ผมจะเป็นพระที่ดี ตอน
.ก้าวแรกสู่วัดป่า
|
|
ตอน
.ก้าวแรกสู่วัดป่า วยสองมือวนไปวนมาซักสี่ห้ารอบ จึงเทน้ำออก แล้วเอามาตั้งบนขาบาตร
ผมได้แต่ยืนมองตาปริบๆอย่างงงๆ เข้าใจว่าอาจจะเป็นธรรมเนียมของพระป่า ท่านจัดอาสนะ(เบาะรองนั่ง)ให้ผมนั่งเป็นอันดับสุดท้ายเรียงตามลำดับอาวุโส
ผมชำเลืองมองข้างๆ ถัดจากพระอีกรูปที่นั่งข้างผมไป มีอาสนะว่างอยู่ 3 4 ที่ เลยค่อยโล่งอกหน่อย
.อย่างน้อยผมก็ไม่ได้มาเป็นคนสุดท้ายแหละวะ ซึ่งจริงๆแล้ว มารู้เอาภายหลังว่าหลวงพี่เหล่านั้น ท่านไปรับประเคนอาหารจากโยมที่โรงครัวข้างล่างโน่น เบื้องหน้าผม
อุบาสกอุบาสิกาในชุดขาวนั่งกันให้สลอน พวกเค้ากำลังท่องบทสวดมนตร์พร้อมกันเสียงดังฟังชัด ผมไม่นึกเลยว่าวัดป่าวัดเขาห่างไกลความเจริญเช่นนี้ ( สังเกตุจากสองข้างทางที่เข้ามา
บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันเป็นกิโล ) จะมีญาติโยมมาทำบุญกันเยอะขนาดนี้ ผมสังเกตเห็นคนหนุ่มสาวอุ้มลูกจูงหลาน ไม่ก็พาปู่ย่าตายายทำบุญกันเนืองแน่นเต็มไปศาลาหมด
.แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวบ้านต่างจังหวัดที่ยังคงมีอยู่อย่างแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย พระที่ไปรับประเคนอาหารจากโยม ตอนนี้ก็ค่อยๆทยอยกันขึ้นมานั่งบนอาสนะจนครบ
นับได้ทั้งหมด 12 รูป(รวมผมด้วย) ปกติแล้วเห็นโยมเพื่อนแม่บอกว่ามีประมาณ 6-7 รูปเอง
แต่ที่วันนี้มีเยอะ(ขึ้นมาหน่อย) ก็อาจเป็นเพราะพรุ่งนี้ที่วัดจะมีกฐิน ครูบาอาจารย์(พระมหาเถระ)จะมากันเยอะ ก็เลยมารอพบครูบาอาจารย์ หลังจากมรรคนายก*กล่าวคำถวายสังฆทานเสร็จ พระอาจารย์จันดี(เจ้าอาวาส)ก็เทศน์ให้โยมฟังซักพัก
เสร็จแล้วตัวแทนสงฆ์ก็จะกล่าวแจกจ่ายอาหารอันถือเป็นประเพณีดั้งเดิม จากนั้นพระก็จะทยอยกันอุ้มบาตรเปล่าของตัวเอง (ต้องบอกว่าเปล่าจริงๆ เพราะถอดสลกบาตรและขาบาตรออกหมดแล้ว) เดินเรียงแถวตามลำดับพรรษาเพื่อเข้าไปตักอาหารในโรงครัว (พวกพระผู้ใหญ่ก็จะมีโยมมาถือบาตรถวาย) (*คำนี้มักเรียกเพี้ยนไปเป็น มรรคทายก
มรรคนายก แปลว่า ผู้นำทางหรือผู้นำบุญครับ ส่วนมรรคทายกนั้นจะแปลว่า ผู้ให้ทาง
ซึ่งทำให้ความหมายผิดไป ) ผมเดินตามหลังพระทั้งหลายเข้าไปยังโรงครัว
.ข้างในจะมีโต๊ะยาววางต่อกันสองแถว บนโต๊ะเต็มไปด้วยจานชาม ถ้วย กาละมังใส่อาหารหลากชนิด
ดูลานตาไปหมด อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันพระแถมเป็นวันเสาร์อาทิตย์ด้วยล่ะมั้งคนเลยนำมาถวายเยอะเป็นพิเศษ จากนั้นพระก็จะทยอยเดินตักอาหารใส่บาตรของตน โดยพระผู้น้อยจะต้องให้พระผู้ใหญ่ตักก่อนซักพักจึงค่อยตักได้ ยิ่งถ้าเป็นพระเถระด้วยแล้วต้องเว้นระยะไว้กี่ศอกไม่รู้ ..ผมก็จำไม่ค่อยได้ ดีที่มีพระรูปหนึ่งบอกผมไว้ก่อนจึงไม่ขายหน้า
