Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
รื่องเล่าของมนต้นไม้ ฝกตกพกร่ม...อะไรดีๆก็เกิดตามมาได้ค่ะ (ฝากนิยายเรื่องสุริยัน-จันทรา และเสน่หาจอมนาง ที่จะออกเป็นเล่ม  

.


แวะทักทายคนคุ้นเคยกันก่อนค่ะ หลังจากหายหน้าไปนาน อิๆ
วันนี้มาแปลกนิดหนึ่งค่ะ ไม่ได้มาในงานย้อนยุคที่ถนัด
แต่มาในรูปเรื่องสั้นๆม้วนดียวจบ ที่ไม่ได้เขียนมานานมากแล้ว
ขึ้นหัวเรื่องให้คนอ่านเป็นงงเล็กน้อย แต่เรื่องราวจะเป็นยังไง
ต้องลองมาตามกันค่ะ


เรื่องเล่าของมนต้นไม้ ฝกตกพกร่ม...อะไรดีๆก็เกิดตามมาได้ค่ะ



เป็นที่รู้กันว่าย่างเข้าหน้าฝนเมืองไทยทีไรเนี่ย ฝนจะตกหยั่งกับฟ้ารั่วไม่ไว้สงสารชาวบ้านตาสวยๆอาหมวยข้างบ้านบ้างเลย โดยเฉพาะคนต้องเดินทางใช้พาหนะคู่ชีพเป็นเบนซ์สองประตูยี่สิบหน้าต่างสีแดงสดอย่างคนเล่าเนี่ย จะไปไหนมาไหนแต่ละทีขาดไม่ได้เลยก็คือร่ม แต่มันก็แปลกตรงที่ว่าวันไหนเอาร่มไปทั้งๆที่มันโคตะระแห่งความเกะกะเพราะต้องต่อรถหลายทอด ฝนมันก็ไม่ตก แต่วันไหนไม่ได้เอาไป เฮ้อ...ดันตกลงมาอย่างกับว่าจะแกล้งกันซะอย่างนั้น แถมตกหนักมากๆด้วยซิเชื่อเจ้ฝนแกเลย จะมีคนอื่นคิดอย่างที่เราบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ หุๆ
บ่นไปมากมายก่ายกองกว่าจะเข้าเรื่องได้ พอดีคนอ่านเบื่อซะก่อน แหะๆ


เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งจำได้ว่าเป็นวันอังคารสมัยเรียนอยู่ปีสองเห็นจะได้ (ย้อนกลับไปแค่ยี่สิบปีนิดๆเท่านั้นเอง ฮี่ๆ กำลังอยู่ในวัยกำลังเอ๊าะเลยค่ะ) ขณะที่กำลังลงจากรถเมล์ คุณฝนขาประจำเธอก็ครวญครางร้องไห้แงๆออกมาซะอย่างนั้น ทั้งที่รู้ก็รู้ว่าที่จะหลบฝนก็แทบจะไม่มี เพราะป้ายที่ลงมันอยู่ริมถนนมีแค่หลังคาของตึกแถวยื่นออกมาพอที่จะบังอะไรได้ซะที่ไหนกัน อะอ้า..แต่กลับทำให้คนเล่ากระหยิ่มยิ้มในใจ ไม่กลัวค่ะวันนี้ โชคดีมากๆที่พกร่มมา คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม อุตส่าห์แบกไปมหาลัยตั้งหลายวัน ฝนดันไม่ตกเจ็บกระดองใจจริงๆ


ว่าแล้วก็กดปุ่มกางร่มอย่างสบายอารมณ์ เสียงร่มกาง “พรึบ” เหนือหัวแหม...ฟังแล้วมันสุขใจจริ๊งจริงเลย (โรคจิตหรือเปล่าเนี่ยเรา อิๆ) อย่างที่เล่านะคะ แถวนั้นเป็นป้ายรถเมล์โดดๆไม่มีศาลา (น่าจะเรียกว่าป้ายรถโดยสารนะคะ) ที่จะให้เข้าไปหลบฝนได้เลย เพราะฉะนั้นคนที่ยืนอยู่ก่อนส่วนใหญ่ไม่มีร่มก็จะหลบไปอยู่ข้างในเรียกว่าหลังแนบกระจกก้นแนบขอบประตูร้านกันไปเลย และยิ่งเวลาฝนตกลงมาแรงๆ พวกนี้แทบจักแปลงร่างเป็นจิ้งจกกระโดดเกาะกระจกทีเดียวเชียว อิๆ (ดีนะเจ้าของร้านไม่เอาไม้มาเขี่ย คิดว่าเป็นตัวอะไรสีเขียวๆ ล้อเล่นนะคะ)


