ผมจะเป็นพระที่ดี (ตอน
.บิณทบาต)
|
|
เสียงนาฬิกาปลุกชำแรกแทรกโสตประสาท
ลงไปฉุดผมให้ออกมาจากห้วงภวังค์ อันที่จริงมันก็แค่ตีสามกว่าๆเท่านั้นเอง เป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เค้ากำลังหลับสบายได้ที่อยู่บนเตียงนุ่มๆ
..เจ้ากิเลสตัวหนึ่งแอบกระซิบบอกผมให้กลับไปนอนเถอะน่า ยังเหลือเวลาอีกถมเถไป
..ผมเกือบจะหลงเชื่อเจ้านั่นอยู่แล้วเชียว ถ้าผมไม่เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งเข้า
.. ผ้าเหลืองยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีเช่นเคย
ปณิธานที่ว่า ผมจะเป็นพระที่ดี ดังก้องขึ้นมาในหัวผม ฉุดผมออกมาให้ห่างจากเจ้ากิเลสความง่วงตัวนั้นในทันที
ผมรีบอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ครองจีวรที่พับจีบเตรียมเอาไว้เมื่อคืน แล้วมุ่งตรงไปยังอุโบสถ
ความจริงนี่มันก็เป็นเวลาก่อนทำวัตรเช้าตั้งครึ่งชั่วโมง เลยยังไม่มีใครลงมาเปิดอุโบสถ
..แต่ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะเดินจงกรมนั่งสมาธิซะก่อน เนื่องจากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งบอกผมไว้ก่อนที่ผมจะบวชว่า ตอนเช้ามืดควรที่จะบำเพ็ญบารมี ทำจิตให้บริสุทธิ์ เอาไว้ก่อน เพื่อที่ว่า ตอนออกไปบิณทบาต พอเราแผ่ส่วนบุญหรือให้พรแก่โยมที่มาใส่บาตร
เขาจะได้รับอานิสงส์ผลบุญที่บริสุทธิ์
.และผมก็น้อมเอาคำสอนนี้ใส่ไว้ในใจเสมอ วัดที่ผมบวชอยู่นี้เป็นวัดบ้าน อยู่ในกรุงเทพใกล้ๆกับบ้านผม และนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ผมบวชวัดนี้ เนื่องจากใกล้กับบ้านผมและญาติๆผม
.เค้าก็อยากจะมาใส่บาตรกันน่ะแหละ แต่ทั้งนี้ผมก็ได้ขอพ่อแม่เอาไว้ว่า หลังจากบวชที่นี่ได้ซักระยะผมก็อยากจะย้ายไปที่วัดป่า เพราะใจจริงผมอยากจะไปปฏิบัติ อยากไปศึกษากรรมฐานจึงอยากได้สถานที่ที่สัปปายะซักหน่อย
ก็นับว่าโชคดีที่ไปได้เอาวัดป่าแห่งหนึ่งเข้าที่ชลบุรี ดีที่ญาติฝั่งแม่คนหนึ่ง เค้ารู้จักกับท่านเจ้าอาวาสจึงไปฝากฝังกับท่านไว้ ซึ่งท่านก็ตอบตกลง
ตีสี่ครึ่ง พระใหม่ทุกรูปมานั่งกันพร้อมหน้า ซักพักท่านเจ้าอาวาสก็มา แล้วพระอื่นๆก็ค่อยๆทยอยกันมาทำวัตรเรื่อยๆ เสร็จจากทำวัตรประมาณตีห้าครึ่ง ท่านเจ้าอาวาสก็เรียกพระใหม่เข้าไปอบรม ถือเป็นกิจวัตรประจำของที่นี่ (ซึ่งพวกเราก็นับว่าโชคดีมาก เพราะโดยมากแล้วเจ้าอาวาสวัดอื่นๆมักมีกิจเยอะ ไม่ค่อยมีเวลามาพูดคุยกับพระใหม่) ท่านก็เทศน์สอนให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องการบวชจนถึงประมาณ 6 โมงเกือบครึ่ง จึงปล่อยให้ไปบิณทบาต
ซึ่งถือว่าออกสายมากแล้ว เวลานี้พวกเราเลยต้องรีบเร่งกลับกุฏิเพื่อไปเอาบาตร ก่อนจะกลับพวกพระใหม่รุ่นพี่สอนผมครองจีวรแบบห่มคลุม ซึ่งผมก็ค่อนข้างจะงงมิใช่น้อย
แถมจีวรผมนั้นค่อนข้างยาวกว่าชาวบ้านชาวเมืองเค้า(เนื่องจากตัวสูง เค้าจึงต้องสั่งไซส์พิเศษ)
การม้วนผ้าสะบัดผ้ามันเลยต้องลำบากกว่าคนอื่นเค้าพอสมควร ก็ถูๆไถๆกันไปจนเสร็จนั่นแหละ(..ฝีมือผมเองประมาณ 20% ) จึงรีบกลับไปที่กุฏิ
..ถึงกุฏิผมรีบตรงรี่ไปยังห้องน้ำ (เนื่องจากไม่ไหวแล้ว..ข้าศึกบุกประชิดถึงประตูเมืองแล้ว) เข้าเสร็จ
