่ลงความเห็นว่าจะดู “แอร์ดอลล์” ทั้งที่ต่างก็ไม่มีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับแอร์ดอลล์ กระทั่งหนังจบ...
จากคุณ |
:
ดาริกามณี
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ก.พ. 53 13:05:19
|
|
|
|