ถึงจะเป็นเพียงฝัน....ฉันก็พอใจ
|
|
แบร้ แน่จริงก็จับให้ได้สิ ฉันหันไปแลบลิ้นหลอกเชอรี่ ขณะกำลังวิ่งขึ้นไปยังเนินเขาเบื้องหน้า พลางได้ยินเสียงตะโกนของเธอคล้อยหลังมา อย่าวิ่งเร็วนักสิ ยัยจิน ฉันเหนื่อยแล้วนะ
ก็ตานี้เธอเป็น เธอก็ต้องแปะฉันให้ได้สิเชอรี่ อย่ามาขี้ตู่ ฉันตะโกนตอบกลับไปโดยไม่หันไปมอง ใจจดจ่ออยู่ที่ต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาเบื้องหน้าที่กำหนดให้เป็นเส้นชัย
ไม่กี่นาทีต่อมาฉันก็วิ่งมาถึงยอดเขา พลางล้มตัวลงนอนแผ่หลาบนพื้นหญ้านุ่มๆเหมือนเตียงนอน
ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเป็นร่มเงาบังแดดให้กับพุ่มดอกไม้หลากสีข้างใต้ และฉันซึ่งกำลังนอนหอบแฮ่กๆอยู่ตรงนั้น
นี่แน่ แปะได้แล้ว เชอรี่ยื่นมือมาแตะที่ขาฉันเบาๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่ข้างๆฉัน บ๊อก บ๊อก บ๊อก
.เจ้าแป๊กลูกหมาน้อยพันธุ์โกลเด้นของฉันตามหลังเธอมาติดๆ ขณะนี้มันกำลังวิ่งวนไปมารอบต้นไม้พลางเห่าชวนฉันเล่น
ขี้โกงนี่นา ฉันมาถึงเส้นชัยก่อนก็ต้องชนะแล้วสิ ฉันตอบพลางหันมองเชอรี่ที่อยู่ข้างๆแล้วยิ้มให้ เชอรี่ไม่ตอบอะไร เธอเอาแต่หอบเบาๆสลับกับหัวเราะคิกคัก ผมสีทองของเธอแผ่สยายออกบนพื้นหญ้า ฉันจึงเอานิ้วมือไปม้วนเล่น ผมของเชอรี่ช่างเบาและนุ่มน่าสัมผัส ฉันชอบเล่นผมของเชอรี่เสมอๆซึ่งเธอก็ไม่เคยว่าอะไรฉันสักนิด
ฉันมองขึ้นไปข้างบนเห็นสีฟ้าเป็นหย่อมๆของท้องฟ้าลอดมาตามกิ่งก้านสาขาสีเขียวสดของต้นไม้ พอมองออกไปข้างหน้าเห็นเมฆขาวกำลังลอยเกลื่อนอยู่เต็มฟ้า ฉันแอบจินตนาการเล่นๆให้มันเป็นปราสาทเมฆสีขาว ถ้ามันเป็นจริงๆข้างในนั้นมันก็คงจะนุ่มมากเลยสินะ
เชอรี่หยิบดอกไม้สีฟ้าสดที่ตกอยู่ในดงดอกไม้ข้างๆขึ้นมาทัดหูให้ฉันพลางชมฉันว่าสวยเหมือนเจ้าหญิงเลย ฉันก็เลยชมเธอกลับไปว่าเธอก็สวยเหมือนนางฟ้าเช่นกัน แล้วเราสองคนก็นอนหัวเราะกันอยู่อย่างนั้น
เจ้าแป๊กวิ่งมาหมอบข้างๆฉัน แล้วแลบลิ้นเลียหน้าฉันแผลบๆ ทำเอาฉันรู้สึก
เอ่อ
รู้สึก
.??
