Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คืนขวัญผวา (ปรับปรุง)  

คืนขวัญผวา

...ติ๊ง...ต่อง...

...ครืด...

ฉันก้าวเดินฉับๆ อย่างรีบร้อนหลังจากประตูลิฟต์เปิดออก ทางเดินในตัวอาคารขณะนี้เหลือเพียงแสงสลัวๆ ที่เปิดพอให้เห็นทางเท่านั้น

...บ้าชะมัดเลย...ทำไมหัวหน้าจะต้องรีบเอางานที่สั่งขนาดนี้ก็ไม่รู้...เดินไปพลางคิดวนไปเวียนมาอย่างหัวเสีย

“เอ้า คุณจัดการงานนี้ให้เสร็จเรียบร้อยนะ ผมต้องการพรุ่งนี้เช้า”

นี่มันแกล้งกันชัดๆ นั่งทำงานทั้งวี่ทั้งวันไม่สั่ง ดันมาสั่งตอนกำลังจะเลิกงาน เซ็งชะมัด

ประตูสำนักงานถูกผลักออกอย่างหมดอารมณ์ ก่อนที่ฉันจะเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศตรงหน้า

...มืดขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย เพิ่งจะสามทุ่มเองนะ...

ถึงจะทำงานอยู่ที่นี่มานานพอสมควรแล้ว แต่ฉันเองไม่เคยทำงานจนกลับดึกดื่นขนาดนี้มาก่อนเลย

อาคารสำนักงานแห่งนี้อยู่ในปริมณฑลตรงช่วงรอยต่อเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งความเจริญของเมืองหลวงเพิ่งกำลังเริ่มที่จะเข้ามาถึงเท่านั้น

...ไม่นึกเลยว่าเวลาสามทุ่มแถวนี้จะมืดและชวนวังเวงได้ขนาดนี้...

ต๊อก...ต๊อก...ต๊อก...ต๊อก...

เสียงส้นสูงของรองเท้าดังกระทบพื้นถี่ยิบตามจังหวะการเร่งฝีเท้าของฉัน สายตาเหลือบซ้ายแลขวาเป็นระยะ

...จะว่าหวาดระแวงก็คงใช่ล่ะนะ อย่างน้อยก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง...

ในเวลานี้หากเป็นในกรุงเทพฯ ก็คงจะไม่น่ากลัว ไม่ต้องหวาดระแวงกันขนาดนี้ ผู้คนคงยังเดินกันขวักไขว่อยู่ตามบาทวิถีอันสว่างไสว

...แต่ที่นี่ใช่อย่างนั้นซะเมื่อไหร่ เวลาขนาดนี้สำหรับที่นี่นั้นถือว่าดึกมากแล้ว...

การสัญจรที่ยังไม่สะดวกสบาย รถรับจ้างซึ่งนานๆ จะแล่นผ่านมาซักคัน จนบางครั้งฉันยังเผลอลืมไปว่ามายืนที่ท่ารถเพื่อรอที่จะขึ้นรถ ไฟทางติดบ้างไม่ติดบ้างซึ่งติดตั้งกันอยู่ห่างๆ

ทั้งหมดทั้งปวงนั้นส่งผลให้การเดินทางในเวลาเช่นนี้เป็นเรื่องไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง

...โดยเฉพาะหญิงสาวตัวเล็กอย่างฉัน...

...เวลาเช่นนี้เป็นเวลาที่ผู้คนที่นี่กลับเข้าบ้าน ดูทีวีกันพร้อมหน้า หรือเข้านอนกันหมดแล้ว...

ฉันหลุดจากภวังค์ หยุดก้าวเท้ากะทันหัน สายตาปะทะกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเงามืดตรงหน้า สายตาอดที่จะแสดงอาการประหวั่นออกมาไม่ได้

สะพานลอยคนข้ามที่อยู่เบื้องหน้าในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ฉันเดินข้ามทุกเช้าทุกเย็นแท้ๆ ทั้งๆ ที่ในยามปกติฉันไม่เคยสังเกตเห็นถึงความน่ากลัวของมันเลยแท้ๆ

...แต่...มัน...

...มันช่างเป็นสะพานลอยที่มีระยะทางยาวไกลเสียเหลือเกิน...

...จะเดินข้ามดีมั้ยนะ หรือว่าจะวิ่งข้ามถนนดี...

