Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
......ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๑๗.....  

ลูกสาว ลูกสาว  ลูกสาว ลูกสาว ลูกสาว  ลูกสาว ลูกสาว ลูกสาว  ลูกสาว ลูกสาว ลูกสาว  ลูกสาว

กลับมาใหม่ หลังจากหายไปประมาณหนึ่งชาติ
ขออภัยญาติมิตรทุกท่าน หากไม่มันใจว่าจะต้องรออีตาคนเขียนนี้ไปอีกนานแค่ไหนสำหรับตอนต่อไป รบกวนประณามหยามเหยียดได้ตามอัธยาศัยขอรับ

ลูกสาว ลูกสาว  ลูกสาว ลูกสาว ลูกสาว  ลูกสาว ลูกสาว ลูกสาว  ลูกสาว ลูกสาว ลูกสาว  ลูกสาว


ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๑ - ๑๖

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=07-2009&date=17&group=16&gblog=1
.....................................................................................................................................................



                                        บทที่ 17




               ในความปลอดโปร่งของอารมณ์ พรสวรรค์บอกตัวเองไม่ได้แน่นักว่า เหตุไรจึงรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งยังติดในหัวใจ

ทั้งที่หนี้สินนั้นก็ได้รับการผัดผ่อนเวลาการชำระให้ยาวนานออกไปแล้ว อีกทั้งคนที่เธอรู้สึกว่าเกลียดนักเกลียดหนา ก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้าอีกตั้งหลายวัน

หรือจะเป็นเพราะนายรัชพลนั่น คนเดียวที่ยังเที่ยวเทียวไปเทียวมาอย่างไม่ลดละ มาพร้อมกับดอกไม้ช่องาม จนทั้งร้านแทบจะกลายเป็นร้ายขายดอกไม้อยู่แล้ว กลิ่นดอกไม้หอมที่มากเกินไป ก็อวลอบจนรู้สึกน่ารำคาญเสียมากกว่าจะชวนดม

ถ้านายรัชพลยังมาทุกเช้าสายบ่ายเย็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังสมองเธอต้องฝ่อไปเพราะกลิ่นดอกไม้พวกนี้แน่ๆ

ยังดีที่มีลูกค้าทยอยเข้ามากันอย่างสม่ำเสมอ จึงพอให้พรสวรรค์หาโอกาสหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับนายรัชพลไปได้มากครั้ง ส่วนนภานั้น ตั้งแต่วันที่ปรมัตถ์ถูกเขียนหน้านั่น ไม่ว่านายรัชพลเวียนมากี่ครั้ง นภาก็ทำเป็นเหมือนรัชพลไม่มีตัวตน เหมือนเขาเป็นฝุ่นในอากาศ ที่เผอิญฟุ้งเข้าจมูกแล้วต้องสั่งออกแรงๆ แล้วก็แค่นั้น

พรสวรรค์ยังนึกวนไปเวียนมาถึงใครต่อใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิตช่วงนี้ ที่มันน่าจะทำให้มีสีสันมากขึ้น แต่ไม่รู้ทำไม ทุกสิ่งทุกอย่างกลับแลดูเอื่อยเนือยอย่างไม่น่าจะเป็น เธอต้อนรับรัชพลไปอย่างแกนๆ นึกถึงปรมัตถ์เป็นบางเวลา และบ้างหรอกที่รู้สึกตื่นๆ ขึ้นมานิดๆ เวลาที่แกล้งเข้าไปแอบฟังการกระซิบกระซาบกันของนภากับภาสกร

สองคนนั่นก็ดูรักกันดีอยู่หรอก แต่ตั้งแต่นายปรมัตถ์หายไป ทั้งนภาและภาสกรก็ดูเหมือนจะมีลับลมคมในอะไรกันอยู่ หรือจะเป็นตรงนี้ ที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามันมีอะไรอย่างยังติดค้างอยู่ในหัวใจ

“พี่ภามีอะไรปกปิดแจ๋มหรือเปล่าคะ”

พรสวรรค์จึงต้องตั้งคำถามขึ้นในเวลาที่ภาสกรยังไม่ได้มาสมทบ

“ไม่มีอะไรนี่คะ ทำไมหรือคะ น้องแจ๋มคิดอะไรอยู่”

เสียงถามกลับของนภา ราบเรียบ แนบเนียนเสียจนคนถามไม่อาจสรุปอะไรได้

“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เห็นว่าพักนี้ บรรยากาศมันแปลกๆ”

“เพราะดอกไม้มากมายมหาศาลของนายรัชพลนั่นหรือเปล่าคะ”