.รู้สึกยังไงนะ
.ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ
ฉันลืมตาขึ้นมา
..บนหัวฉันไม่มีกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ไม่มีสีฟ้าของท้องฟ้า มีแต่เพดานสีขาว กับหลอดไฟยาวๆ ข้างๆกายฉันยังมีเชอรี่และเจ้าแป๊กนอนอยู่เคียงข้าง
.แต่เป็นเชอรี่ที่พูดไม่ได้ ..วิ่งเล่นไม่ได้
.เจ้าแป๊กนั้นก็เห่าบ๊อกๆไม่ได้ เลียแก้มฉันก็ไม่ได้
ทั้งสอง
เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาธรรมดาๆเท่านั้น
ฉันพยายามหันไปข้างๆอย่างยากลำบาก พลางแอบภาวนาในใจให้มันเป็นดอกไม้หลากสีทีเถอะ แต่แล้วก็เหมือนกับทุกๆครั้ง
..ที่มันเป็นถุงน้ำเกลือ
ถัดจากถุงน้ำเกลือไปที่ผนังฝั่งนั้น
คือภาพต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาที่มีดอกไม้หลากสีอยู่ข้างใต้
.
กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วนะที่ฉันต้องตื่นมาเจอกับภาพเหล่านี้
.ฉันไม่รู้ว่าเมื่อกี๊นี้เป็น ฝันดี
.หรือนี่เป็น ฝันร้าย กันแน่
แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะให้นี่เป็นเพียงแค่ ฝันร้ายมากกว่า
ฉันหลับตาลงไปอีกครั้ง
..
..ตอนนี้ฉันคงกำลังหลับอยู่บนผืนหญ้านุ่มๆบนยอดเขาสินะ อีกซักพักฉันก็คงจะได้ยินเสียงของเจ้าแป๊กเห่าบ๊อกๆชวนฉันเล่น แล้วพอฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ปราสาทเมฆก็จะลอยอยู่เบื้องหน้าฉัน แล้วฉันก็จะวาดภาพปราสาทเมฆในจินตนาการต่อให้เสร็จ ใช่แล้วฉันยังไม่ได้ใส่ประตูหน้าต่างเลยนี่นา แล้วจะเข้าไปเล่นได้ไงกันนะ
.........
.
.
ฉันนอนหลับตาอยู่ตรงนั้นซักพักใหญ่ น้ำตาฉันก็ไหลซึมมาจากตาที่ปิดอยู่ทั้งสอง
ฉันไม่รู้สึกถึงผืนหญ้านุ่มๆเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นยังไง
..ฉันไม่ได้ยินเสียงเห่าของเจ้าแป๊กด้วย แล้วฉันก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเวลาเจ้าแป๊กเลียแก้ม ฉันจะรู้สึกยังไง
แต่ฉันกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงอาการปวดหัวเป็นระยะๆ มือทั้งสองข้างที่ชาเหมือนไร้ความรู้สึก และคอที่แห้งผาก
ในที่สุดฉันก็ลืมตาขึ้นมายอมรับความเป็นจริง
แม่จ๋า หนูหิวน้ำ ฉันพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง
แม่ของฉันซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่ปลายเตียง รีบลุกขึ้นมารินน้ำใส่แก้ว แล้วค่อยๆประคองฉันให้ลุกขึ้นมาดูดพลางเอามือปาดน้ำตาจากแก้มทั้งสองของฉัน
ร้องไห้อีกแล้วลูกแม่ แม่พูดปลอบฉันพลางเอามือข้างที่ประคองฉันอยู่ตบบ่าฉันเบาๆ ฝันร้ายเหรอจ๊ะลูกจิน
.ฉันดูดซวบๆจนหมดอย่างรวดเร็วด้วยความกระหาย จนแม่ต้องรินแก้วที่สองมาให้
แม่จ๋า