.ผมยืนรอให้พระผู้ใหญ่ตักไปเรื่อย ระหว่างนั้นก็พิจารณาดูกิเลสตัวเองไป ( ตอนแรกมันก็ยังไม่หิวมากหรอก แต่พอมายืนต่อหน้าอาหารมากมายแบบนี้ ไอ้เจ้ากิเลส ความหิว นั่นพองตัวซะใหญ่เบ้อเริ่มเลย
) ..จนถึงคิวผมจึงเดินตามไป ล้างมือขวาในกาละมังใส่น้ำ ส่วนมือซ้ายก็ประคองบาตร เดินตามไป
..แล้วก็ตักอาหารใส่เข้ามาในบาตร ทั้งนี้
ผมจะตักอาหารโดยคำนึงถึงคุณค่าทางอาหารนั้นๆจริงๆ จะไม่พยายามตักเพราะอยากกิน
โดยเฉพาะอาหารที่ชอบ ผมจะพยายามผ่านมันไปเลย
ผมตามดูไปอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงระยะเวลาสั้นๆ ผมเห็นกิเลสตัวเอง เกิดดับ เกิดดับ ติดต่อกันไปเรื่อยแบบนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง พอตักอาหารเสร็จแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ก็จะเดินกลับไปนั่งยังอาสนะของตน
. ช่วงนี้พระใหม่ต้องรีบทำเวลาหน่อย เพราะจะเป็นการไม่สมควร หากต้องให้พระผู้ใหญ่ท่านรอนาน ผม(ซึ่งอยู่รูปสุดท้าย)เองก็ตักมือระวิงเลยครับ กับข้าว ผลไม้ นมถั่วเหลือง รีบหยิบใส่บาตรให้หมด
.แล้วก็รีบเดินตามขึ้นไปนั่งบนอาสนะ (อ้อ อย่าลืมกราบสามครั้งก่อนทุกครั้งที่ขึ้นนั่งบนอาสนะด้วย) พอขึ้นบนอาสนะเสร็จ
.ผมก็สังเกตุดูซิว่าพระรูปอื่นเค้าทำอะไรกันต่อ เห็นท่านหยิบพวกผลไม้ พวกขนม น้ำออกมาวางไว้ที่ฝาบาตร(ที่วางอยู่ข้างๆบาตร) ผมก็เลยทำตาม นึกในใจว่า อ้อ
ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือเนี่ย ตอนแรกนึกว่าต้องฉันในบาตรทั้งหมดเลย ครั้นเห็นพระทุกรูปมานั่งพร้อมกันแล้ว ท่านเจ้าอาวาสก็จะนำสวดกรวดน้ำ
ให้พรโยม แล้วถึงจะเริ่มฉันได้ แต่อ๊ะๆ
.อย่านึกว่าพระใหม่อย่างผมจะได้ฉันเลยนะครับ ยังครับ ผมต้องรอให้พระทุกรูปตักอาหารคำแรกเข้าปากก่อน ผมถึงจะเริ่มตักได้ ก็เรียงตามลำดับพรรษาอีกนั่นแหละครับ
..พอพระพรรษาสูงกว่าตักข้าวเข้าปาก พระพรรษาต่ำกว่าที่นั่งถัดไป จะพนมมือรับ แล้วถึงจะค่อยเริ่มฉันได้ และก็จะเป็นแบบนี้ต่อๆกันไปเรื่อยๆครับ
.จนถึงรูปสุดท้าย (ซึ่งก็คือผม)
.ผมก็เลยต้องนั่งฝึกขันติดูกิเลสตัวเบ้งๆ ในบาตร ( ยอมรับว่าแอบกลืนน้ำลายหลายอึกเหมือนกัน) เวลาฉันก็เหมือนเดิมครับ
เราจะฉันอย่างเอร็ดอร่อย ปล่อยให้หลงไปเพลิดเพลินมัวเมากับรสอาหารไม่ได้ครับ ต้องมีสติตลอดเวลา
.และเพื่อจัดการกับเจ้ากิเลสให้อยู่หมัด ผมเลยตักกับข้าวให้มันคลุกเคล้าเข้ากัน โดยที่ไม่ต้องแยกว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนจะเอาเข้าปาก
..ทีนี้ข้าวแต่ละคำของผมนี่ จะไม่ซ้ำกันเลยครับ เดี๋ยวก็กะเพราหอยจ๊อราดแกงเขียวหวานบ้าง
..เดี๋ยวก็ส้มตำเมล็ดทานตะวันใส่สาหร่ายเถ้าแก่น้อยบ้าง แต่แปลกนะครับถึงจะ มิกซ์แอนด์(ไม่)แมทช์ กันขนาดนี้
.มั๊นก็ยังจะรู้สึกอร่อยขึ้นมาจนได้อยู่นั่นแหละ(..สงสัยจะหิวมาก) ผมก็เลยต้องคอยตามรู้มันไป ไม่ให้กิเลสมันพาผมไปหลงกับรสได้ ผมฉันไปได้ซักพักหนึ่ง ..ก็เห็นว่ามีพระรูปหนึ่งปิดฝาบาตรลง แล้วก้มกราบบนอาสนะสามหน ก่อนจะอุ้มบาตรพร้อมขาและกระโถนมาตั้งยังเสื่อที่ปูไว้ด้านข้างศาลา เข้าใจว่าท่านคงฉันเสร็จแล้ว