ออกมาจีวรทำท่าจะหลุดอีกเลยต้องห่มใหม่ พอจำได้คลับคล้ายคลับคลา ก็เลยลองห่มไป รีบคว้าบาตรแล้วลงข้างล่าง
..พอดีเจอกับท่านพระครู ผู้เป็นพระพี่เลี้ยงผม ท่านบิณทบาตเสร็จแล้วกลับเข้ามาพอดี
.เลยบอกว่าผมห่มผิด (ถึงว่า
มันแปลกๆอยู่
.แขนมันรู้สึกโล่งๆ) และจัดแจงช่วยผมห่มใหม่ ให้ผ้าคลุมแขนเรียบร้อย
แล้วเอาบาตรคล้องบ่าให้ผมใหม่ และสอนวิธีอุ้มบาตร เปิดบาตร
.. เอ้าทีนี้ค่อยดูเป็นผู้เป็นคน
.เอ้ย เป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมาหน่อย เสร็จสรรพเรียบร้อย ผมกำลังจะเดินออกไป..ท่านก็ถามผมขึ้นมาว่าวันนี้ไปรับบาตรที่บ้านโยมแม่และโยมตารึเปล่า(ท่านรู้จักกับโยมแม่และโยมตาผม) ผมก็ตอบว่าไป ท่านเลยบอกผมว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ญาติโยมที่หน้าวัดจะมาใส่บาตรกันเยอะ
.ท่านกลัวว่ากว่าจะไปถึงบ้านโยมแม่บาตรจะเต็มซะก่อน (เพราะค่อนข้างไกล) ท่านเลยเมตตาบอกว่าจะให้โยมลูกศิษย์หน้าวัดขับรถซู(สองแถวเล็ก)พาไปส่ง
..แล้วท่านก็เดินอุ้มบาตรนำผมไป
ผมเข้าใจคำพูดของพระครูขึ้นมาทันที ระหว่างเรากำลังจะไปหน้าวัด
..ขนาดยังอยู่ในวัดแท้ๆ โยมมาดังรอพระอยู่เต็มไปโม้ด อันที่จริงระยะทางจากกุฎิไปหน้าวัดก็ประมาณซัก 200 เมตรเองแท้ๆ แต่เล่นเอาบาตรผมกับพระครูเกือบเต็ม ท่านเลยต้องขอถุงพลาสติคจากโยมมาใส่เพิ่ม แล้วเดินนำไปบอกโยมลูกศิษย์ให้พาเราไป(..ท่านก็ไปด้วย)
ตกลงการบินทบาตวันแรกของผม ก็เลยได้ไปแค่ 2 บ้านเอง
วันต่อมาก็ค่อยยังชั่วหน่อย ท่านเจ้าอาวาสเริ่มปล่อยเร็วขึ้น(กว่าเดิมนิดหน่อย) และผมก็เริ่มครองจีวรคล่องขึ้น แถมเค้าจัดลูกศิษย์วัดให้เดินตามคนนึง
ก่อนออกจากวัดผมก็ไหว้พระประธาน ขอให้ญาติโยมที่มาใส่บาตรได้บุญกันไปถ้วนหน้า
วัดที่ผมบวชนี้มีตลาดขนาดย่อมๆตั้งอยู่เลยหน้าวัดไปหน่อย จึงไม่น่าแปลกใจนักที่จะมีคนมาใส่บาตรกันเยอะมากตอนวันพระหรือวันเสาร์อาทิตย์
ผมเองเคยเจอมาแล้วกับตัว ถึงกับต้องยืนให้รับบาตร และให้พรโยมอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 กว่านาทีเนื่องจากขยับไปไหนไม่ได้ โยมกรูกันเข้ามาใส่บาตรกันอย่างไม่ขาดสาย จนลูกศิษย์วัดที่เดินตามต้องเปลี่ยนย่ามแล้วเปลี่ยนอีกพัลวัน ( เขาจะสะพายย่ามสำรองเอาไว้ประมาณ 4 ย่าม ) โดย(หัวหน้า)ลูกศิษย์อีกคนคอยขี่มอเตอร์ไซค์เอาย่ามมาผัดเปลี่ยนให้ ซึ่งก็ต้องมาเปลี่ยนกันประมาณ 2-3 รอบ จึงจะพอใส่ แถมถนนก็แคบครับเวลาจะให้พรโยมก็ต้องดูดีๆ พยายามเดินเข้ามาใกล้ๆฟุตบาทหน่อย
.เดี๋ยวเกรงว่าโยมกำลังรับพรอยู่ดีๆ พระหายไปซะฉิบ (โดนรถเสยไป) เหนื่อยก็เหนื่อย หนักก็หนักนะครับ แต่พอได้เห็นพลังศรัทธาของญาติโยมแล้ว พระก็ทนได้ครับ
เฮ้อ
กว่าโยมจะปล่อยให้กลับวัดได้ ก็เล่นเอาพระหมดแรงไปตามๆกัน
แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันจันทร์
.คนใส่บาตรจึงไม่ค่อยเยอะมากนัก
ผมค่อยๆเดินเท้าเปล่า ไปอย่างช้าๆ สายตาเหลือบต่ำมองไปในระยะ 4-5 เมตรข้างหน้า ดูว่ามีเศษแก้วเศษอะไรอยู่ที่พื้นรึเปล่า
เข้าใจว่าเป็นกุศโลบายของคนสมัยก่อนที่ให้พระเดินถอดรองเท้า จะได้ทำให้พระมีสติรู้ตัวตลอดเวลา ซึ่งก็ได้ผลดีซะด้วย และถือเป็นการฝึกภาวนาไปในตัว
.