“มันก็ส่วนหนึ่ง แต่... แบบ แจ๋มว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ”

ดีที่พรสวรรค์ก้มลงไปเก็บส้อมที่หลงตกอยู่ใต้โต๊ะตัวหนึ่ง ทำให้นภามีโอกาสกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ นภารู้สึกคอแห้งฝืดขึ้นมาเฉยๆ อยากจะผละไปหาน้ำมาดื่มแก้กระหายและดับความรุ่มร้อนภายใน แต่ก็เกรงว่าพรสวรรค์จะจับพิรุธได้จริงจัง

“แล้วนี่ตกลงว่าร้านค้าส่งพวกนั้นเค้าจะผ่อนผันให้เราอีกนานเท่าไหร่คะ”

พรสวรรค์ตั้งจะใจเปลี่ยนเรื่องพูด แต่ยิ่งกลับทำให้นภาคิดหนัก ว่าจะบ่ายเบี่ยงเหตุผลที่แท้จริงต่อไปอย่างไร

จนในที่สุดนภาก็ต้องใช้ข้ออ้างที่ตนเองคิดว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง

“คุณแจ่มอย่าโกรธนะคะ ถ้าพี่จะบอกว่า พี่เอาคุณสุเทพ คุณพ่อคุณแจ๋มไปอ้างน่ะค่ะ คือว่า... พี่บอกเถ้าแก่เขาว่า ตอนนี้คุณพ่อคุณแจ่มป่วยอยู่ ขอร้องเขาให้ผ่อนผันกันไปก่อน จนกว่าคุณสุเทพจะพอทำใจรับรู้เรื่องหนี้สิน หรือเรื่องสมบัติก้อนสุดท้ายนี้ได้”

และก็คงจะได้ผล เพราะพรสวรรค์ถึงกับนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน ด้วยว่าก็เป็นเพราะคนฟังก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน ว่านภาจะใช้ลูกไม้เช่นนี้กับเจ้าหนี้ร้านค้าส่ง

“อาจเป็นเพราะเป็นคู่ค้ากันมานานด้วยละค่ะ ทางโน้นเขาถึงยอมผ่อนผันให้ เขายังถามยังเป็นห่วง บอกว่าถ้าขาดเหลืออะไรก็บอก เขายินดีช่วย”

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพรสวรรค์ยังเป็นแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นภาจึงจำเป็นต้องแต่งเติมข้อความเสียให้ครบถ้วน

กว่าที่พรสวรรค์จะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ นภาก็ลุ้นแทบแย่ว่าหญิงสาวรุ่นน้องจะเชื่อคำพูดของตนเองสักเพียงไร แล้วก็เผลอระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“อ้าว! แล้วพี่นภาถอนหายใจทำไมอีกล่ะคะ”

นภานึกเจ็บใจตัวเองนัก ที่การโกหกครั้งนี้ไม่ได้แนบเนียนไปจนตลอดรอดฝั่ง




“นี่เอ็งโกรธเค้าจริงจังขนาดนี้เลยหรือวะ”

ภาสกรยังตั้งคำถามเดิมๆ หลังจากที่เพียรถามมาแล้วหลายวัน

เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทมอบความเงียบให้เป็นคำตอบ เขาก็ต้องเซ้าซี้ต่อไปอีกเช่นเคย

“เรื่องแค่นี้ เอ็งเอามาคิดมาก ตอนเราเรียน ใครง่วงจนหลับ ใครเมาจนฟุบ ก็ถูกปากกากันน้ำ หรือไม่ก็สีน้ำมันป้ายหน้ากันทั้งนั้น นี่ยังดีที่ล้างออกง่ายๆ”

นี่ถึงขนาดภาสกรตามมาตั้งคำถามถึงที่ทำงานของปรมัตถ์ แต่คนรับฟังจะหือจะอือเลยสักนิดก็ไม่มี

ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องที่ร้านอุ่นไอรักถูกแปลงโฉม ปรมัตถ์รับงานชิ้นนี้ไว้ก่อนแล้ว มันเป็นงานเขียนภาพประดับโรงแรมสไตล์บูทีคขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแถวสี่พระยา ตัวโรงแรมปรับปรุงมาจากเรือนไม้ริมน้ำหลังใหญ่ของพวกคหบดีในยุครัชกาลที่ ๗ ซึ่งปรมัตถ์ตอบรับเรื่องการวาดภาพสำหรับประดับฝาผนังนี้ทันที ที่ได้เห็น

หลายวันมานี้ เขามาขลุกอยู่ที่นี่ ทั้งเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจ รวมทั้งตกลงแนวคิดกับเจ้าของงาน

