Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผมจะเป็นพระที่ดี ตอน ก้าวแรกสู่วัดป่า  

ตอน ….ก้าวแรกสู่วัดป่า
===========================
ผมอยู่วัดบ้านที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 6 วัน   แล้วจึงย้ายไปยังวัดป่าที่จังหวัดชลบุรีตามที่ตกลงกับท่านเจ้าอาวาสกันไว้      วันนั้นพ่อผมขับรถไปรับแต่เช้า  หลังบิณทบาตเสร็จ…ก็ช่วยกันขนเครื่องบริขารทั้งหลายขึ้นรถ  แล้วก็ออกเดินทางกันเลย

ผมขอพูดถึงวัดนี้ให้ฟังก่อนคร่าวๆแล้วกันนะครับ  วัดนี้เป็นวัดสาขาหนองป่าพง (สายหลวงปู่ชา)  เป็นวัดที่ร่มรื่นมากๆครับ   อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา  หน้าวัดมีฝายเก็บน้ำขนาดใหญ่  ….กุฏิพระก็กระจายอยู่ตามราวป่า สงบเงียบ และสัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างยิ่ง      

ไปถึงวัด  ก็ปาไปแปดโมงจะครึ่งแล้ว  ….ตอนแรกนึกว่ายังไม่สาย  แต่ที่ไหนได้  พระมานั่งที่ธรรมมาสกันหลายรูปแล้ว…พอผมไปถึงก็มีพระรูปหนึ่งมาต้อนรับ (มาทราบเอาตอนหลังว่าท่านชื่อ ครูบาชัย)   …ท่านบอกให้ผมเปลี่ยนเป็นห่มจีวรแบบเฉียง เตรียมฉันจังหัน  (อ้อลืมบอกไป…พระที่นี่ฉันมื้อเดียวนะครับ)  ส่วนท่านก็ขอบาตรผมไป   ถอดสลกบาตร(ผ้าหุ้มบาตร)  ออกอย่างคล่องแคล่ว  (ซึ่งปกติผมไม่เคยถอดออกมาเลย) จากนั้นแกก็ไปหยิบกาน้ำ …เทน้ำใส่เข้าไปในบาตร แล้วจับบาตรด้วยสองมือวนไปวนมาซักสี่ห้ารอบ  จึงเทน้ำออก   แล้วเอามาตั้งบนขาบาตร  …ผมได้แต่ยืนมองตาปริบๆอย่างงงๆ  เข้าใจว่าอาจจะเป็นธรรมเนียมของพระป่า

ท่านจัดอาสนะ(เบาะรองนั่ง)ให้ผมนั่งเป็นอันดับสุดท้ายเรียงตามลำดับอาวุโส   …ผมชำเลืองมองข้างๆ ถัดจากพระอีกรูปที่นั่งข้างผมไป มีอาสนะว่างอยู่  3 – 4 ที่  เลยค่อยโล่งอกหน่อย  ….อย่างน้อยผมก็ไม่ได้มาเป็นคนสุดท้ายแหละวะ   ซึ่งจริงๆแล้ว  มารู้เอาภายหลังว่าหลวงพี่เหล่านั้น ท่านไปรับประเคนอาหารจากโยมที่โรงครัวข้างล่างโน่น  

เบื้องหน้าผม…อุบาสกอุบาสิกาในชุดขาวนั่งกันให้สลอน   พวกเค้ากำลังท่องบทสวดมนตร์พร้อมกันเสียงดังฟังชัด   ผมไม่นึกเลยว่าวัดป่าวัดเขาห่างไกลความเจริญเช่นนี้ ( สังเกตุจากสองข้างทางที่เข้ามา  …บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันเป็นกิโล ) จะมีญาติโยมมาทำบุญกันเยอะขนาดนี้    ผมสังเกตเห็นคนหนุ่มสาวอุ้มลูกจูงหลาน  ไม่ก็พาปู่ย่าตายายทำบุญกันเนืองแน่นเต็มไปศาลาหมด   ….แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวบ้านต่างจังหวัดที่ยังคงมีอยู่อย่างแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย    