ส่วนพวกแถวหน้ามีร่มกันเกือบทุกคน ก็เลยทำเท่ห์ยืนหน้าสลอนอาบละอองฝนคอยมองคนที่เพิ่งลงจากรถเมล์แล้วแอบสะใจอยู่ลึกๆ ( อีกแหล่ะ สงสัยคนเขียนจะเป็นพวกโรคจิตแน่ๆเลย เอ้ย..ไม่ใช่นะคะ แค่นึกขำๆเท่านั้นเอง) ส่วนคนเล่ามือหนึ่งถือร่มมือหนึ่งถือหนังสือ อืม...ประมาณเพลงเจ้าสาวที่กลัวฝนของพี่เต๋อเรวัต( แหะๆ ไม่รู้จะมีผู้ร่วมสมัยทันรู้จักศิลปินท่านนี้บ้างหรือเปล่าเนี่ย)


โอ้...ทีนี้เจ้ฝนเริ่มไม่ปรานีแล้วค่ะ เล่นตกแรงขึ้นๆ เรียกว่ามีแต่หัวที่อยู่ใต้ร่มเท่านั้นที่ไม่เปียกนอกนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะเดากันออกนะคะว่าไม่เหลือ ขณะที่กำลังยืนมองแมลงสาปวิ่งพล่านหนีตายออกมาว่ายน้ำเล่นห่างออกไปไม่ถึงฟุต กรี๊ด...  ไม่ใช่เสียงร้องของคนเล่านะคะอย่าเข้าใจผิดเชียว แมลงสาปเนี่ยเพื่อนซี้กัน แต่เป็นเสียงหวีดร้องของสาวไม่น้อยเท่าไหร่รุ่นน้องๆป้าขายกล้วยแขกตัวอวบๆที่ยืนอยู่ถัดไปทางขวานะคะร้องออกมาเรียกว่าคนที่ได้ยินขำฟันปลอมแทบหลุดทีเดียว


ประมาณว่า“ตาเถรยายชี อุ๊ย...แม่หกตกแหก และ...อื่นที่เล่าได้แต่เขียนออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้อีกเพี๊ยบค่ะ”


แถมไม่ร้องเปล่า ยังดีดดิ้นเอาบั้นท้ายบานๆเอ้ย..เคยงาม เบียดมาทางขวายืนขยับขาไปมาอย่างกับเต้นแรพกระแทกเอาสองคนที่ยืนติดกันแทบล้มหน้าทิ่มไปเลย เหอๆ อุตส่าห์กลัวเปียกหลบฝนอยู่ตั้งนานพอเจอคุณแมลงสาปตัวเดียวป้าอวบลืมตายดิ้นไม่หยุดเลยค่ะ สักพักคงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ในเธคอาการสติแตกของเจ้เลยสงบลง ค่อยทำให้คนอื่นสงบตามไปด้วยไอ้เรามองตามแล้วก็นึกสงสาร ท่าจะเล่นเอาเหนื่อยพอดู  แต่ความกลัวบ้าจี้ไม่เคยปรานีใครอยู่แล้ว ไม่เลือกเวลาเสียด้วยซิ เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ ท่ามกลางฝนที่ยังเทลงมาไม่ขาดสายและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียด้วย ขณะหลบฝนรอให้ขาดเม็ดอยู่นั้นเองรถเมล์ครีมแดงสาย 63 คันนึงก็วิ่งมาจอดให้ผู้โดยสารลงตามปกติ


