Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ขอเวลาเพียงสามวันแล้วฉันจะไปเกิดใหม่  

ผมมีเวลาแค่สามวันเท่านั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป สามวัน... และก็เป็นแค่เพียงสามคืนเท่านั้นที่ชีวิตผมจะได้หลับตาลงพร้อมบันทึกสิ่งสวยงามที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโลกหม่นๆ ใบนี้

โลกหม่นๆ เต็มไปด้วยฝุ่นลูกรังสีส้มลอยคละคลุ้งอยู่รายรอบรถสองแถวเสียงดังวิ่งช้าที่ผมอาศัยนั่งมาจากในตัวเมืองมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านชนบทเล็กๆ ในจังหวัดที่คนกรุงเทพฯ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศไทย แต่ผมก็มาเพราะเสน่ห์ของการที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักนี่หรอก

ล้อรถสองแถวขนาดปิคอัพตอนเดียวหยุดหมุนลงตรงข้างทางซึ่งมีเด็กหนุ่มชาวบ้านยืนรอก้าวขึ้นบันไดรถ ฝุ่นจากการหยุดล้อรถถูกตีคลุ้งขึ้นมาให้ผมต้องปิดปากไอโขลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้านแถวนี้ ที่ดูต่างคนต่างจะมีภูมิต้านทานกับสภาวะแวดล้อมได้อย่างสบาย

ผมนั่งมองเด็กหนุ่มโหนขึ้นรถได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วในจังหวะที่รถค่อยเคลื่อนตัวออกนั้น กลับมีใครอีกคนวิ่งเลี้ยวออกมาจากถนนดินลูกรังแคบๆ พร้อมกับเสียงเล็กตะโกนแว่วเรียกร้องให้รถหยุด ผมเพ่งมองฝ่าม่านฝุ่นและควันจากท่อไอเสียที่ใช้งานมานานเกินกว่าอายุการใช้งานที่ควรไปโข เห็นเจ้าของเสียงที่วิ่งเข้ามาด้วยภาพที่คล้ายๆ กับค่อยซูมเข้าทีละน้อย ถึงสมองและการประมวลผลของผมจะค่อนข้างช้าในช่วงนี้ แต่ผมก็พอมองออกว่า ผู้หญิงรูปร่างกะทัดรัดพร้อมเป้สะพายหลังใบโตคนนี้ไม่ใช่คนในพื้นที่แน่นอน

“เอ้า วิ่งเหนื่อยแล้วไหมนั่น หยุดก่อน หยู้ด”

ป้าผิวคล้ำร่างท้วมหน้าตาดูไม่น่าจะใจดีผิดกับการกระทำเอาฝ่ามือขนาดไม่เล็กทุบเข้ากับกระจกมัวๆ ที่กั้นระหว่างห้องคนขับกับส่วนกระบะผู้โดยสารดังตุบๆ คนในรถหลายคนหันไปเพ่งมองจุดเดียวกันคือผู้หญิงที่กำลังวิ่งอ้าปากรับฝุ่นและไอเสียกวดตามรถใกล้เข้ามาทุกทีจนกระทั่ง...

เอี๊ยด...

“เอ๊า!!!”

“โอ๊ย!!!”

คนขับตัดสินใจในวินาทีที่สองหลังจากประมวลผลการทุบกระจกของป้าท้วม บอกให้หยุดก็หยุดทันใจ คนในรถตั้งตัวไม่ทันก็พากันไหลเทเข้าไปด้านในร้องเอะอะกันทั้งคัน แต่เผอิญผมนั่งอยู่ด้านนอกสุดพร้อมกับยึดเอาโครงเหล็กริมกระบะเสริมหลังคาของรถไว้แน่น จึงกลายเป็นจุดยึดของผู้หญิงที่เบรกขาไม่ทัน หยุดพลาดเอาหัวเข่ากระแทกขั้นบันไดแล้วผวาพรวดเข้ามาในตัวรถ...