การได้มาอยู่เงียบๆ คนเดียวนี้ ก็ทำให้ปรมัตถ์อดคิดอยากจะซื้อบ้านหลังนี้มาเป็นของตนเองไม่ได้ เพราะบรรยากาศทั้งหมดล้วนถูกใจ และเงียบสงบยิ่งกว่าร้านอุ่นไอรักนั่นเสียอีก

และเพราะเวลาหลายวันนั่นเอง ทำให้ความคิดที่อยากจะซื้อเก็บไว้คนเดียว คลี่คลายกลายเป็นความรู้สึกที่อยากจะแบ่งปัน สถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนอารมณ์เช่นนี้ ไม่ควรหรอกที่จะเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ปรมัตถ์คิดว่าเจ้าของทำถูกที่สุดแล้วที่คิดอยากจะให้ใครต่อใครได้ลองสัมผัสบ้าง ให้ใครต่อใครได้รู้ว่า ในสุดตรอกแคบๆ อีกหลายแห่งที่มุ่งเข้าสู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ยังมีสถานที่เช่นนี้ให้พักพิง

ปรมัตถ์ตั้งใจจะวาดภาพทิวทัศน์ที่เห็นจากฝั่งตรงข้าม ด้วยการกลับซ้ายเป็นขวา และอยากจะติดไว้ตรงข้างฝาอีกฝั่งของห้องโถง ให้ภาพนั้นหันหน้าไปรับกับทิวทัศน์จริงๆ ให้คลายกับว่าภาพนั้นคือกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนเงาวับวาวของท้องน้ำยามเย็น

เขาเคยวาดภาพเช่นนี้ ใช่... วิวแม่น้ำของร้านอุ่นไอรัก เขาเคยวาดไว้ แล้วก็ทำเช่นนี้ คือขอให้นายสุเทพแขวนมันไว้ให้หันออกสู่แม่น้ำ ตรงระเบียงริมแม่น้ำของร้านอุ่นไอรักนั่นเอง

“เอ็งมัวแต่มาบ้างาน รู้บ้างหรือเปล่าว่าไอ้น้องชายน่ะมันทำคะแนนไปถึงไหนๆ แล้ว นี่คงออกทุนรอนให้เค้าไปจ่ายหนี้จ่ายสินกันแล้ว”

พอเห็นว่าการเซ้าซี้จะไม่ได้ผล ภาสกรก็ต้องเปลี่ยนมาใช้วิธีการกระทบกระเทียบ

“ใครบอก พี่นภาเรอะ”

ได้ผล คราวนี้คนถูกถามหันมาตั้งคำถามกลับ

“ไม่ใช่นายพลแล้วจะเป็นใคร ข้าน่ะอยากจะช่วยเหลือเขาจะแย่ ติดอยู่แต่จะกินเข้าไปยังไม่ค่อยจะพอ”

“ตกลง พี่นภาบอกเอ็งหรือว่า พลเค้าจ่ายให้”

ปรมัตถ์นั้นรู้ทันเพื่อนอยู่แล้ว จึงถามย้ำกับภาสกร ที่มักจะหาเรื่องมาพูดเองเออเองได้เสมอๆ

“หรือว่าคุณภาเค้าก็เอนเอียงไปทางนั้นด้วยวะ หลายวันที่เอ็งไม่ได้โผล่หัวไปที่นั่น ข้าถามอะไรเขาก็ไม่ตอบ ถามเรื่องเอ็งเขาก็ไม่พูด ถามเรื่องน้องชายเอ็งเขาก็ยิ่งปิดปากเงียบ”

และพอเพื่อนสนิททำท่าเหมือนรู้ทัน ภาสกรเลยต้องเปลี่ยนน้ำเสียงและคำพูดจามาเป็นทำนองปรึกษาหารือ โดยใส่คำตอบไว้ได้เสร็จสรรพ ว่าตนไม่ได้ฟังเรื่องการช่วยใช้หนี้มาจากปากของนภา

“ขานั้นน่ะ เค้าเทียวไปเทียวมาอยู่ทุกวัน บางทียัยวาของเอ็งก็โผล่ไปด้วย ...เออ พูดถึงวารินทร์ ทำไมเขาต้องไปตามหาเอ็งถึงที่นั่นด้วยล่ะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเรอะ”

“ตั้งแต่วันที่ไปหลับอยู่ที่ร้านคุณแจ๋ม ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ข้ามาขลุกอยู่แต่ที่นี่ ถ้าเจอวาอีกก็อย่าไปบอกล่ะ”

“ทำไม...”