ฉันกล่าวขึ้น หลังจากดูดน้ำแก้วที่สองจนหมด เวลาหมาเลียแก้ม นี่มันรู้สึกยังไงเหรอจ๊ะ
แม่ยิ้มหวานให้ฉัน
แต่ฉันกลับรู้สึกเสียงของแม่ที่ตอบฉันนั้นสั่นเล็กน้อย
อ๋อมันก็จะรู้สึกสากๆ แฉะๆ แล้วก็จั๊กจี้นิดหน่อยจ้ะลูกแม่ แม่กล่าวพลางลูบหัวซึ่งพันแน่นไปด้วยผ้าพันแผลของฉัน
แม่เคยบอกว่าเมื่อก่อนตอนสองสามขวบฉันเคยมีผมยาวสีน้ำตาลอ่อนและสวยมาก แต่หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆร่วงจนแทบไม่มีเหลือ
ตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันไปๆกลับๆระหว่างโรงพยาบาลกับบ้านแทบทุกเดือน ฉันได้เรียนหนังสือเพียงแค่ชั้นป.1 เท่านั้น พอขึ้นป.2 พ่อก็จ้างครูให้มาสอนที่บ้าน ฉันแทบไม่เคยได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกันเลยซักครั้ง ครั้งหนึ่งฉันเคยแอบไปวิ่งไล่จับกับเพื่อนข้างบ้าน แต่ฉันก็เป็นลมล้มลงไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว
ตอนนั้น ฉันกลัวพ่อกับแม่จะว่าฉันแทบแย่ แต่ท่านก็ไม่พูดอะไรซักคำได้แต่กอดฉันไว้ในอ้อมอกแล้วร้องไห้
จนฉันเองรู้สึกผิด และสัญญากับท่านทั้งสองว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีกเด็ดขาด
ปีนี้จริงๆแล้วฉันจะต้องขึ้น ป 3แล้ว แต่เนื่องจากฉันตัวซีดขาวลงไปมาก เรี่ยวแรงจะเดินก็แทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว ฉันเลยต้องมานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเวลา ภายใต้การดูแลของหมออย่างใกล้ชิด
..ห้องเรียนของฉันจึงต้องถูกย้ายมาอยู่ในโรงพยาบาลไปโดยปริยาย โดยคุณครูก็คือพ่อกับแม่ของฉันนั่นเอง
ท่านทั้งสองจะผลัดกันมาสอนหนังสือให้กับฉันบ่อยๆ ฉันได้เรียนการคูณหารเลข เรียนวาดรูป และวิชาอ่านเขียน ซึ่งเป็นวิชาที่ฉันชอบมากที่สุด บางทีแม่ก็จะเล่านิทานให้ฉันฟังก่อนนอน บางทีก็จะให้ฉันอ่านให้ฟัง
แม่ชอบชมฉันให้พ่อฟังเสมอว่าฉันอ่านหนังสือเก่ง พ่อก็เลยซื้อหนังสือมากมายมาให้ฉัน จนต้องมีชั้นหนังสือส่วนตัวสำหรับฉันเลยทีเดียว
เตียงนอนของฉันอยู่ใกล้หน้าต่างบานใหญ่ ฉันชอบมองออกไปนอกหน้าต่างนั้นเสมอๆ ภาพข้างนอกนั้นเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ตอนเย็นๆของทุกวันจะมีเด็กๆมาวิ่งเล่นกัน บ้างก็เล่นฟุตบอลกันอย่างสนุกสนาน เสียงตะโกน เสียงหัวเราะหยอกล้อกันดังลอดผ่านหน้าต่างห้องฉันเข้ามา ปลุกให้ฉันตื่นจากนอนกลางวันแล้วลุกขึ้นมาดูภาพเหล่านั้นทุกวัน ฉันรู้สึกอิจฉาเด็กๆพวกนั้นเหลือเกิน ฉันอยากมีแขนขาที่แข็งแรง มีเรี่ยวแรงวิ่งเล่นอย่างนั้นแบบเด็กคนอื่นๆเขาบ้าง แต่นั่นก็ทำได้แค่เพียงในความฝันสินะ
ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าแม่ที่กำลังเช็ดตัวให้ฉันอยู่พลางเอ่ยปากเรียก
