บ้าน..ผีสิง..
|
|
บ้านผีสิง......
ราส์ส กิโลหก
เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปี 2511 ตอนนั้นผมถูกคำสั่งโยกย้ายออกจากกองสำรวจที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นต้นสังกัดเดิม มายังพื้นที่บ้านเกิดจังหวัดสระบุรี โดยคำสั่งของกรมที่ดิน แต่ทางจังหวัดส่งตัวให้ไปประจำที่สำนักงานที่ดินอำเภอมวกเหล็ก ซึ่งขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่อยู่เพียง 2 คนรวมผมผู้มาใหม่ด้วยเป็น 3 คน ตัวสำนักงานเป็นอาคารไม้สองชั้น ใต้ถุนโล่ง ตั้งอยู่ใกล้ๆที่ว่าการอำเภอ ในช่วงหน้าหนาวลมหนาวจะพัดตะบึงใส่สำนักงานจนสั่นไปมา ความเย็นสอดแทรกเข้าตามรูร่องของพื้นไม้เข้ามาในตัวอาคาร ความเย็นที่เย็นอยู่แล้วก็ทวีคูณมากขึ้นจนร่างกายสั่นสะท้านกับความเย็นเยือก ทำให้เกิดความรู้สึกว่ากระดูกกำลังจะหลุดออกมานอกเนื้อ นั่งทำงานกันไม่เป็นสุขทั้งเสียงลมที่พัดกระทบตัวอาคารทั้งความหนาวเย็นที่อยู่รอบตัว ทรมานสุดๆ สภาพพื้นที่ของอำเภอมวกเหล็กในยุคนั้น พื้นที่ป่ายังอุดมสมบูรณ์ถนนหนทางส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่ดินธรรมดาหรือดีหน่อยก็เป็นดินลูกรัง ส่วนถนน ลาดยางนั้นหาเจอได้ยาก ถ้าต้องเดินทางเข้าไปทำงานในพื้นที่มันเหมือนการเดินทางที่ไกลแสนไกล
หลักฐานทางที่ดินยังมีน้อยมากเพราะการจะออกโฉนดหรือ น.ส.3 แต่ละฉบับเป็นเรื่องลำบากแสนเข็ญเหมือนเข็นครกไปโรงรับจำนำมันช่างวุ่นวายสับสน พื้นที่ดินทั่วไปยังเป็นเพียงที่มีการจับจองและเข้าทำประโยชน์ ยังไม่หลักฐานทางที่ดินที่ทางการออกให้รองรับ เป็นเหมือนที่ดินหลักลอย ต่างคนต่างก็อ้างสิทธิ์กันเอง ทำให้เกิดผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เข้ามารังแกชาวบ้านตาดำๆ ใครสามารถทนได้ก็สู้ต่อแต่ทนไม่ได้ก็ต้องถอยหนีออกไป ทั้งที่ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ที่ที่ดินจนโล่งเตียนแล้ว ฉะนั้นการทะเลาะวิวาทเข่นฆ่ากันจึงเป็นเรื่องธรรมดาของพื้นที่นี้ คนแพ้ต้องตายกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปตามระเบียบ กฎหมายป่ายังคงความเฉียบขาดใครแข็งแรงกว่าเป็นผู้ชนะ เรื่องความผิดถูกของกฎหมายไม่ต้องพูดถึงเพราะหนังสือกฏหมายกันลูกปืนไม่ได้
นายเบิ้ม อายุประมาณ 60 ปีนำที่ดิน น.ส.3ก เนื้อที่เกือบ 50 ไร่ มายื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกในนามเดิมออกอีก 3 แปลง แกบอกว่าเพื่อจะเตรียมไว้ให้ลูกๆซึ่งมี 3 คน ตอนแรกไม่คิดจะแบ่งแต่ลูกๆทะเลาะกันเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ จึงไม่อยากให้เกิดปัญหา คิดว่าเมื่อแบ่งแยกแล้วก็จะจัดการโอนให้แต่ละคนเอาไปทำกินกัน ผมเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอ ตรวจดูแล้วเห็นว่าที่ดินแปลงนี้ทำเลดี ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังเป็นห้วยสาธารณประโยชน์ ด้านข้างระบุว่าติดภูเขา เรียกว่าธรรมชาติอยู่ล้อมรอบก็ว่าได้ ที่ดินตั้งอยู่ในเขตอำเภอคำพราน หลับตานึกถึงพื้นที่ของตำบลนี้ คิดว่าว่าคงได้เดินทางกันรากเลือดแน่เพราะอำเภอคำพรานไกลจากตัวสำนักงานที่ดินฯหลายสิบกิโล ถ้ามีถนนลาดยางดีๆคงไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่ถนนหนทางจะเป็นดินลูกรัง ผิวถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เหมือนเบ้าขนมครก
ผมกำหนดวันทำการรังวัดในอีก 15 วันข้างหน้า โดยจะเดินทางไปในพื้นที่ด้วยตนเองแต่ให้ลุงเบิ้มมารอรับในที่ซึ่งหาพบได้ง่ายๆเช่นวัดหรือสถานที่สำคัญอื่นๆ แกเอ่ยชื่อวัดแห่งหนึ่งและตกลงว่าจะไปรอรับที่นั่น ผมสอบถามตำแหน่งนัดพบเพื่อให้รู้เป็นสังเขปและจดรายละเอียดไว้กันลืม วัดนี้อยู่ห่างจากที่ดินของแกประมาณ 5 กิโลเมตร โดยนัดเจอกันใน เวลา 10 โมงเช้า
เมื่อถึงวันที่กำหนดผมและลูกน้องคืออ้ายเหวง พร้อมด้วยเทปวัดระยะ เอกสารเกี่ยวกับเรื่องการรังวัดแบ่งแยก เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็น พากันขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ 2 ล้อขนาด 100 ซีซีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ ผมเอาผ้าพันหน้าเหลือแต่ลูกตา สวมหมวกผ้ามีสายมารัดที่คางกันหลุดเวลาขับขี่ ส่วนอ้ายเหวงสวมหมวกไหมพรมคลุมทั้งหัว-หู ยังไม่พอ มันยังใส่แว่นตาสีดำ มองไกลๆเหมือนพวกชาวเขาเผ่ามูเซอร์ เรารีบเดินทางกันแต่เช้าเพราะรู้ว่าเส้นทางมันไกล ขับขี่กันไปท่ามกลางสภาพเส้นทางเหมือนผิวมะกรูด เจ้าหมายนต์ญี่ปุ่นทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์มันพาเราผ่านหลุมอุกาบาศก์จำนวนนับร้อยนับพันหลุม กว่าจะถึงวัดเป้าหมายกินเวลาหลายชั่วโมง วัดนี้มองดูเหมือนวัดร้างมองไม่เห็นผู้คนหรือพระที่จำวัด ดูเงียบๆชอบกล
จอดรถใต้ต้นโพธิ์ใหญ่หันหน้ามองไปรอบๆ สภาพภูมิประเทศของวัดตั้งอยู่ข้างภูเขามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หลายต้น โบสถ์เก่าๆกับศาลาซึ่งเก่าพอๆกันแต่สร้างด้วยไม้อยู่ห่างออกไปมองเห็นไกลๆ หมาวัด 3-4 ลุกขึ้นยืนมองมาที่เราพร้อมกัน ก่อนที่จะพากันเห่าแห้งๆเหมือนคนไอ มันคงอยากจะแสดงตัวว่าข้าคือหมาแล้วก็หายหัวหายตัวไปทางใต้ถุนศาลา ผมถอดหมวกและเอาผ้าพันหน้าออก เอาหมวกและผ้ามาตีใส่กัน ฝุ่นสีแดงฟุ้งออกมาเป็นกระบุง
เหวง เอ็งว่าวัดนี้เป็นไงบ้าง
อ้ายเหวงถอดหมวกไหมพรม เอามาตีกับต้นขาข้างขวาเสียงดังตับๆๆพร้อมกับฝุ่นกระเด็นออกมา
หมายความว่าไง ลูกพี่
จะหมายความว่าไง เอ็งก็มองดูซิ มันเงียบเหมือนโลกนี้มีเอ็งกับข้าสองคน
มีหมาด้วย ลูกพี่ ที่มันเห่าเมื่อ กี้ไง มันทำทะลึ่ง
**************************************
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด..
