 |
...ท่องแดนพุทธภูมิ...
|
|
ท่องแดนพุทธภูมิ... บทที่ ๑
เคยแวะพักแรมที่นิวเดลีแค่ข้ามคืนเมื่อหลายปีก่อน ไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรจึงได้แต่อาฆาตไว้ในใจว่าสักวันหนึ่ง จะต้องกลับมาเยือนชมพูทวีปดินแดนของพระเจ้าแห่งนี้ให้ได้
ด้วยเครื่องบินแอร์พม่า คณะของเราจึงลัดฟ้าถึงพุทธยา ยามที่ท้องฟ้ากำลังเบิกอรุณ ของวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เวลาที่นี่เร็วกว่าไทย ๑.๓๐ ชม. ผมงัวเงียสะพายกระเป๋าลงจากเครื่อง ไปที่เค้าน์เตอร์เช็คอิน เห็นนักแสวงบุญชาวไทยหลายกลุ่มหลายเหล่า ดูเหมือนว่าทุกคนมาด้วยแรงศรัทธา ส่วนศรัทธาที่กำลังแสวงหานั้น...คำตอบรอพวกเราอยู่ เราพักที่โรงแรมใกล้กับโพธิมณฑลหรือมหาโพธิวิหารหรือพุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่เดินด้วยเท้าเปล่าก็ถึง หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ รวมพลชุดขาวเดินฝ่ารถรา ฝูงชนแออัดไปที่พุทธมณฑล จ่ายค่าด่านค่าฝากรองเท้าแล้ว เดินเท้าเปล่าเข้าไปไกลพอควร เหมือนจะทดสอบเท้าว่าใครจะทนร้อนหรือจะดำเปื้อนกันได้แค่ไหน แสงแดดเจิดจ้ามองเห็นองค์พระเจดีย์สูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ภาพชาวพุทธต่างเชื้อชาตินั่งสวดมนต์ บ้างเดินจงกรม บ้างก็นั่งวิปัสสนา ภายใต้เงาของเจดีย์และต้นโพธิ์อันร่มรื่น ทำให้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่แห่งศรัทธาได้ เราเดินเข้าไปในมหาโพธิวิหารเพื่อนมัสการหลวงพ่อพุทธเมตตา ถวายเครื่องสักการะและผ้าคลุมองค์ที่เตรียมมาจากเมืองไทย นั่งชมพระพุทธรูปอันเปล่งปลั่งเหลืองทองอร่าม พระพักตร์อิ่มเอิบรูปปางมารวิชัย พระพุทธเมตตาองค์นี้มีอายุราว ๑.๔๐๐ ปี ท่านเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าขณะประทับตรัสรู้ อันมีพระแท่นวัชรอาสน์ประดิษฐานอยู่ระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์กับวิหารพระเจดีย์มหาโพธิ์ เบื้องหน้าทางทิศตะวันออกหันสู่แม่น้ำเนรัญชรา เสร็จแล้วเราเดินอ้อมวิหารไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ์ แหงนคอตั้งมองกิ่งก้านสาขาที่ปกคลุมร่มเย็น ลำต้นพระศรีมหาโพธิ์ถูกล้อมคอกด้วยเสาคอนกรีตมั่นคง เอื้อมมือไม่ถึง รอบต้นถูกผูกโยงไปด้วยผ้าหลากสีสัน ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นพันธุ์แท้รุ่นที่ ๔ มีอายุราว ๑๒๘ ปี ผู้คนมากมายทั้งนั่ง ทั้งเดินสวดมนต์เป็นกลุ่มรอบวิหารรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์ คณะของเราติดผ้าหลากสีเป็นทางยาวแล้วเดินสวดมนต์ ๓ รอบ ก่อนที่จะเดินชมรอบปริมณฑล ได้เวลาพอสมควรจึงเดินทางกลับ นัดกันว่าคืนนี้จะมานั่งวิปัสสนา และคาดหวังจะเก็บได้ใบศรีมหาโพธิ์ที่ทุกคนใฝ่หานี้กลับมาบูชาให้ได้
เช้าวันรุ่งขึ้นคณะของเรานั่งรถบัส ๒ คันมุ่งสู่เมืองราชคฤห์ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว ๘๒ กม. เพื่อนมัสการพระคันธกุฎิที่ประทับจำพรรษาของพระพุทธเจ้าบนยอดเขาคิชฌกูฏซึ่งแปลว่า เขาพญาแร้ง ชมถ้ำสุกรขาตาที่พระสารีบุตรเถระบรรลุอรหันต์ สถานที่พระเทวทัตกลิ้งหินเพื่อประทุษร้ายพระพุทธองค์ สถานที่คุมขังพระเจ้าพิมพิสาร สถานที่พระพุทธองค์แสดงพระโอวาทปาฏิโมกข์กับพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป ที่มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย เส้นทางไปเขาคิชฌกูฏแคบคดเคี้ยว เป็นหลุมเป็นบ่อ ควันฝุ่นละอองคละคลุ้งจนมองแทบไม่เห็นทาง พวกเรานั่งยอกหน้ายอกหลังเมื่อยล้าไปตามๆกัน เมื่อมาถึงทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ แหงนมองยอดเขาสูงตามทางลาดชันแล้วอ่อนใจ หลวงพ่อบอกว่าเดินเท้าต้องใช้เวลา ๒๐ นาที มีบางท่านจ้างแขกแบกหาม เขาใช้ไม้ไผ่ลำโต ผูกผ้าเหมือนเปลนอน หามคนละข้าง ผู้โดยสารนั่งได้คนเดียวกระเตงกันขึ้นไป พวกเราส่วนมากขอเดิน เสียงกระตุ้นว่าต้องอดทน มาด้วยศรัทธาต้องไปด้วยแรงศรัทธา ผ่านขอทานที่นั่งเรียงรายตามทางเดิน นึกภูมิใจอยู่นิดๆเมื่อได้ยินเสียงเรียก มหาราชา
มหารานี กันเป็นระยะ
...องค์พระพุทธเมตตา..
จากคุณ |
:
นักแต้ม
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ก.พ. 53 12:03:24
|
|
|
|  |