พระที่ไปรับประเคนอาหารจากโยม  ตอนนี้ก็ค่อยๆทยอยกันขึ้นมานั่งบนอาสนะจนครบ   …นับได้ทั้งหมด  12 รูป(รวมผมด้วย)   ปกติแล้วเห็นโยมเพื่อนแม่บอกว่ามีประมาณ 6-7 รูปเอง   …แต่ที่วันนี้มีเยอะ(ขึ้นมาหน่อย)   ก็อาจเป็นเพราะพรุ่งนี้ที่วัดจะมีกฐิน   ครูบาอาจารย์(พระมหาเถระ)จะมากันเยอะ  ก็เลยมารอพบครูบาอาจารย์  

หลังจากมรรคนายก*กล่าวคำถวายสังฆทานเสร็จ    พระอาจารย์จันดี(เจ้าอาวาส)ก็เทศน์ให้โยมฟังซักพัก  …เสร็จแล้วตัวแทนสงฆ์ก็จะกล่าวแจกจ่ายอาหารอันถือเป็นประเพณีดั้งเดิม     จากนั้นพระก็จะทยอยกันอุ้มบาตรเปล่าของตัวเอง (ต้องบอกว่าเปล่าจริงๆ เพราะถอดสลกบาตรและขาบาตรออกหมดแล้ว)   เดินเรียงแถวตามลำดับพรรษาเพื่อเข้าไปตักอาหารในโรงครัว  (พวกพระผู้ใหญ่ก็จะมีโยมมาถือบาตรถวาย)  

(*คำนี้มักเรียกเพี้ยนไปเป็น ‘มรรคทายก’ … ‘มรรคนายก’ แปลว่า ผู้นำทางหรือผู้นำบุญครับ  ส่วนมรรคทายกนั้นจะแปลว่า  ผู้ให้ทาง  …ซึ่งทำให้ความหมายผิดไป )

ผมเดินตามหลังพระทั้งหลายเข้าไปยังโรงครัว   ….ข้างในจะมีโต๊ะยาววางต่อกันสองแถว  บนโต๊ะเต็มไปด้วยจานชาม ถ้วย กาละมังใส่อาหารหลากชนิด…ดูลานตาไปหมด     อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันพระแถมเป็นวันเสาร์อาทิตย์ด้วยล่ะมั้งคนเลยนำมาถวายเยอะเป็นพิเศษ    

จากนั้นพระก็จะทยอยเดินตักอาหารใส่บาตรของตน   โดยพระผู้น้อยจะต้องให้พระผู้ใหญ่ตักก่อนซักพักจึงค่อยตักได้ ยิ่งถ้าเป็นพระเถระด้วยแล้วต้องเว้นระยะไว้กี่ศอกไม่รู้ ..ผมก็จำไม่ค่อยได้    ดีที่มีพระรูปหนึ่งบอกผมไว้ก่อนจึงไม่ขายหน้า    

….ผมยืนรอให้พระผู้ใหญ่ตักไปเรื่อย  ระหว่างนั้นก็พิจารณาดูกิเลสตัวเองไป ( ตอนแรกมันก็ยังไม่หิวมากหรอก   แต่พอมายืนต่อหน้าอาหารมากมายแบบนี้   ไอ้เจ้ากิเลส ’ ความหิว ’ นั่นพองตัวซะใหญ่เบ้อเริ่มเลย…  )   ..จนถึงคิวผมจึงเดินตามไป   ล้างมือขวาในกาละมังใส่น้ำ  ส่วนมือซ้ายก็ประคองบาตร เดินตามไป …..แล้วก็ตักอาหารใส่เข้ามาในบาตร  

ทั้งนี้… ผมจะตักอาหารโดยคำนึงถึงคุณค่าทางอาหารนั้นๆจริงๆ  จะไม่พยายามตักเพราะอยากกิน …โดยเฉพาะอาหารที่ชอบ  ผมจะพยายามผ่านมันไปเลย   …ผมตามดูไปอย่างนี้  ไม่น่าเชื่อว่าเพียงระยะเวลาสั้นๆ  ผมเห็นกิเลสตัวเอง เกิดดับ เกิดดับ ติดต่อกันไปเรื่อยแบบนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง    