มาคว้าเอาหน้าแข้งผมเป็นที่พำนักเสียแน่น



หลังจากที่แข้งผมเป็นอิสระจากอ้อมกอดสาวในเมืองที่ผมคาดเดาเอาเอง ผมจึงได้สังเกตเธอได้มากขึ้นไปกว่าการมองผ่านภาพมัวๆ ด้วยฝุ่นลูกรัง ผมหางม้าดำสนิทที่รวบไว้ยุ่งเหยิงบวกกับหน้าตาผิวพรรณที่มีเค้ารางเปล่งประกายของคนกรุงถูกทำให้มอมแมมดูเหยเกด้วยความเจ็บปวดจากการกระแทกล่าสุดที่หัวเข่า แม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังนั่งบีบนวดหัวเข่าอยู่ที่นั่งด้านตรงข้าม

ไม่น่าแปลกใจหากคนในเมืองใหญ่อยากจะออกมาท่องเที่ยวหาความสงบในต่างจังหวัดเพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่แสวงหาความสงบด้วยวิธีนี้เช่นกัน แต่ความแปลกมันอยู่ตรงที่ สาวเมืองกรุงหน้าตาสวยน่ารักคนนี้ต่างหากเล่า มาทำอะไรในบ้านนอกคอกนาเพียงลำพัง ผมพินิจพิจารณาเธอเพลินจนเธอเงยหน้าละสายตาจากหัวเข่ามาสบตาผม เธอถึงได้เอ่ยออกมา

“ยังไม่ได้ขอโทษคุณเลย ขอโทษทีนะที่ไปคว้าขาคุณน่ะ แต่ไม่ขอบคุณนะ เพราะคุณไม่ได้ช่วยอะไร”

ผมขอถอนความคิดที่ว่า 'สวยน่ารัก' ออกไปก่อนในตอนนี้ เพราะท่าทางขอโทษของเธอมันช่างแฝงไปด้วยการจิกกัด เพียงเพราะผมมัวแต่ตกใจที่มีผู้หญิงโผเข้ามากอด ถึงแม้จะเป็นแค่ขาก็เถอะ ปฏิกิริยาของผมจึงช้ากว่าเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้ามที่ช่วยพยุงเธอลุกขึ้นมาพร้อมสละที่นั่งให้อย่างพระเอกมาเอง

ก็ผมมีทั้งกระเป๋าสะพายหลังใบโตที่เอามาวางพาดตักแถมยังถือกระเป๋ากล้องไว้อีกจะให้ผมลุกนั่งสะดวกทันควันได้อย่างไรกัน แค่นี้ผมก็กลายเป็นคนไม่มีน้ำใจเสียแล้วหรือ

นี่สินะ ผู้หญิงเมืองกรุง อยู่ที่ไหนก็ยังนิสัยแบบนี้ ดีแต่หน้าสวยไปวันๆ ไม่ได้คิดสนใจความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นๆ หรอก

“เจ็บมากไหมล่ะหนู แล้วนี่จะไปไหนล่ะ ไปให้หมอดูเข่าหน่อยไหม สถานีอนามัยอยู่หน้าหมู่บ้านข้างหน้านี้เอง” ลุงเสียงดังคนหนึ่งที่นั่งอยู่ถัดจากผมเอ่ยถามขึ้นมา

“จะถึงหมู่บ้านแล้วเหรอคะ มีสถานีอนามัยด้วย งั้นเดี๋ยวหนูลงไปหายาทาดีกว่าค่ะ” เธอตอบลุงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มน้ำเสียงน่ารักผิดกับที่ใช้กับผมไม่น้อย นี่ก็อีกนิสัยหนึ่งของสาวเมืองกรุง เปลี่ยนสีหน้าได้ไวยังกับดารา เลือกปฏิบัติก็เท่านั้น เพราะแบบนี้ สามวันที่เหลือของผม ผมจะขอเก็บไว้สำหรับชีวิตแสนสงบและปราศจากทุกสิ่งทุกอย่างที่จะตามมาหลอกหลอนผมหลังชีวิตตรงนี้จบลง