สักครู่ก็มีคนๆหนึ่งที่เพิ่งลงมาจากรถที่เคลื่อนตัวออกไปเดินมายืนข้างๆเพื่อหลบฝนเหมือนกัน ไอ้เรากำลังเพลินกับการมองเหล่าแมลงสาปสามพี่น้องมาเริงระบำเล่นคลื่นอยู่แถวท่อน้ำที่เอ่อทะลักขึ้นมาพร้อมกับเศษขยะและน้ำสีคล้ำๆแถมมีกลิ่นอีกตังหากเพราะว่าระบายไม่ทัน ไม่ทันได้มองหน้าสนใจใครเพราะเพิ่งจะเหลือบมาเห็นว่ารองเท้าคู่สวยของตัวเองตอนนี้มันจมอยู่ในน้ำฝนเลยแล้ว กำลังนึกในใจว่าโห...ให้มันได้อย่างนี้ซิรองเท้าใหม่เสียด้วย ฉลองซ้า...จะพังไหมเนี่ย


พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นลูกหมาเปียกฝนเข้าพอดี เอ้ย...ไม่ใช่ หันมาเห็นคนที่ยืนเปียกฝนซกอยู่ข้างๆเพราะไม่ได้พกถุง เอ้ย...พกร่มมา ก็เลยยื่นมือที่ถือร่มออกไปแบบอัตโนเมติกไม่ค่อยจะตั้งใจเท่าไหร่ไปกันหัวกะบาลให้คนข้างๆ เพราะพี่แกเล่นมายืนซะติดเชียว (ประมาณว่า ขอฉันหลบฝนด้วยตัว เอ้ย...ด้วยคน)  ไอ้เราก็เป็นคนใจอ่อนนึกถึงตอนไม่ได้พกร่มมา น่าสงสารจัง พูดแล้วก็ทำตาปริบๆแบบปุ๋ยรักเด็ก หรือไม่ก็นางเอกหนังกลางแปลง หุๆ


พอพ่อคนนั้นเริ่มรู้สึกว่าหัวตัวเองไม่เปียกก็หันมาส่งยิ้มหวานให้พร้อมกับทำเสียงหล่อสุดชีวิตว่า “ขอบคุณครับ” (อ๊าก... อุ แม่เจ้า หลบหน่อยพระเอกมา ฮ่าๆ คนอะไรเทวดาช่างปั้น ทำเอาเลือดกำเดาแทบกระะฉูด) ทำไมเราช่างโชคดีอย่างงี้ ไม่ค่ะ ไม่ใช่อย่างที่คิด คนอ่านอย่างเพิ่งเดาไปไกล ฮ่าๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ ฝนก็ยังตกต่อไป และดูเหมือนจะตกนานที่สุดเท่าที่เคยเจอเลย


แหม..อย่างกับสวรรค์มีตา(ตุ่ม) ช่างรู้ใจคนเล่าเลยจริงๆ พอสุดหล่อหันมาสบตา ปิ๊งๆ ปิ๊ง เอ้ย...หันมาพูดขอบคุณครับ ไอ้เราก็เป็นงงมัวแต่ยืนตะลึงในความหล่อของเฮีย แต่กลัวจะเสียอาการก็เลยทำเฉยๆ พอรู้สึกตัวอีกทีก็ส่งยิ้มแห้งๆกลับไป (โห...เสียดายจัง ถ้าย้อนกลับไปได้จักฉีกยิ้มหวานจนเห็นฟันซี่สุดท้ายไปเลย) นี่ก็เลยไม่ได้เป็นที่ประทับใจกันสักเท่าไหร่ (ทั้งที่แอบเหล่เป็นระยะๆเพื่อเฮียสุดหล่อจะเปลี่ยนใจไง แอบมองไม่ให้เค้ารู้ตัวพยายามเก็บอาการไม่ให้น้ำหมาก เอ้ย...น้ำลายไหลย้อยออกมาแบบเสียจริต เอิ๊กๆ)