พอตักอาหารเสร็จแล้ว  พระเถระผู้ใหญ่ก็จะเดินกลับไปนั่งยังอาสนะของตน ….  ช่วงนี้พระใหม่ต้องรีบทำเวลาหน่อย  เพราะจะเป็นการไม่สมควร หากต้องให้พระผู้ใหญ่ท่านรอนาน    ผม(ซึ่งอยู่รูปสุดท้าย)เองก็ตักมือระวิงเลยครับ กับข้าว ผลไม้  นมถั่วเหลือง  รีบหยิบใส่บาตรให้หมด  ….แล้วก็รีบเดินตามขึ้นไปนั่งบนอาสนะ  (อ้อ  อย่าลืมกราบสามครั้งก่อนทุกครั้งที่ขึ้นนั่งบนอาสนะด้วย)

พอขึ้นบนอาสนะเสร็จ….ผมก็สังเกตุดูซิว่าพระรูปอื่นเค้าทำอะไรกันต่อ   เห็นท่านหยิบพวกผลไม้ พวกขนม น้ำออกมาวางไว้ที่ฝาบาตร(ที่วางอยู่ข้างๆบาตร)  ผมก็เลยทำตาม  นึกในใจว่า อ้อ…ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือเนี่ย  ตอนแรกนึกว่าต้องฉันในบาตรทั้งหมดเลย

ครั้นเห็นพระทุกรูปมานั่งพร้อมกันแล้ว  ท่านเจ้าอาวาสก็จะนำสวดกรวดน้ำ…ให้พรโยม  แล้วถึงจะเริ่มฉันได้  แต่อ๊ะๆ….อย่านึกว่าพระใหม่อย่างผมจะได้ฉันเลยนะครับ  ยังครับ    ผมต้องรอให้พระทุกรูปตักอาหารคำแรกเข้าปากก่อน  ผมถึงจะเริ่มตักได้   ก็เรียงตามลำดับพรรษาอีกนั่นแหละครับ  …..พอพระพรรษาสูงกว่าตักข้าวเข้าปาก  พระพรรษาต่ำกว่าที่นั่งถัดไป จะพนมมือรับ  แล้วถึงจะค่อยเริ่มฉันได้   และก็จะเป็นแบบนี้ต่อๆกันไปเรื่อยๆครับ…….จนถึงรูปสุดท้าย (ซึ่งก็คือผม)…….ผมก็เลยต้องนั่งฝึกขันติดูกิเลสตัวเบ้งๆ ในบาตร (  ยอมรับว่าแอบกลืนน้ำลายหลายอึกเหมือนกัน)              

เวลาฉันก็เหมือนเดิมครับ……เราจะฉันอย่างเอร็ดอร่อย  ปล่อยให้หลงไปเพลิดเพลินมัวเมากับรสอาหารไม่ได้ครับ  ต้องมีสติตลอดเวลา ….และเพื่อจัดการกับเจ้ากิเลสให้อยู่หมัด  ผมเลยตักกับข้าวให้มันคลุกเคล้าเข้ากัน   โดยที่ไม่ต้องแยกว่าอะไรเป็นอะไร  ก่อนจะเอาเข้าปาก…..ทีนี้ข้าวแต่ละคำของผมนี่  จะไม่ซ้ำกันเลยครับ    เดี๋ยวก็กะเพราหอยจ๊อราดแกงเขียวหวานบ้าง………..เดี๋ยวก็ส้มตำเมล็ดทานตะวันใส่สาหร่ายเถ้าแก่น้อยบ้าง     แต่แปลกนะครับถึงจะ มิกซ์แอนด์(ไม่)แมทช์ กันขนาดนี้   ….มั๊นก็ยังจะรู้สึกอร่อยขึ้นมาจนได้อยู่นั่นแหละ(..สงสัยจะหิวมาก)   ผมก็เลยต้องคอยตามรู้มันไป   ไม่ให้กิเลสมันพาผมไปหลงกับรสได้