“ไม่ทำไม ก็แค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

“ไอ้ดัดจริต ทำมาเป็นพระเอกมิวสิคหลงยุค ทำไม ตอนยังไม่มาก็อยากจะเจอเขานักหนา พอมาถึงแล้วทำเป็นหยิ่ง วารินทร์เขาก็ยังดูรักเอ็งไม่สร่างซานี่วะ”

ปรมัตถ์มองหน้าเพื่อน เพราะไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร จะว่าเบื่อวารินทร์ก็ไม่น่าจะใช่ เพียงแต่รู้สึกว่าวารินทร์เปลี่ยนไป มันไม่ใช่เรื่องบนเตียงนั่นหรอก แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ ที่ทำให้รู้สึกว่าวารินทร์ทำอะไรก็ขัดหูขัดตาเขาไปเสียหมด โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ต่อหน้าพรสวรรค์

“เงียบๆ อย่างนี้แสดงว่ามีคนใหม่ ไงล่ะ  ข้าก็บอกแล้วว่าคุณแจ๋มน่ะเค้าดีกว่าเป็นไหนๆ ข้ารู้ว่าเอ็งไม่เคยเอาใครไปเปรียบกะใคร แต่คู่นี้เอ็งอดเอามาเปรียบกันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

ถ้อยคำเหล่านี้ กระแทกใจปรมัตถ์อย่างแรง ภาสกรพูดเหมือนรู้ใจ ด้วยว่าหลายวันมานี้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดเปรียบเทียบพรสวรรค์กับวารินทร์ สองสาวนั้นเหมือนน้ำกับไฟ หรือไม่ก็เหมือนน้ำร้อนกับไฟเย็น ที่เขาเองก็สับสนอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมเมื่อดูไปดูมา ทั้งสองคนที่มีอารมณ์อาการไม่ต่างกันนั้น แต่แล้วสิ่งที่พรสวรรค์แสดงออกมากลับมาเสน่ห์ดึงดูดชวนมองมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการกระฟัดกระเฟียด แง่งอนหรือโวยวายใส่เขา

“ไม่รู้สิ...”

“ช่างเหอะ... เรื่องของเอ็ง ชีวิตเอ็ง เอ็งต้องตัดสินใจเอง แต่ถ้าคิดจะถามใจข้าสักนิด ก็บอกได้ทันทีเลยว่า เริ่มต้นความรักครั้งใหม่ซะเถอะวะ อันนี้ไม่ได้ยุให้เอ็งเป็นคนไร้ความรับผิดชอบนะ แต่ลองดูเถอะ... ก็ดีเหมือนกัน ลองห่างกับวารินทร์สักพักอย่างนี้ จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่โลเลไม่แน่นอน”

“ภาส ถ้าเกิดข้าจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคุณแจ๋มเค้าเรื่องการเงินนั่นน่ะ เอ็งคิดว่าข้าทำถูกไหม”

อยู่ๆ ปรมัตถ์ก็เปลี่ยนเรื่องพูด ทำให้ภาสกรแทบตามไม่ทัน

“มันสายเกินไปหรือเปล่าวะเพื่อน ก็ตอนนี้เค้าก็หาหนทางกันได้แล้ว จะใช่น้องเอ็งหรือเปล่าก็ไม่รู้ละ แต่ถ้าคิดจะมาเป็นห่วงเป็นใยเขาตอนนี้ละก็สายไป”

“แล้วถ้าข้าจะบอกเอ็งว่า ข้านี่ละที่ช่วยเหลือพวกเขา”

น้ำเสียงของปรมัตถ์ราบเรียบอย่างยิ่ง แต่นั่นหมายถึงว่าเขากำลังพูดจาอย่างเป็นงานเป็นการเช่นกัน

“งั้นเอ็งก็พ่อพระ เค้าแกล้งเอาอย่างนั้นแล้วยังจะเสนอหน้า”





รัชพลรู้อยู่แล้วว่าการที่ตนเองมาติดพันอยู่กับพรสวรรค์นั้นจะปกปิดผู้เป็นมารดาไปได้ไม่นาน และก็เป็นไปตามที่คิด เพียงไม่กี่วัน คุณวิชชุลดาก็เรียกเขาเข้าไปคุยกันที่บ้านอีกครั้ง

มันเป็นการคุยกันอย่างไรตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง ราวกับนักธุรกิจใหญ่กำลังตกลงสัญญาสำคัญอะไรสักอย่างกับเด็กหนุ่มหน้าใหม่ รัชพลเองก็ยังอึ้ง และยิ่งตระหนักชัดว่าเพราะความสามารถในเชิงการเจรจาเช่นนี้เอง ที่ทำให้แม่สามารถบริหารจัดการธุรกิจในมือได้อย่างเฉียบขาด