ในขณะที่สมองกำลังคิด สายตาก็พลางมองไปยังตัวถนนขนาดยี่สิบช่องทาง แสงไฟเคลื่อนตัวมาตามทางสีดำเมื่อมไม่ถี่เหมือนช่วงเช้า

ฉันละสายตามองกลับมายังร่างกายตัวเอง ถึงแม้รถราจะไม่มากมายเหมือนตอนที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน แต่การแต่งกายแบบสาวออฟฟิศทั่วๆ ไปของฉันก็คงจะไม่ง่ายนักหากจะต้องวิ่งข้ามถนนที่กว้างขนาดนี้

...รถวิ่งเร็วกว่าช่วงกลางวัน ท่ามกลางความมืดคนขับอาจมองไม่เห็นฉัน...

เมื่อคิดอย่างถ้วนถี่แล้ว ฉันก็สรุปเอาเองว่าคงไม่เข้าท่าหากจะวิ่งข้ามถนนในสถานการณ์แบบนี้

เท้าก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นอย่างรวดเร็วหลังจากฉันมองสำรวจทั่วตัวสะพานอีกครั้งหนึ่ง

...ต๊อก...ต๊อก...ต๊อก...ต๊อก...

เสียงที่ติดตามฉันทุกย่างก้าวดังตัดความเงียบเชียบ ทรงพลังกว่าในเวลาปกติหลายเท่านักจนบางครั้งฉันคิดว่าอาจจะประสาทเสียได้ง่ายๆ

...ราวกับมีใครกำลังเดินตามฉันมาติดๆ แบบหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว แค่คิดก็ทำเอาขนลุกแล้ว...

ฉันมองไปยังปลายสะพานอีกฝั่งเมื่อถึงบันไดขั้นสุดท้าย

...มันยังว่างเปล่า...

ใจฉันชื้นขึ้น ดีใจเล็กๆ อยู่ข้างในที่ไม่เห็นใครอยู่บนสะพานลอย

...แค่เดินตามทางนี้ไปเพื่อลงบันไดอีกฝั่ง ทุกอย่างก็จบ...ฉันคิดก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินต่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว

สายตายังคงสอดส่องไปรอบๆ บางครั้งก็หันกลับไปมองด้านหลังเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีใครตามมา

แต่ทันใดนั้น เมื่อสายตาวกกลับมาที่ตรงหน้าอีกครั้ง ใครคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากบันไดฝั่งตรงข้าม

...เขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมฉันไม่เห็น...

จังหวะก้าวเท้าช้าลงเพื่อคะเนสถานการณ์ มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพาย ด้ามแข็งๆ ที่เก็บแผ่นโลหะคมกริบของมันเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดในยามนี้ อย่างน้อยมันก็เป็นที่พึ่งทางใจได้

...หรือหากว่าจะเป็นจริงๆ มันก็จะเป็นที่พึ่งทางกายได้ด้วย...

ฉันพกมันติดตัวไว้เสมอ ถึงแม้จะไม่เคยได้ใช้แต่ฉันก็คิดว่ามันคงไม่เสียหายอะไรหากจะมีมันไว้

...เขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว สีหน้าเฉยนั้นไม่ได้แสดงท่าทีสนอกสนใจฉันแต่อย่างใด...

ก็แน่ล่ะ ใครจะประกาศตัวโจ่งแจ้งว่าตัวเองเป็นคนร้ายกันล่ะ เวลาแบบนี้ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น มือกำด้ามมีดพกแน่นขึ้นอีกจนฉันเองรู้สึกเจ็บฝ่ามือ

...ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ฉันจะกล้าใช้มันมั้ยเนี่ย...ความกังวลกับเหตุการณ์จำลองต่างๆ ในหัวสมองฉายออกมาอย่างไม่ปิดบังจนฉันแทบอยากจะร้องไห้

...ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ฉันแทบไม่หายใจในวินาทีนั้น...

...และ...

ผ่านไป

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขาเดินผ่านฉันไปไม่ได้สนใจฉันเหมือนเช่นเดิม

...เฮ้อ...

ร่างกายจิตใจผ่อนคลายลง มือชุ่มเหงื่อคลายด้ามมีดพกในกระเป๋า อีกนิดเดียวจะถึงทางลงแล้ว รีบๆ เดินต่อดีกว่า

ก๊อก...

เท้าแทบพลิกจากการเสียการทรงตัว ฉันยกส้นรองเท้าข้างขวาขึ้นดูและพบว่ามันหักเสียแล้ว

...ตายล่ะ ทำยังไงดี แถมในเวลาแบบนี้ซะด้วย...

ในขณะที่ฉันกำลังตรวจสอบความเสียหายของรองเท้าคู่ใจอยู่นั้น สายตากลับเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาจากด้านหลัง

ประสาทสัมผัสตื่นตัวขึ้นมาทันที เขาคนที่เพิ่งเดินสวนทางกับฉันไปที่กลางสะพานเมื่อชั่วอึดใจที่ผ่านมาเดินตรงกลับมาทางนี้

...จังหวะก้าวเท้านั้นเหมือนเร่งรีบ ในมือข้างนั้นถืออะไรบางอย่างอยู่...