เสียงห้าวๆดังมาจากทางด้านหลัง มารอลุงเบิ้มหรือครับ เจ้านาย
ผมขนลุกซู่ด้วยความตกใจ เพราะไม่มีสุ่มเสียงอย่างอื่นให้ได้ยินนำมาก่อน
เฮ้ย !! ตกใจจนสะดุ้งสุดตัว แทบหงายหลัง หันกลับมามองที่ต้นเสียง เป็นชายผอมตัวดำเป็นเหนียงที่หัวมีหมวกสานเก่าๆสวมอยู่ ตรงปลายๆปีกหมวกฉีกขาดจนไม้ที่สานอยู่หลุดออกมาเป็นเส้นๆ
อ้ายเวรเอ๊ย ! เสือกมาเงียบๆ ใจหายใจคว่ำหมด ผมนึกด่าอยู่ในใจ
ผมต้องขอโทษ ครับที่มาเงียบๆ พี่ดำยกมือขึ้นไหว้ขอโทษ.
อ้อ อือๆๆ อ่าๆๆ ผมพูดไม่ออก จะด่าในใจอีกก็ไม่กล้า มันรู้ได้ไงว่าด่ามัน วะเนี่ย !
ลุงเบิ้ม ไม่มาหรือครับ อ้ายเหวงเสนอหน้าเข้ามาในช่วงสำคัญ
ชายผอมดำเอามือหยิบหมวกเก่าออกจากหัว
พ่อใช้ให้ผมมารับแทนครับ รีบไปกันเถอะเพราะทางไปลำบาก เดี๋ยวจะมืด
ห๊า ! ถึงมืดเลยหรือ พูดเป็นเล่นไป ผมมองพี่ดำตาเขม็ง
ลูกชายลุงเบิ้มไม่ได้พูดอะไร หันไปที่รถจักรยานเก่าๆที่พิงอยู่ที่ต้นไม้แล้วก็ขึ้นขี่ออกนำหน้าไป
ผมคว้ารถมอเตอร์ไซค์รีบติดเครื่องตามหลังไปทันที รถจักรยานเก่าๆนำหน้าไปทางด้านหลังของวัด เลยวัดไปไม่ไกลต้องแยกเข้าไปในทางเดินเล็กๆ พอเห็นทางข้างหน้าผมแทบสะอึก เส้นทางที่จะไปมันไม่ควรเรียกว่าทาง เพราะไม่มีสภาพเป็นทางเสียเลย คงเป็นทางกระบือในสมัยโบราณ ถ้าเป็นกระบือเดินคงไม่ลำบาก แต่เป็นนี่รถเครื่องสองล้อและรถของผมไม่ใช่รถวิบากเสียด้วย ทำไงได้ก็ต้องบุกเข้าไป ขี่ๆไปรถจะล้มก็หลายหนเพราะบางที่พื้นเละเป็นโคลน บางทีก็เป็นเนินดินมีมีเศษหินแข็งๆทำให้รถไหลลื่น กำลังเครียดๆ นึกขึ้นได้ว่าที่รถมันไปได้ไม่สะดวกเพราะมีตัวถ่วงนั่งอยู่ข้างหลังนี่เองมันนั่งสบายไม่ทุกข์ร้อนอะไร ไม่เหมือนคนขี่ต้องเอาขายันพื้นไปตลอด
นั่งกินลมสบายเลยนะเอ็ง ผมบ่นดังๆ
มันตอบมาให้เจ็บใจ เอ๋อ ! สบายดีลูกพี่ไม่ต้องห่วงผม
ข้าไม่ได้ห่วงเอ็ง แต่ข้าห่วงขาข้าโว้ย ! มันจะเป็นขาไก่อยู่แล้ว ทางนี้มันเป็นทางไปดาวอังคารหรือไงว่ะเนี่ย
ใช่ๆๆลูกพี่วันนี้วันอังคาร
ผมจอดรถดังพรืด.. จะวัน ห่า ! อะไรก็ช่างมัน เอ็งลงจากรถแล้วเดินตามมา เสือกใสหมวกปิดหู จนฟังไม่รู้เรื่อง
ช่วงที่เส้นทางเรียบผมจะให้มันขึ้นมาซ้อนบนรถได้ หากถึงทางที่ไม่ดีก็ให้มันลงเดินเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆสลับกันไป
เสียงรถดังบ้างเบาบ้างตามแต่สภาพพื้นทาง บางครั้งต้องบิดแรงๆเพื่อให้รถพ้นจากหลุม ผม ล่ะ สงสารรถคู่ชีพจริงๆ เนื่องจากแทบจะวิ่งไม่ได้ต้องคืบคลานไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ต้องหลบหลุมหลบบ่อ บางบ่อกว้างขนาดควายลงไปนอนแช่ได้สบาย อ้ายเหวงมันเดินผิวปากไปตามทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร ส่วนผมต้องถูลู่ถูกังเคลื่อนรถไปอย่างลำบากยากเย็น พี่ดำไม่ต้องพูดถึงพี่แกขี่รถจักรยานไปฉิวท่าทางเหมือนขี่รถในทางเลียบ ยังนึกว่าจะแนะนำให้ไปขี่จักรยานวิบาก แข่งขันกับพวกทีมชาติ ดูแล้วพี่ดำน่าจะชนะได้ไม่ยากเย็น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เพราะเราเริ่มเข้าไปในเขตที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย นี่ละมั๊ง ที่เขาเรียกว่า ป่า ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของป่า มันเยือกเย็นและวังเวง เหมือนเข้าไปอยู่ในดินแดนที่ลึกลับทุกสิ่งทุกอย่างมองดูแปลกตา เสียงดนตรีตามธรรมชาติดังอยู่รอบตัว เสียงกู่ร้องของสัตว์ เสียงกิ่งไม้ใบไม้ที่สะบัดเพราะแรงลมฟังแล้วดูน่ากลัวจนขนลุก ถ้าเป็นตอนกลางคืนจะมีบรรยากาศที่น่ากลัวขนาดไหน นึกแล้วเสียวไปถึงสันหลัง..
อ้ายเหวงเดินเตร่มาหา ขณะที่ผมกำลังเอาขายันประคองไม่ให้รถล้มเพราะพื้นทางช่วงนี้เป็นลอนเหมือนกระเบื้องลอนคู่อย่างหนาตราช้าง
ลูกพี่ ผมว่ามันยังไงๆอยู่นา ทำไมยังไม่ถึงซักที ดวงตะวันก็มองไม่เห็น มีแต่กิ่งไม้ใบไม้ กางปิดฟ้าจนมิดเลย
ขนาดอยู่ห่างเกือบ 20 เมตร เสียงพูดดังมาให้ได้ยิน
เลยโค้งข้างหน้าก็ถึงแล้วครับ นายดำหันหน้ามาพูด
ผมกับอ้ายเหวงหันมามองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไร คิดว่าเดี๋ยวไปถึงแล้วรีบๆรังวัดให้เสร็จเร็วๆจะได้กลับบ้านกัน วัดที่ดินมาก็หลายที่หลายแปลง ไม่มีลำบากลำบนเหมือนแปลงนี้เลย ผมชักหวั่นๆใจ คิดอยากจะกลับเสียตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ ในฐานะข้าราชการที่ดี ต้องบริการประชาชน
พอพ้นริมเขาด้านหน้าตามที่พี่ดำตับเป็ดบอกไว้ ถึงบริเวณที่ดินของลุงเบิ้ม พื้นที่ดินปลูกต้นมันเป็นส่วนใหญ่ มีบ้านหลังคามุงแฝก อยู่ 4 หลังเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ แต่ตั้งห่างกันเป็นหย่อมๆ ทุกหลังตั้งในทำเลที่ดีเพราะสร้างอยู่ตามริมลำธาร ถ้าใครชอบธรรมชาติแท้ๆนี่แหละใช่เลย..เอากล้องมาถ่าย พิมพ์เป็น ส.ค.ส. ขายในช่วงปีใหม่ได้สบายมาก