รัชพลแทบจำไม่ได้แล้วว่าคุณวิชชุลดาเริ่มต้นเรื่องราวนี้ได้อย่างไร รู้แต่ว่าหากทำตามที่มารดาบอก เขาจะต้องได้ครอบครองหัวใจของพรสวรรค์แน่นอน

เมื่อไม่เสียเวลาที่จะต้องมาอารัมภบท อธิบายถึงที่มาที่ไปของการตกลงปลงใจกับพรสวรรค์ ทุกอย่างก็ย่อมง่ายเข้า ไม่ว่ามารดาของเขาจะไปได้ข้อมูลของพรสวรรค์มาจากใครหรือจากไหนก็ตาม นั่นไม่สำคัญเท่าท่านเปิดไฟเขียวให้กับเขาเต็มที่

เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกเป็นกอง แม้จะเป็นว่าช่อดอกไม้ที่เคยถูกตั้งประดับไว้มากมายจะหายไปเกือบหมด ก็ไม่ได้ติดใจหรือเสียใจอะไร

“กุดอ้าบเต้อนูนครับพี่นภา”

รัชพลใช้สำเนียงไทยชัดเจน แถมยังยกย่องให้นภาเป็น “พี่” ได้เต็มปากเต็มคำสำหรับบ่ายวันนี้

“ลูกค้ายังแน่นเหมือนเดิม มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกนะครับ”

แม้ประโยคหลังๆ จะฟังแปร่งๆ เพราะเขาไม่เคยเสนอตัวช่วยเหลืออะไรเกี่ยวกับงานที่ร้านนี้เลยสักครั้ง

นภาจึงออกจะแปลกใจนิดๆ ว่าคราวนี้นายรัชพลนี่จะมาไม้ไหน แต่การจะมัวมาทำหน้าตาเหม็นเบื่อกับคนที่ยิ้มแย้มทักทายมันก็ใช่ที่

พรสวรรค์เองก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เช่นกัน ที่วันนี้รัชพลไม่ได้แสดงอาการกรุ้มกริ่มอย่างเคย

“สวัสดีตอนบ่ายครับคุณแจ๋ม ผมมีเรื่องอยากจะมาปรึกษา ค่อนข้างซีเรียส คุณแจ๋มพอจะมีเวลาไหมครับ”

“คะ... ค่ะ  ก็... เอ่อ...”

“ไม่คิดจะปรึกษาหารืออะไรกับพี่นภาคนนี้บ้างหรือคะ”

พอแน่ใจว่ากิริยาท่าทางของรัชพลคราวนี้ ก็ไม่พ้นการเสกสรรปั้นแต่งอีกเหมือนเดิม นภาก็อดกระแนะกระแหนเอาไม่ได้

“ผมจะมาปรึกษาคุณแจ๋มเรื่องส่งน้องสาวไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียน่ะครับ ถ้าพี่นภาช่วยแนะนำได้ก็จะยิ่งดี”

นภาถึงกับหน้าชา คราวนี้วาจาของรัชพลมาแบบมีดโกนอาบน้ำผึ้งเลยทีเดียว ไม่ได้หยาบคาย ไม่ได้เหยียดหยามเลยสักนิด แต่มันบาดลึกเข้าไปในหัวใจ เพราะถ้อยคำสุภาพนุ่มนวลยิ่งนั่น สื่อสารได้แสนจะคม ชัด และลึกซึ้ง ว่าเรื่องที่จะคุยกันนั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างเธอจะเข้าไปร่วมวงเสวนาด้วยได้

“ขอชานุ่มๆ ให้ผมสักถ้วยเถอะครับ ถ้าพี่นภาจะกรุณา”

แล้วเขาก็ผลักเธอให้ลงไปอยู่ในสถานะของสาวเสิร์ฟได้อย่างงดงาม บัวไม่ได้ช้ำ น้ำไม่ได้ขุ่นเลยสักน้อย แต่น้ำใสๆ นี่ละ ที่ทำให้แม่ปลาช่อนอย่างเธอหมดหนทางที่จะกำบังกาย ต้องถูกฉมวกของพรานปลา เสียบฉึกเข้ากลางหัวใจอีกครั้ง

นภาจะสะบัดหน้าไปเสียจากตรงนี้ก็ไม่ได้ ทำได้แนบเนียนที่สุดก็แค่ ยิ้มให้ที่มุมปาก พยักหน้าให้นิดๆ แล้วล่าถอยออกไป