ไม่มีการรีรอ ฉันเหวี่ยงรองเท้าทั้งสองข้างทิ้งทันที และออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

...ป้ายรอรถโดยสารอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ที่นั่นน่าจะยังพอมีคนอยู่บ้าง...

ฉันเหลียวกลับไปมองด้านหลังอย่างตื่นตระหนก เขาเริ่มออกวิ่งเช่นเดียวกัน ถ้าเขาตามทันล่ะก็

...คุณพระคุณเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยลูกช้างด้วย...

เขาใกล้เข้ามาแล้ว ใกล้เข้ามาจนฉันได้ยินเสียงตะโกนของเขาชัดเจนเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ป้ายรอรถอยู่อีกไม่ไกลแล้วแท้ๆ

...ความรู้สึกอุ่นๆ ที่เปลือกตาราวกับน้ำตาปริ่มๆ ว่าจะไหล...

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

เป็นไงเป็นกัน ฉันดึงมีดพกออกจากกระเป๋าสะพาย คมของมันดีดออกจากด้ามเก็บสะท้อนแสงไฟแสงจันทร์เป็นมันวาวก่อนจะหันกลับมาประจันหน้ากับเขาซึ่งหยุดวิ่งและหายใจหอบอยู่เช่นกัน

“มีอะไร จะเอายังไงก็ว่ามา”

ฉันตะคอกเสียงสั่น มือแทบจะถือมีดด้ามเล็กๆ ไว้ไม่อยู่ เขาถึงกับผงะที่เห็นท่าทางของฉัน สีหน้าตกอกตกใจไม่น้อยทีเดียว

“นี่กระเป๋าเงินของคุณรึเปล่า ผมเห็นมันตกอยู่กลางสะพานน่ะ” เขาพูดพลางยื่นสิ่งที่ถืออยู่ในมือให้ฉันดู

...ตายแล้ว กระเป๋าเงินของฉันจริงๆ ด้วย ตกไปตอนไหนเนี่ย...

“ผมเดินกลับมากะว่าจะเอามาคืน คุณก็ดันวิ่งหนี ผมตะโกนเรียก คุณก็ไม่หยุด ผมก็เลยต้องวิ่งตาม คุณ...เก็บมีดซะเถอะ ผมกลัว”

ว่าแล้วเขาก็เดินเอากระเป๋ามาส่งให้ถึงมือฉัน ฉันขอบคุณเขาพร้อมกล่าวคำขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่กับการเสียมารยาทที่ฉันทำลงไปเมื่อสักครู่ ก่อนที่ทั้งเขาและฉันจะแยกย้ายกันไปคนละทาง

ป้ายรอรถโดยสารที่ยังคงมีคนอยู่บ้างทำให้ฉันอุ่นใจได้บ้าง มานึกๆ ดูแล้ว ฉันเนี่ยช่างมองโลกในแง่ร้ายเสียจริงๆ เชียว ถ้าเกิดเมื่อกี้ฉันแทงเขาขึ้นมาจริงๆล่ะก็

...เกือบไปแล้วเชียว แย่ชะมัด การมองโลกในแง่ร้ายของฉันเกือบทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงเข้าไปแล้ว...

วันหลังฉันคงต้องคิดอะไร มองอะไรให้ดีๆ ก่อนที่จะตัดสินสิ่งต่างๆ ฉันคงต้องหัดมองโลกเสียใหม่แล้ว

รถโดยสารแล่นมา ผู้คนเริ่มทยอยเดินขึ้นรถจนหมดทิ้งให้ฉันรออยู่ที่ป้ายคนเดียว ความกระวนกระวายเริ่มขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ

นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นดู เกือบสามทุ่มครึ่งแล้ว รองเท้าก็ไม่มี กลับแท็กซี่ดีกว่ามั้ง

เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็โบกรถแท็กซี่ที่วิ่งมาพอดีก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังอย่างเหนื่อยอ่อน

...ทำไมช่วงเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงถึงทำให้ฉันรู้สึกราวกับผ่านอะไรมามากมายขนาดนี้นะ...

“ไปไหนครับ” คนขับหันกลับมาถาม

“ไป...ค่ะ”

เอ๊ะ ตาคนขับนี่ เมื้อกี้หันกลับมามองอะไรนะ หน้าตาท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย

...มือของฉันล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายและกำด้ามมีดพกไว้อีกครั้ง...

จากคุณ : KTHc
เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 20:41:27




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com