ที่ดินเนื้อที่ 50 ไร่ไม่ใช่น้อยๆ มองเข้าไปมันดูกว้างใหญ่ไพศาล และด้านข้างๆยังมีทั้งลำธารและภูเขา ลำธารเป็นลำธารธรรมชาติมีสภาพคดเคี้ยว เหมือนถนนที่เข้ามาที่ดินลุงเบิ้ม ผมมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ เกือบเที่ยงแล้ว จะเสร็จทันหรือเปล่า ? ที่หนักใจไม่ใช่อะไร เพราะถ้าออกจากที่ดินช่วงเวลาเย็น มันจะไปมืดกลางทาง คิดแล้วเสียวสันหลังวาบๆๆ
จอดรถเสร็จลงจากรถด้วยความเมื่อยขบ ขยับแข็งขาให้ผ่อนคลาย ลุงเบิ้มในชุดชาวสวนมือขวาถือมีดขอเดินออกมาจากดงกล้วยใหญ่ที่ปลูกอยู่หลายกลุ่มตามแนวริมลำธาร
สวัสดีเจ้านาย เดินทางลำบาก มั้ยครับ ลุงเบิ้มร้องทักอย่างอารมณ์ดี
สวัสดี ลุง ผมตอบรับตามมารยาท ที่ดินของลุงอยู่ไกลนะ กว่าจะถึงเล่นเอาเหนื่อย
อ้ายผมมันไม่มีกำลังจะจับจองที่ดีๆ ได้แค่นี้ก็บุญหัวแล้วละครับเจ้านาย หัวเราะเบา
แล้วคำพูดของลุงเบิ้มเล่นเอาผม ถึงกับคอย่น..
คืนนี้นอนค้างที่นี่สักคืน นะ ผมว่ารังวัดเสร็จไม่ทันในวันนี้แน่
โอ๊ย ! ไม่ไหวมั๊งลุง รีบๆไปวัดที่กันให้เสร็จวันนี้แหละ เสียงอ้ายเหวงร้องเสียงหลง มันคงกลัว
ลุงเบิ้มหันหน้ามาทางผม ไหนๆก็มาทำงานแล้วไม่ถือโอกาสพักผ่อน สักวันหรือครับ เหล้ายาปลาปิ้ง ไก่ป่าผมก็เตรียมไว้หลายตัว เร่งรีบไปทำไมเดี๋ยวจะเหนื่อยเปล่าๆ
พอได้ยินคำนี้ ผมเห็นหน้าอ้ายเหวง สดชื่นขึ้นมาทันที มันเดินมาที่ผม ลูกพี่ว่าไง ! ลุงแกมีน้ำใจดี ผมว่าอย่าไปขัดศรัทธาแกเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้วค้างสักคืนนะ ผมมองหน้ามันถ้าตาไม่ฝาด เห็นน้ำลายมันไหลมาอยู่ที่ริมฝีปากจนเยิ้ม
ตอนนั้นผมยังเป็นโสด อ้ายเหวงก็ไม่มีเมีย การจะไปหลับนอนที่ไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ที่ผมหวาดๆก็เพราะ ที่ตรงนี้มันดูลึกลับและเปลี่ยวๆชอบกล ทั้งพฤติกรรมของพี่ดำ ที่ดูแปลกๆ แต่วิเคราะห์ดูแล้วตอนนี้เวลาเที่ยงวันเข้าไปแล้ว รังวัดกันยังไงก็คงไม่เสร็จหรือเสร็จก็คงเกือบมืด นึกภาพตอนกลับกันมืดๆ มันคงหนักกว่าที่จะยอมนอนค้างคืนเป็นแน่ ผมตัดสินใจอย่างหลังคือนอนค้างสักคืน คิดว่าคงไม่ถึงกับช็อกตายคาป่า..
จากคุณ |
:
สวนดอก
|
เขียนเมื่อ |
:
7 มี.ค. 53 08:46:14
|
|
|
|