พอนภาถอยห่างออกไป รัชพลก็เชื้อเชิญให้พรสวรรค์ตามเข้ามานั่งคุยกันที่มุมโปรดของปรมัตถ์ และทั้งเพราะวันนี้ท่าทางรัชพลไม่ได้มาร้าย บวกกับเลยช่วงยุ่งๆ ของเวลามื้อกลางวันมาพอสมควรแล้ว หญิงสาวจึงยินยอมเดินตามเขามาแต่โดยดี

“เรื่องที่ผ่านมาผมไม่รู้จะแก้ตัวกับคุณแจ๋มได้อย่างไร มันเป็นนิสัยเสียของผมเอง แต่ก็หวังว่าคุณแจ๋มช่วยให้คำปรึกษากับผมได้”

รอยยิ้มนิดๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพรสวรรค์ ทำให้รัชพลอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า เขาเริ่มออกตัวได้อย่างสวยงาม

“เรื่องน้องสาวคุณน่ะหรือคะ เรื่องที่เรียนที่โน่น แจ๋มเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนอกเมือง ทางใต้ของซิดนีย์ ที่วูลลองกองน่ะค่ะ”

และเพราะพรสวรรค์เป็นคนที่เชื่อมั่นว่า การศึกษาจะทำให้คนเป็นคนเต็มคน รวมทั้งการได้ไปใช้ชีวิตในที่ที่ห่างไกลจากครอบครัว จะทำให้ผู้คนเข้มแข็งขึ้น เธอจึงเริ่มต้นให้คำปรึกษาแก่รัชพลด้วยความยินดี

“ชื่อแปลก... วูลลองกอง ฟังไม่เหมือนภาษาอังกฤษ”

แม้จะฟังรู้ว่า การมาขอคำปรึกษาครั้งนี้ รัชพลจะไม่ได้สนใจเตรียมสืบหาข้อมูลอะไรมาก่อน พรสวรรค์ก็ไม่คิดจะเก็บเอามาถือสา

“ชื่อเมือง ชื่อหมู่บ้านหรือตำบลต่างๆ ของที่นั่น ส่วนใหญ่เป็นภาษาพื้นเมืองค่ะ ถือเป็นการให้เกียรติเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของชาวอังกฤษกับพวกอะบอริจิ้นชนเผ่าดั้งเดิม วูลลองกอง แปลว่า เสียงแห่งคลื่น ค่ะ”

“แสดงว่าติดชายทะเล...”

“เมืองสำคัญส่วนมากออสเตรเลียติดชายทะเลทั้งนั้น แถบกลางทวีปส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แห้งแล้ง”

คำอธิบายของพรสวรรค์ห้วนลง เพราะการสานต่อบทสนทนาของรัชพลไม่ค่อยจะสร้างสรรค์เท่าไรนัก

“ว่างๆ ก็ลองค้นหาตามเวปไซด์ต่างๆ ดูก็ได้ค่ะ ที่วูลลองกองนี่ ถือว่าเป็นเมืองเพื่อการศึกษา นักเรียนไทย นักเรียนเอเชียเยอะ เพื่อนมาก แต่เมืองไม่ใหญ่ ส่วนใหญ่เลยรู้จักกันหมด ไม่มีสถานบันเทิงอะไรให้หลงระเริง ถ้าควบคุมตัวเองได้ดีก็จะมีอะไรหลายอย่างให้เรียนรู้ แต่ถ้าคุมตัวเองไม่อยู่ นั่งรถไฟเข้าซิดนีย์ก็แค่ไม่ถึงสองชั่วโมง ที่นั่น... ในซิดนีย์ มีครบทุกอย่างที่จะทำให้คนเสียคน”

น้ำเสียงของพรสวรรค์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนที่พูดถึงเมืองใหญ่ ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันดี เพราะภพสรวงเรียนที่นั่น เขาติดความสบาย ติดความพลุกพล่าน ชอบการผ่อนคลายในที่ที่มีผู้คน ชีวิตที่เสรีและฟรีสไตล์ เลยยิ่งทำให้ภพสรวงอ่อนปวกเปียกไปกว่าเดิม

“ขอโทษนะครับ แล้วคุณแจ๋มจบสาขาไหนมาครับ”