แม่จ๋า ฉันพูดเบาๆ
มีอะไรเหรอจ๊ะลูก แม่พูดขึ้นขณะกำลังเอาผ้าชุบน้ำอุ่นถูหลังให้ฉัน
หนูก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเจ้าแป๊กกับเชอรี่ใช่มั้ยจ๊ะแม่ ฉันกล่าวพลางเอานิ้วไปม้วนกับเส้นผมของเชอรี่เล่น
ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะลูกจิน แม่หยุดถูหลัง แล้วหันมามองหน้าฉัน
ก็หนูมีแขน มีขา แต่เดินไม่ได้ วิ่งเล่นไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง ฉันพูดอย่างน้อยใจ ขณะมองออกลอดหน้าต่างไปยังเด็กๆที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ข้างล่าง
..แต่หนูก็ยังเปิดหนังสืออ่านและเขียนหนังสือได้นี่จ๊ะ
. บางทีถ้าหนูเกิดเป็นตุ๊กตาก็คงจะดีกว่านะคะแม่ หนูจะได้ไม่ต้องมีความคิด ความรู้สึก แล้วจะได้ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวดแบบนี้ ว่ามั้ยคะแม่ ฉันเริ่มงอแงขึ้นมา น้ำตาฉันไหลเป็นทางลงมาอาบสองแก้ม
ถึงตรงนี้แม่ดึงตัวฉันเข้ามากอดไว้แน่น พลางลูบหัวฉันเบาๆ
จิน
ฟังแม่นะลูก เสียงแม่สั่นเครือ ฟังดูเหมือนแม่ก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน
แม่เงียบไปซักพักใหญ่ก่อนจะพูดต่อว่า
ชื่อจริงของลูกคือ จินตนาพร แปลว่า พรจากความคิด
ความคิดและจินตนาการจะเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดของลูก ถึงลูกจะมีสุขภาพไม่แข็งแรงเหมือนคนอื่น วิ่งเล่นไม่ได้เหมือนเพื่อนๆ แต่ลูกก็ยังสามารถคิดฝันตามไปได้นี่นา ในจินตนาการของลูก ลูกจะคิดให้มีเพื่อนกี่คนก็ได้ ลูกจะคิดให้ตัวเองเล่นอะไรอยู่ก็ได้
แม่จับไหล่ทั้งสองของฉัน แล้วมองหน้า พลางหยิบกระดาษทิชชู่จากโต๊ะข้างๆขึ้นมาซับน้ำตาน้ำมูกให้ฉัน
..มันก็เหมือนกับเวลาที่ลูกอ่านหนังสือนิทานนั่นแหละจ๊ะ แม่พูดขึ้นขณะกำลังซับน้ำตาที่แก้มของฉัน ลูกสร้างภาพเหล่านั้นขึ้นมาจากตัวอักษรที่บรรยายอยู่ในหนังสือ ผ่านความคิดของลูก ตัวละครในนิทานเหล่านั้นก็จะมีชีวิตอยู่ในจินตนาการของลูกยังไงล่ะ
ถ้าอย่างนั้น หนูก็วิ่งเล่นกับเชอรี่กับเจ้าแป๊กได้ด้วยงั้นเหรอคะแม่ ฉันเงยหน้าขึ้นถามแม่อย่างสงสัย
ลูกก็ลองหลับตาดูสิจ๊ะ ฉันลองหลับตาดู แล้วแม่ก็เล่าขึ้นมาว่า
ตอนนี้ลูกกำลังวิ่งเล่นซ่อนหากับเชอรี่ ในสวนสาธารณะข้างล่างนั่น เชอรี่ไปซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ข้างหลังม้านั่ง หนูพยายามมองหาเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น แล้วจู่ๆเจ้าแป๊กก็วิ่งมาจากไหนไม่รู้ เห่าบ๊อกๆใส่เชอรี่อยู่นั่นแหละ เชอรี่พยายามทำปากจุ๊ มันก็ยังไม่หยุดเห่า หนูก็เลยวิ่งมาตามเสียง แล้วเจอเชอรี่จนได้
.