สามวันของผมคงสงบสุขหากบังเอิญว่าผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านที่แสนจะมีน้ำใจแห่งนี้ไม่เผื่อแผ่น้ำจิตน้ำใจให้หนุ่มและสาวชาวกรุงที่บังเอิญต้องมาอาศัยน้ำใจพักบ้านผู้ใหญ่ในบ้านหลังเดียวกัน แกมีความคิดคล้ายๆ กับการทำบ้านให้เป็นโฮมสเตย์เพื่อให้ชาวบ้านได้ทำสินค้าประเภทหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์มาโปรโมทและเพิ่มรายได้ หากแต่บ้านแกยังไม่พร้อม และแน่นอน ระยะเวลาที่ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับสาวชาวกรุงนั้น...

มันคือสามคืน

“ฉันจองมุมโน้น คุณคงไม่รังเกียจเสียสละมุมดีๆ ใกล้ระเบียงลมพัดผ่านให้ผู้หญิงแล้วตัวเองมานอนมุมด้านในติดฝาบ้านตรงนี้นะ”

แค่ตอนหอบเสื่อหมอนมุ้งมาจับจองพื้นที่สำหรับจัดแจงที่หลับที่นอนของบ้านไม้ชั้นบนที่เปิดโล่งเป็นเหมือนโถงกว้างๆ เธอก็เริ่มเปิดฉากหาเรื่องกันเสียแล้ว

“ครับ”

ผมก็ตอบได้เพียงเท่านั้น ด้วยลักษณะของบ้านตามต่างจังหวัดที่เป็นบ้านยกใต้ถุนสูง ชั้นบนของตัวบ้านเป็นโถงกว้างโล่งเสมือนเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ของบ้าน มีหน้าต่างรายรอบพร้อมเปิดให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกแบบนี้ ผมไม่มีปัญหาอะไรในการเลือกนอนหรอกครับ ถึงแม้ว่ามุมที่เธอตั้งใจบอกผมว่าเธอจับจองไว้แล้วนั้นจะเป็นมุมที่เข้าตาผมที่สุดตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาบนบ้านหลังนี้ก็ตามที

“ก็อาจจะไม่สะดวกสักเท่าไรหรอกนะ บ้านชนบทก็แบบนี้ มีห้องหับแค่พอนอนกันห้องสองห้อง ฉันก็นอนห้องนี้กับเมียฉันนี่แหนะ อีกห้องก็รกเกินกว่าจะเข้าไปนอนได้นะหนูนะ ไว้อีกพักมาใหม่สิ ลุงว่าจะทำเป็นโฮมสเตย์อย่างที่เขานิยมกันแน่ะ ห้องอาจไม่มีแต่ก็มีพวกที่นอนหมอนมุ้งมีไว้เยอะ เตรียมไว้เวลาญาติพี่น้องมากัน ก็มานอนปูเสื่อเรียงกันตรงนี้ กว้างดี... หนูคงไม่ลำบากใช่ไหม”

“ไม่ลำบากเลยค่ะ ดีกว่าให้หนูไปนอนในไร่ข้าวโพดเยอะ”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใสติดตลกจนแทบจะเชื่อได้ว่านี่เป็นการพูดจากใจจริง

“ส่วนพ่อหนุ่มนี่ก็ดูท่าทางจะกินง่ายนอนง่าย สบายๆ ใช่ไหมล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใจดีตบบ่าผมหลายตุบพลางหัวเราะร่าในขณะที่สาวเมืองกรุงเทพฯ ที่ได้รับการยืนยันจากปากเธอเองตอนที่บอกกับผู้ใหญ่ว่าเป็นใครมาจากไหนทำเสียงบางอย่างในลำคอเหมือนจะเย้ยหยัน แต่ผมก็ขี้เกียจจะใส่ใจ