ผมฉันไปได้ซักพักหนึ่ง  ..ก็เห็นว่ามีพระรูปหนึ่งปิดฝาบาตรลง  แล้วก้มกราบบนอาสนะสามหน  ก่อนจะอุ้มบาตรพร้อมขาและกระโถนมาตั้งยังเสื่อที่ปูไว้ด้านข้างศาลา   เข้าใจว่าท่านคงฉันเสร็จแล้ว   ….ซักพักท่านเดินถือกาน้ำไปนั่งลงที่เบื้องหน้าพระอาจารย์จันดีอาสนะ  กราบพระสามครั้งแล้วค่อยนั่งพับเพียบ    ซักพักพระอีกรูป(พระฝรั่ง)ก็เดินถือกาน้ำไปนั่งเบื้องหน้าพระผู้ใหญ่อีกรูปที่นั่งถัดพระอาจารย์จันดีอีก  …..ผมฉันไป ดูไป ก็งงว่าเอ๊ะ  ทำอะไรกันหว่า   ….นั่งดูไปซักพัก พอพระอาจารย์จันดีฉันเสร็จ พระรูปแรกที่ไปนั่งรอก็ยกกาน้ำไปล้างมือให้ท่าน (โดยมีกระโถนรองน้ำไว้)  จากนั้นก็มือท่าน  แล้วก็เอาผ้าอีกผืน มาเช็ดตรงเบื้องหน้าอาสนะท่าน   …เสร็จแล้วจึงค่อยขนกระโถน ขนบาตรท่านมาวางไว้ที่ด้านข้างศาลา (ที่เดียวกับที่ท่านวางบาตรท่านไว้)  ซึ่งทุกอย่างทำด้วยความคล่องแคล่วและนอบน้อม    
ซักพักพอพระผู้ใหญ่รูปที่สองฉันเสร็จ  พระฝรั่งที่นั่งรอก็ทำตามแบบนั้นบ้าง   ก็พอดีกับที่ผมฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  จึงกราบพระแล้วเอาบาตรเอากระโถนไปวางไว้ที่ๆเค้าวางกัน  แล้วกลับมานั่งที่เดิม  (ซึ่งหลังจากนั้นก็มีพระรูปอื่นไปช่วยกันล้างมือพระผู้ใหญ่อีกสองรูปที่เหลือจนเสร็จ)  

…...ผมมารู้เอาภายหลังว่า  นั่นคือการอุปัฏฐาก(ช่วยเหลือ)ครูบาอาจารย์…อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอันสำคัญยิ่งของพระป่า      มันเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน  เพราะสำหรับพระป่าแล้ว ‘ครูบาอาจารย์’ เปรียบประหนึ่งเป็นพ่อแม่เลยก็ว่าได้  

เพราะกว่าที่พระรูปหนึ่งจะปฏิบัติมาจนเป็นครูบาอาจารย์นั้น   ท่านต้องบำเพ็ญเพียร  เผชิญกับความลำบาก ความทุกข์ยากมามากมาย    จากป่าดงรกร้าง  …กว่าท่านจะถากจะถาง ก่อร่างสร้างให้กลายเป็นวัดที่ให้เรามาบวชเรียนนี้   ท่านต้องเหนื่อยยากขนาดไหน      …..เราเสียอีก ผู้มาใหม่  มาอาศัยวัดที่ท่านสร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน   ควรแล้วหรือที่จะมานั่งๆนอนๆทำกระทำตนเสมอท่าน    

….การอุปัฏฐากจึงเป็นเสมือน หนทางการตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์…..แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี

เริ่มตั้งแต่การล้างเท้า เช็ดเท้าให้ท่าน  ….ล้างมือหลังฉันเสร็จ  เสร็จแล้วก็ล้างบาตร   เอาจีวรท่านไปซัก   ทำความสะอาดกุฏิ   นวดขานวดเท้า …หรือแม้กระทั่งสรงน้ำท่าน        

…………แรกๆ  ผมก็คิดว่า   เฮ้ยมันต้องขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย    
แต่พอได้ลงมือทำเองกับตัวแล้ว  …. มันรู้สึกอิ่มเอมใจจริงๆครับ   (ไว้จะค่อยๆเล่าให้ฟัง)

เอาล่ะ……สำหรับตอนนี้ผมว่ามันชักจะยาวมากเกินไปแล้วล่ะ   ก่อนที่ผู้อ่านจะเบื่อซะก่อน  (หรือเบื่อไปแล้ว??)  ผมขอไปต่อเอาตอนหน้าแล้วกันนะครับ

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 53 15:30:41




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com