สัมผัสที่ฝ่าเท้าของผมได้สัมผัสกับพื้นถนนขรุขระยามเช้านั้น เป็นความรู้สึกที่ดี แบบแปลกๆ มันเหมือนกับว่าผมได้สัมผัสรับรู้กับโลกตามความเป็นจริง โดยไม่ผ่านการปรุงแต่ง (รองเท้า??)
ทรายทุกเม็ด
.กรวดทุกก้อน ที่ฝ่าเท้าผมเหยียบย่ำไป
จะมีบางก้อนที่ติดฝ่าเท้าผมขึ้นมาด้วย
หากเป็นกรวดคมๆมันก็จะทำให้ผมเจ็บแปล๊บขึ้นมาบ้าง
..ราวกับจะบอกให้ผมรับรู้ถึง ความมีอยู่ ของมัน ครั้นพอเดินไปสักพัก มันก็อาจจะหลุดไปบ้าง และมีเม็ดใหม่ติดขึ้นมาบ้าง
ผมได้แต่เฝ้าดูเฝ้ารู้ตามไป ...........ความรู้สึกเจ็บที่
.เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
..คล้ายกับว่าเค้ากำลังสอน ไตรลักษณ์ ให้ผมได้รับรู้
ภาพชีวิตอันวุ่นวายของผู้คนยามเช้าสองข้างทางที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า บ้างหาบเร่ บ้างเข็นผักขาย บ้างกำลังจัดร้านไว้เตรียมรอลูกค้า
ดูผิวเผินอาจเหมือนว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่หลากหลาย แตกต่างกันไปตามแต่ภาระหน้าที่ของตน
.ทว่าเป็นไปด้วยจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือความดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง อันเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนให้ ชีวิตดำเนินต่อไป
.ผมมองภาพเหล่านั้นราวกับว่ากำลังดูละครเรื่องหนึ่ง
ละคร ที่ไม่เคยมีตอนจบ
.น่าแปลกที่เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมเองก็ยังเป็น ตัวละคร อยู่ในละครเรื่องนั้นเองแท้ๆ
นิมนต์ค่ะหลวงพี่ เสียงคุณโยมคนหนึ่งดังขึ้นมาจากริมฟุตบาท ผมเดินไปหยุดตรงหน้า ค่อยๆเปิดบาตรฝาออกมาเบาๆ โยมคนนั้นค่อยๆบรรจงประคองถุงข้าวถุงกับใส่ลงในบาตร แล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
.จัตตาโร ธัมมาวัททันติ อายุวัณโณ สุขัง พะลัง ผมสวดให้พรโยมไปพร้อมกับ แผ่เมตตาไปให้ จากนั้นค่อยปิดฝาบาตร แล้วเดินต่อไป
..
สักวันหนึ่ง
ผมจะต้องกลับไปสวมบทบาทในละครเรื่องนั้นอีกครั้ง
สักวันหนึ่ง
ผมอาจจะมายืนใส่บาตรอยู่ตรงนี้ ให้กับพระสักรูปที่เดินผ่านมา
แต่เมื่อถึงวันนั้น
..ผมจะกลับออกไปด้วยสายตาที่มองเห็นและเข้าใจความเป็นจริงของโลกมากยิ่งขึ้น
.เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เหมือนกับก้อนกรวดบนฝ่าเท้า (
.ที่มาสร้างความเจ็บให้ผมรู้สึกได้เป็นครั้งคราว)
..เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
..
ในกระแสความเป็นไป
.ของเวลา
..............
ซงย้ง
จากคุณ |
:
ซงย้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
9 มี.ค. 53 12:15:53
|
|
|
|