เหมือนรัชพลจะถามไปตามซื่อ แต่พรสวรรค์ไม่รู้หรอกว่า เขากำลังตะล่อมไปสู่จุดหมายของตัวเอง เธอรู้สึกฝืดคอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะถึงตอนนี้ตนเองยังไม่ได้รับวุฒิการศึกษาอะไรสักอย่าง หนำซ้ำอาจจะต้องหยุดเรียนถ้าไม่ได้ทุน หรือไม่ก็อาจจำเป็นจะต้องเลิกล้มความตั้งใจ ในการไล่ล่าปริญญาใบนั้น

“ยังหรอกค่ะ แจ๋มเรียนเมเจอร์บริหารการตลาด พอดีว่าทางนี้มีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อย เลยต้องกลับมาช่วยดูแล คุณพ่อท่านสุขภาพไม่ค่อยดีน่ะค่ะ อยู่ห่างท่านนานๆ เราก็ห่วงท่าน ท่านก็ห่วงเรา...”

ไม่รู้ว่าพรสวรรค์จะพูดประโยคท้ายๆ ออกไปทำไม แต่เธอหยุดไม่ได้เสียแล้ว ทั้งหมดที่พูดมาล้วนเป็นความจริง มันเป็นความจริงที่เธออัดเอาไว้ในอก ไม่เคยได้ระบายกับใครเลย ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย

รัชพลต้องแอบซ่อนความพึงพอใจไว้อย่างมิดชิด เขาจะทำให้หญิงสาวตรงหน้าระแคะระคายไม่ได้ว่า เธอกำลังก้าวสู่กับดักที่วางเอาไว้ คุณวิชชุลดาบอกมาก่อนแล้วว่า เมื่อถึงคำพูดคำจาประมาณนี้ พรสวรรค์น่าจะสะเทือนใจไม่น้อย และตัวเขาจะต้องรีบเป็นฝ่ายตัดบท เปลี่ยนถ้อยคำสนทนาไปสู่การร้องขอบางอย่างทันที ซึ่งเมื่อถึงตรงนี้ น้อยรายนักที่จะไม่ยอมรับคำขอร้อง

น้ำเสียงที่ฟังได้ว่าเชื่อมั่นในตัวของพรสวรรค์มากที่สุด ถ่ายทอดคำพูดที่ผู้เป็นมารดากำชับไว้นักหนา ว่าจะต้องใส่ความใสซื่อบริสุทธิ์ใจไว้ให้ได้เต็มที่ จึงค่อยๆ ถูกเอ่ยออกมาจากปากของรัชพล

“ผมอยากให้คุณแจ๋มไปพบคุณแม่ของผม คุณแจ๋มน่าจะเล่าให้ท่านฟังเรื่องที่เรียนที่โน่นได้ดีกว่าที่จะต้องผ่านผมไปอีกทอด หรือไม่... เรื่องยุ่งๆ นิดหน่อยของคุณแจ๋มนั่น คุณแม่ของผมอาจจะให้คำแนะนำอะไรดีๆ ได้บ้าง...”




เสียงแหลมๆ ดังเข้ามาก่อน เป็นการออเซาะด้วยความน้อยอกน้อยใจ ที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของคำพูดเหล่านั้น

นภากำลังง่วนอยู่กับการรวมบิลยอดขายรอบเช้า จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเสียงของวารินทร์มากนัก พอบวกตัวเลขสุดท้ายจึงค่อยช้อนสายตาขึ้นมอง

แวบแรกก็อดรู้สึกสงสารปรมัตถ์ไม่ได้ เพราะสีหน้าเลี่ยนๆ นั่นบอกชัดว่าไม่ได้มีความสุขนักกับการมีวารินทร์เกาะแขนกระหนาบข้างมาด้วย

ส่วนภาสกรยืนเยื้องไปข้างหลังเล็กน้อย พยายามทำหน้าทำตาให้รู้ว่า วารินทร์เป็นส่วนเกินของการมาครั้งนี้

“เชิญค่ะ...”

นภาเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์ยินดียินร้าย

“...พอดีเลย คุณรัชพลก็เพิ่งมาถึง นั่งคุยกับคุณแจ๋มอยู่ด้านโน้นน่ะค่ะ”

และเธอก็ไม่เข้าใจเจตนาของตัวเองเหมือนกันว่าต่อไปโยคสุดท้ายนี้ออกมาเพื่ออะไร จนมาเอะใจตอนที่เห็นสีหน้าท่าทางของวารินทร์เปลี่ยนไป

“พอดีเพิ่งมาเจอปอที่หน้าปากซอย เลยถือโอกาสตามมาส่ง วามีธุระต่อค่ะ ถ้ายังไงไว้เย็นนี้ค่อยเจอกันที่ห้องนะคะปอ”