เราต่างคนต่างมาด้วยภาพที่ทางชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ที่อยากท่องเที่ยวเชิงชนบทและศึกษาวิถีชาวบ้าน ตอนที่ลุงใจดีพาผมมาหาผู้ใหญ่ ผมก็พบสาวกรุงคนนี้นั่งดื่มน้ำจากขันสีเงินวาววับอยู่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่า ผู้หญิงหัวเข่าเจ็บที่แวะลงตรงสถานีอนามัยจะมีคนมาส่งถึงบ้านผู้ใหญ่ให้พักอาศัยได้เร็วกว่าผมที่ร่างกายปกติดีทุกประการ... อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ผมไม่ได้รู้เรื่องราวของเธอมากมายนักหรอก สาเหตุที่เธอเดินทางมาคนเดียว สาเหตุที่เธอต้องมาแบกเป้สะพายหลังแล้วมาขออาศัยตามบ้านในชนบท ผมจำไม่ได้แต่ชื่อของเธอด้วยซ้ำไป

ผมเลิกคิดสะระตะเรื่องคนที่บังเอิญเข้ามาสู่วงโคจรช่วงชีวิตอันน้อยนิดแล้วหันมาสนใจกับเวลาที่มีอยู่ กล้องถ่ายรูปดิจิตอล SLR ราคาสี่หมื่นกว่าบาทถูกผมรื้อออกมาดูพร้อมผ้าเช็ดเลนส์กล้อง เพียงอยากเก็บภาพสุดท้ายตรงนี้เอาไว้ก่อนที่จะต้องจากมันไป ไม่รู้หรอกว่ามันจะมีประโยชน์อะไร แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งที่ผมปรารถนาให้มันมาแทนที่ภาพเก่าๆ จำเจและซ้ำซากที่ผมอยากวิ่งหนีมันมาตลอดชีวิต

“กล้องสวยนี่ เล่นกล้องเหรอ คุณน่ะ”

สิ่งหนึ่งที่ผมไม่อาจละทิ้งมันได้ในโลกแห่งความเป็นจริงคืออากาศธาตุจะไม่สามารถส่งเสียงและสื่อสารกับคนได้อย่างที่ผมพบเจออยู่ในตอนนี้

“แค่ความชอบครับ”

“นิคอน... แพงไหม ห้าหมื่นถึงหรือเปล่า” ตอนนี้อากาศธาตุละมือจากการพยายามกางมุ้งในมุมของตัวเองเปลี่ยนเป็นเดินเหยียบพื้นกระดานขัดจนขึ้นเงาชนิดไม่ถนอมแรงฝีเท้าเข้ามาใกล้มุมของผมแล้วค่อยย่อตัวนั่งลงไม่ไกลจากผมเท่าไร

“ตัวกล้องไม่ถึง แต่ที่แพงเพิ่มเข้ามาคือพวกเลนส์นี่...” ผมชี้ไปที่เลนส์อีกสามสี่ชนิดในกระเป๋าแยกให้สาวกรุงช่างสงสัยได้เห็น เธอก็ทำเพียงนั่งมองนิ่งๆ และหากผมมองไม่ผิด เธอถอนหายใจใส่มันนิดหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นจ้องหน้าผมแทน

“ครับ?”

“คุณกางมุ้งเป็นไหม”

“เอ่อ... เป็น” มันคงไม่ใช่เรื่องยากหากตอนเด็กๆ เธอเคยเป็นคนต่างจังหวัดที่อาศัยในบ้านไม้กระดานและต้องอาศัยกางมุ้งหลบยุงทุกคืนอย่างผมมาก่อน แต่ดูท่าทางเธอจะไม่ใกล้คำนั้นเลยด้วยซ้ำ

“ฉันก็ว่ามันไม่ยากหรอก แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่ามุมไหนมันควรจะไปผูกตรงไหน...”

เธอหยุดพูดไปดื้อๆ และผมก็ยังรออยู่ว่าเธอต้องการอะไรจากผม

“งั้น... ฉันขออนุญาตไปใช้ห้องอาบน้ำก่อนนะ กลับมาจะได้นอนเลย”

แล้วเธอก็เดินกลับไปรื้อกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นเธอรื้อเอาผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าม้วนๆ หอบเดินผ่านผมไปเฉยๆ อย่างนั้น แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรกัน ว่านั่นมันหมายความว่าอะไร


NEXT>>

จากคุณ : BestChild
เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 53 12:32:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com