ฉันลืมตาขึ้นมาแล้วยิ้มหวาน หนูเห็นจริงๆด้วยจ้ะแม่ ฉันเขย่าแขนแม่อย่างตื่นเต้น เล่าต่อๆ นะจ๊ะแม่ แม่ยิ้มตอบแล้วลูบหัวฉันหลายที แล้วเล่าต่อไป
สองวันต่อมา เป็นวันเกิดของฉัน แม่กับพ่อซื้อเค้กช็อคโกแลตรูปหมีมาให้ มีเทียนปักอยู่ 6 ดอก แทนอายุของฉันในปีนี้ พอฉันเป่าเทียนแล้วกินเค้กเสร็จ พ่อกับแม่ก็เอากล่องของขวัญเล็กๆมาให้ฉัน ฉันรีบแกะออกดูด้วยความตื่นเต้น
..มันเป็นไดอารี่สีชมพูลายดอกไม้หลากสี มีสายรุ้งพาดผ่านทางด้านบน ฉันชอบมันมาก รีบเอามากอดเอาไว้และกล่าวขอบคุณพ่อกับแม่ด้วยความดีใจ
ลูกเก็บเอาไว้เขียนอะไรเล่นๆเวลาเหงานะจิน พ่อกล่าวพลางลูบหัวฉันเบาๆ
ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็มีไดอารี่เล่มนั้นเป็นเพื่อนคู่กาย ฉันเขียนบอกเล่าเรื่องราวตามจินตนาการที่ฉันคิดได้ในแต่ละวันลงไปในนั้น ฉันมีเพื่อนใหม่มากมายนอกเหนือจากเชอรี่และเจ้าแป๊ก ฉันเล่นวิ่งไล่จับ เล่นซ่อนหา เล่นฟุตบอล เล่นอะไรต่อมิอะไรมากมายนับไม่ถ้วน และฉันก็จะรู้สึกสนุกสนานไปกับมันทุกครั้งที่เปิดขึ้นอ่าน
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปอย่างอยู่ดี
. จนกระทั่งวันหนึ่ง
ฉันปวดหัวมาก ไข้ขึ้นสูง แล้วมีตุ่มจ้ำขึ้นตามตัวเต็มไปหมด ฉันถูกย้ายเตียงไปยังอีกห้องหนึ่ง มีหมอและพยาบาลเต็มห้องไปหมด
. แล้วจู่ๆฉันก็สลบไปตอนไหนไม่รู้
ฉันตื่นขึ้นมากลางดึก..ฉันแอบได้ยินหมอพูดกับพ่อว่า ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่ถึง 2 เดือน
.จริงๆแล้วฉันควรจะตกใจมากสินะ เมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ฉันกลับเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร อาจจะเป็นเพราะแม่เล่าให้ฉันฟังเสมอว่าคนเราตายไปจะได้ไปขึ้นสวรรค์ ข้างบนนั้นสวยงามมาก มีนางฟ้ามีเทวดาเต็มไปหมด
ตั้งแต่วันนั้นมา อาการของฉันก็ทรุดลงทุกวันๆ ฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียจนแทบจะยันตัวเองลุกขึ้นมาไม่ไหวด้วยซ้ำ ผมของฉันร่วงจนหมดหัว เนื้อตัวแขนขาฉันซีดขาวและเป็นจ้ำๆเต็มไปหมด พ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมฉันพร้อมหน้าทุกวัน ต่างคนต่างผลัดกันมานอนเฝ้าไข้เป็นเพื่อนฉัน แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นเลย
ฉันคิดว่าพวกท่านคงจะไม่กล้าบอก เพราะกลัวฉันเสียใจ
ฉันรู้ตัวเองดีว่า เวลาของฉันเหลืออีกไม่มากนัก ..วันหนึ่งฉันจึงตัดสินใจบอกพ่อกับแม่ว่า ฉันอยากไปสถานที่ในภาพที่ฝาผนัง
จากคุณ |
:
ซงย้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
15 มี.ค. 53 18:35:17
|
|
|
|