มันเป็นถ้อยคำที่ทั้งสามคนที่ยืนฟังไม่อยากจะเชื่อหู ว่าคนอย่างวารินทร์จะยอมถอยได้ง่ายๆ แต่การล่าถอยไปของวารินทร์ก็ทำให้ทั้งสามคนโล่งอกโล่งใจได้อีกไม่น้อย

“อ้าว! คุณวาไม่มาทานข้าวด้วยกันหรือคะ”

แต่แล้วความอึดอัดก็เวียนกลับมาอีก เมื่อเสียงของพรสวรรค์ดังขึ้นจากด้านใน คำถามที่ส่งนำมาก่อนนั้นบอกชัดว่าเธอเห็นวารินทร์แล้ว

“เพิ่งเจอกันน่ะครับ นี่เห็นว่ามีธุระเลยขอตัวไปก่อน”

คนอธิบายคือภาสกร ซึ่งเห็นแล้วว่าบรรยากาศเริ่มแปลกๆ ไป

“ดีนะคะ เจอกันก็พากันมาส่ง”

พรสวรรค์ก็ต่อบทสนทนากับภาสกรไม่ติดขัด แต่ยังไม่คิดจะหันไปพูดจากับปรมัตถ์สักคำ นอกจากเพียงเผลอสบสายตากับแค่วิบเดียว

“ไอ้ปอมันติดงานใหญ่ พักนี้เลยไม่ค่อยได้แวะมา นี่ว่าจะกินอะไรกันนิดหน่อยแล้วก็จะไปคุยงานกันต่อ”

เป็นภาสกรอีกนั่นแล้วที่พูดแทนปรมัตถ์ไปเสียหมด

สำหรับปรมัตถ์ เขารู้สึกอื้อๆ ตื้อๆ ตั้งแต่วารินทร์ตะโกนโหวกเหวกข้ามถนนแล้วถลามาเกาะตรงปากซอยโน่นแล้ว ยิ่งพอมารู้ว่ารัชพลยังวนเวียน แวะมา...น่าจะเป็นประจำ ก็เลยยิ่งไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

สายตาที่สบตากับนภานั้น ก็แทบจะว่างเปล่า แถมเขายังจับวี่แววจากหญิงสาวรุ่นพี่ได้อีกว่า ผิดหวังในตัวเขาไม่น้อยที่โผล่มาทั้งทีก็มีวารินทร์ติดสอยห้อยตามมาด้วย

“พี่รบกวนน้องแจ๋มพาคุณลูกค้าไปหาที่นั่งหน่อยเถอะค่ะ ที่ระเบียงน่าจะเหมาะ”

เสียงนภาเกือบๆ จะเป็นการผลักไส และพอภาสกรจะทำท่าเดินตามไปด้วยนภาก็ส่งสายตาเป็นเชิงห้ามปรามเอาไว้

พรสวรรค์ไม่ได้เดินเร็วนัก และพอจะถึงมุมระเบียงก็ชะลอฝีเท้าลงจนเกือบจะหยุด เธอนึกอยู่เหมือนกันว่าจะเอ่ยทักปรมัตถ์อย่างไร กับการที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน แต่พอเห็นว่ามีวารินทร์ติดตามมาด้วย ถ้อยคำที่เตรียมไว้ก็มีอันต้องถูกกลืนหายไป

“สบายดีหรือคะ”

เธอไม่ได้พอใจเท่าไรนักกับคำทักทายที่ฟังดูห่างเหินเหลือเกิน

“ก็... ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่วุ่นวายไม่เงียบเหงาจนเกินไป...”

ส่วนปรมัตถ์เองก็ไม่ได้คิดอยากจะตอบด้วยอาการยียวนอย่างนี้เลย ที่จริงเขาก็จะอยากพูดอะไรในทำนองว่าก็คิดถึงร้านนี้ หรือคิดถึงคนที่นี่บ้างเหมือนกัน แต่พอได้ยินว่ามีรัชพลอยู่ด้วย ความรู้สึกที่วูบเข้ามาก็เปลี่ยนให้เขาอยากจะพูดเหน็บๆ เล่นๆ สักเล็กน้อย

“คุณก็ดูสดใสดี นายพลคงมียาดีมาป้อนให้ทุกวัน...”

แม้คนได้ฟังจะหันมามองตาขวาง และคนพูดจะจับได้ว่าเธอคงไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก นอกจากเดินแซงหน้าแล้วเลี้ยวลับมุมระเบียงเข้าไป ทิ้งให้พรสวรรค์ที่อารมณ์ดีมาหลายวัน ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว



                                            *******

แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 06:21:30

จากคุณ : SONG982
เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 06:19:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com