.ซักพักท่านเดินถือกาน้ำไปนั่งลงที่เบื้องหน้าพระอาจารย์จันดีอาสนะ กราบพระสามครั้งแล้วค่อยนั่งพับเพียบ ซักพักพระอีกรูป(พระฝรั่ง)ก็เดินถือกาน้ำไปนั่งเบื้องหน้าพระผู้ใหญ่อีกรูปที่นั่งถัดพระอาจารย์จันดีอีก
..ผมฉันไป ดูไป ก็งงว่าเอ๊ะ ทำอะไรกันหว่า
.นั่งดูไปซักพัก พอพระอาจารย์จันดีฉันเสร็จ พระรูปแรกที่ไปนั่งรอก็ยกกาน้ำไปล้างมือให้ท่าน (โดยมีกระโถนรองน้ำไว้) จากนั้นก็มือท่าน แล้วก็เอาผ้าอีกผืน มาเช็ดตรงเบื้องหน้าอาสนะท่าน
เสร็จแล้วจึงค่อยขนกระโถน ขนบาตรท่านมาวางไว้ที่ด้านข้างศาลา (ที่เดียวกับที่ท่านวางบาตรท่านไว้) ซึ่งทุกอย่างทำด้วยความคล่องแคล่วและนอบน้อม ซักพักพอพระผู้ใหญ่รูปที่สองฉันเสร็จ พระฝรั่งที่นั่งรอก็ทำตามแบบนั้นบ้าง ก็พอดีกับที่ผมฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกราบพระแล้วเอาบาตรเอากระโถนไปวางไว้ที่ๆเค้าวางกัน แล้วกลับมานั่งที่เดิม (ซึ่งหลังจากนั้นก็มีพระรูปอื่นไปช่วยกันล้างมือพระผู้ใหญ่อีกสองรูปที่เหลือจนเสร็จ)
...ผมมารู้เอาภายหลังว่า นั่นคือการอุปัฏฐาก(ช่วยเหลือ)ครูบาอาจารย์
อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอันสำคัญยิ่งของพระป่า มันเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน เพราะสำหรับพระป่าแล้ว ครูบาอาจารย์ เปรียบประหนึ่งเป็นพ่อแม่เลยก็ว่าได้ เพราะกว่าที่พระรูปหนึ่งจะปฏิบัติมาจนเป็นครูบาอาจารย์นั้น ท่านต้องบำเพ็ญเพียร เผชิญกับความลำบาก ความทุกข์ยากมามากมาย จากป่าดงรกร้าง
กว่าท่านจะถากจะถาง ก่อร่างสร้างให้กลายเป็นวัดที่ให้เรามาบวชเรียนนี้ ท่านต้องเหนื่อยยากขนาดไหน
..เราเสียอีก ผู้มาใหม่ มาอาศัยวัดที่ท่านสร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ควรแล้วหรือที่จะมานั่งๆนอนๆทำกระทำตนเสมอท่าน
.การอุปัฏฐากจึงเป็นเสมือน หนทางการตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์
..แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี เริ่มตั้งแต่การล้างเท้า เช็ดเท้าให้ท่าน
.ล้างมือหลังฉันเสร็จ เสร็จแล้วก็ล้างบาตร เอาจีวรท่านไปซัก ทำความสะอาดกุฏิ นวดขานวดเท้า
หรือแม้กระทั่งสรงน้ำท่าน
แรกๆ ผมก็คิดว่า เฮ้ยมันต้องขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย แต่พอได้ลงมือทำเองกับตัวแล้ว
. มันรู้สึกอิ่มเอมใจจริงๆครับ (ไว้จะค่อยๆเล่าให้ฟัง) เอาล่ะ
สำหรับตอนนี้ผมว่ามันชักจะยาวมากเกินไปแล้วล่ะ ก่อนที่ผู้อ่านจะเบื่อซะก่อน (หรือเบื่อไปแล้ว??) ผมขอไปต่อเอาตอนหน้าแล้วกันนะครับ
จากคุณ |
:
ซงย้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
10 มี.ค. 53 09:49:48
|
|
|
|