อยู่ดีๆเจ้ฝนก็เปลี่ยนใจเสียนี่ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มทีเดียวเชียว ขัดใจวัยโจ๋จริงๆ อืม..ฝนใกล้จะหยุดตกแล้ว เค้าคนนั้นก็ทำท่าขยับแบบว่าจะไปแล้วนะ (โอ้...สุดหล่ออย่าทำให้ใจหายอย่างนี้ซิ ขออีกสิบวิ ได้ป่ะ มายก๊อด พระเจ้าจร์อทโปรดเห็นใจกันหน่อย ) อ้า...คำขอเป็นผลแฮะ งวดหน้าขอเลขท้ายสองตัวนะคะ พระเจ้าจร์อท...ขอบคุณค่ะ และแล้วจู่ๆสุดหล่อก็หันมายิ้มให้ (แบบว่าหัวใจจะวายรอบสอง อ๊าก... ยังค่ะยัง...ยังอยู่ครบ)


แล้วเค้าก็พูดขึ้นว่า “ขอบคุณมากครับสำหรับร่ม พรุ่งนี้เวลาเดิมนะครับ”


จ๊าก..อ๊าก อย่าพูดอย่างนั้นนะคะพี่คนฟังจะระทวยแล้ว ฮ่าๆ  แต่เอ...มันหมายความว่าไงเนี่ย คนบ้านนอกไม่เข้าใจคะ ขณะยืนงงทำหน้าเอ๋อสุดชีวิตแอ๊บสุดขั้ว  เฮียสุดหล่อกลับเดินจากไปเฉยเลยไม่ทันเห็นซะนี่.. ทิ้งไว้แต่หัวใจที่ไหวหวั่นสับสนระทึกเต้นตึ๊กตั๊กของเจ้เอาไว้ โห...มาชวนให้อยากแล้วจากไป นั่น..ว่าไปนั่น ความจริงอารามตกใจก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเข้าใจว่าคงฟังผิด (แต่เอ๊ะ..กลับแอบหวังเล็กๆว่าพรุ่งนี้น่าจะมีลุ้น หุๆ)


วัน เวลาผ่านไปลืมไปสนิทใจเลยค่ะ และก็ไม่ได้นึกถึงอีกเลย จนอยู่มาวันหนึ่งขณะลงจากรถเมล์ตามปกติ ยังนึกในใจว่าวันนี้ดีแฮะฝนไม่ตก  เดี๋ยวต้องเดินไปกินเกี๋ยวเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสกับไอติมรสทุเรียนเสียหน่อย (ไม่ค่อยโบ...เลยใช่ไหมค่ะ...แหม...เนี่ยจ๊าบสุดในยุคนั้นเชียวนะ ขอบอก) ขณะคิดเพลินๆกำลังเดินไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม เอาหล่ะซิ... กลางวันแสกๆ ทำไงหล่ะทีนี้พอเรียกสติกลับมาได้รีบหันขวับกลับไปกะว่าจะด่าเสียหน่อย


อ๊าก... พอหันไปเท่านั้นแหล่ะ ทายซิว่าเจอใครหน้าคุ้นๆ ที่แท้เป็นสุดหล่อที่เคยกางร่มให้นั่นเอง บังเอิญน้องบังอร จริงๆ (ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่านี่มันวันอังคาร์นี่นา) ก็เลยยิ้มออก พี่แกได้ทีขี้แพะไหล เอ้ย...ขี่แพะไล่ รีบชิงพูดก่อนเชียว


“สวัสดีครับ วันนี้รถติดหรือครับ”

มามุขนี้ก็เป็น...งงซิทีนี้ เอ๋อรับทานค่ะ  อะไรค่ะ มุขสมัยไหนเนี่ยไม่เก็ทเลยอ่ะ รถก็ไม่ติดฝนไม่ตกด้วย แต่ยังไม่ทันที่จะตอบ เฮียก็ชิงตอบแทนแทน

“เห็นว่ามาช้านะครับ”

ถึงบางอ้อพอดี...อยากกรี๊ดออกมาเป็นภาษามะนาวต่างนุด ดี๋ด๋าสุดชีวิตมีหนุ่มเดินตาม เข้าใจแหล่ะ... ที่แท้มารอเรานี่เอง เอิ๊กๆ...เขินจัง แต่สู้ตายค่ะ ทีนี้ยิ้มแก้มแทบแตกเลย  แบบว่าทำตัวไม่ถูกไปไม่เป็นเลย ดีไม่เดินตกท่อ หุๆ นานๆจักมีเหยื่อให้มางาบ เอ้ย...หลงมา

ก็เลยแกล้งถามกลับไปว่า “มาธุระแถวนี้หรือคะ”

คำถามยอดฮิตประมาณนางเอกมาเอง ชวนอ้วกมากๆเลย แต่ทำไงได้ คิดอะไรไม่ออกวุ๊ย  ส่วนพี่เค้าก็มามาดพระเอกสุดๆ ชวนอ้วกพอๆกัน เหอๆ ทำเป็นหน้าเข้มพยักหน้าหงึกๆ ถามกลับมาว่า

“กำลังจะไปไหนครับ” ท่ามากพอกัน จะจีบเค้ายังทำเป็นเท่ห์อีก ฮี่ๆ นึกแล้วยังขำไม่หาย ฮี่ๆ

หลังจากทำตัวเป็นก้อนกลมๆลงไปอายม้วนอยู่แถวพื้นถนนก็พอดีเดินมาถึงหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว ต่อไปไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีกแล้วเป็นที่รู้กันว่า  ก๋วยเตี๋ยวมื้อนั้นมันไม่อร่อยเล๊ย...แต่ไม่รู้เป็นยังไงอิ่มอกอิ่มใจจริงๆ กินไปมองแต่เส้นก๋วยเตี่ยวไปลูกชิ้นก็ไม่กล้ากินกลัวอ้าปากแล้วไม่งาม แหม...ต้องเข้าใจกันหน่อยนะคะว่าตอนนั้นยังไม่ทันจะยี่สิบดี ลองมาตอนนี้ซิ ขอเบิ้ลอีกสามชามฮ่าๆ


สรุปพ่อหนุ่มคนนั้นเรียนอยู่มหาลัยเกษตรคณะสัตวแพทย์ ค่ะ หล่อล่ำบึกปานทึกเลยทีเดียวเพราะเป็นนักกีฬารักบี้ตัวมหาลัย อิๆ รู้จักกันได้ปีกว่าพี่สุดหล่อก็เลื่อนสถานะให้เป็นแค่น้องสาวคนสนิท...ซ้า เพราะว่าเรามันเด็กกะโปโล เสล่อเฟอะฟะสู้จริตสาวอึ๋มอั่นกว่าไม่ได้ นั่น...มีแอบขบ เอ้ย...ตัดพ้อ เล่าพอขำๆนะคะ เรื่องมันผ่านมานานแสนนานแล้ว เป็นสีสันของชีวิตนะคะอย่างที่โบราณเค้าว่าไว้


“รักแท้แพ้โอวันติน เอ้ย...ไม่ใช่ แพ้ทางไกล” คงเป็นเพราะคนเล่ายังเด็ก (ทำตาปริบๆกลัวคนอ่านไม่เชื่อ ว่าเด็กจริงๆ เอิ๊กๆ) และพี่เค้าต้องไปฝึกงานที่ฟาร์มโคนมต่างจังหวัด ก็เลยเสร็จสาวตจว.ไป...ซะงั้น สงสัยไปเจอสาวชกางร่มให้เลยแพ้ทางกัน  นับเป็นอีกเรื่องราวดีๆที่ประทับใจอยากเอามาเล่าขำๆสู่กันฟังนะคะ ว่าแต่หน้าฝนนี้ลองพกร่มดูมั่งนะคะ เพื่อจะมีเรื่องน่าประทับใจมาเล่าสู่กันฟังบ้างค่ะ

ปล.แอบถามว่าพี่เค้าว่าปิ๊งได้ไง พี่แกบอกว่าแพ้น้ำใจสาวที่กางร่มให้ เหตุผล แค่นี้ จบข่าว ฮา



.

แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 53 15:37:32

แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 53 13:14:50

จากคุณ : Setakan
เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 53 12:33:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com