 |
ความคิดเห็นที่ 6 |
ตอนสอง.... ปู้น ปู๊น เสียงรถไฟดังมาแต่ไกล เห็นควันพวยพุ่งลอยดำโขมงจากหัวรถจักร เพราะความยาวที่คล้ายงูยักษ์ตัวมหึมาที่เลื้อยไปมากลางทุ่งหญ้าสีเพลิงทำให้ไม่สามารถมองเห็นท้ายขบวนที่อยู่ลิบ ๆ ได้ เพียงไม่กี่อึดใจรถทั้งขบวนก็จอดนิ่งอยู่ที่ชานชาลา ผู้โดยสารมากหน้าหลายตาทยอยกันขึ้นรถพร้อมกับเสียงดังเอ็ดตะโรเหมือนหนึ่งนกที่โผกลับเข้ารังในตอนพลบค่ำ ไม่กี่อึดใจรถไฟค่อย ๆ เยื้องย่างออกจากสถานีบางซื่ออย่างช้า ๆ เหมือนเด็กหัดเดินแล้วค่อย ๆ แปลงกายเป็นนักวิ่งลมกรด เร่งความเร็วพาตู้เหล็กกว่า 15 ขบวนที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารหนีไกลจากสถานีไปยังจุดหมายปลายทางของแต่ละคน
ชั้นสาม ขบวนสี่ เลขที่นั่ง 38 ที่เขาโดนคนขายตั๋วต้มซะเปื่อยว่าอยู่ติดหน้าต่าง พร้อมรับลมและชมวิว กลายเป็นเก้าอี้กลางไปซะได้ หนำซ้ำต้องนั่งหันหลังให้หัวขบวนอีกต่างหาก เต็มสิบวางเป้บนตะแกรงเหนือที่นั่ง แล้วทรุดตัวลงตรงเก้าช่องกลางของที่นั่ง ข้างซ้ายขวาของเขาคือคุณตาคนหนึ่งกับเด็กชายวัยประมาณสิบขวบ ฝั่งตรงข้ามเป็นกลุ่มผู้โดยสารที่อดีตบัณฑิตอย่างเขายำเกรงเป็นที่สุดคือชาวต่างชาติ ทั้งสามน่าจะเป็นพ่อแม่ลูกกัน ทั้งสามยิ้มให้ เต็มสิบยิ้มตอบพร้อม ๆ กับเก็บงำความเกรงไว้ในใจพลางนึกประโยคพื้น ๆ ง่าย ๆ ที่เคยเรียนแต่ไม่เคยได้พูดเลยเตรียมไว้เผื่อโดนถาม เขาจะได้ตอบโต้เป็นภาษาฝรั่งกลับไปได้บ้าง ไม่ต้องสติแตกเหมือนครั้งก่อน ๆ เมื่อเจอกับชาวต่างชาติ
รถไฟไทยแปลกตาไปจากเดิมมาก หลังจากตัวเรือดปฏิบัติการบุกยึดเก้าอี้โดยสารเป็นที่อาศัย รถไฟไทยไม่รอช้าสร้างภาพใหม่ทันที ที่นั่งแบบใหม่มีมาให้เห็น ทุกที่มีเบาะให้นั่งพิง แบบที่เป็นไม้ล้วนหายไปแล้ว แต่เรื่องใหม่ที่ชวนให้หงุดหงิดก็คือจำนวนที่นั่ง ที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่จัดให้นั่งเป็นชุดชุดละสี่ที่นั่งหันหน้าเข้าหากันแต่ละแถวมี 2 ชุดคั่นกลางด้วยทางเดินยาวตลอดขบวน ขบวนนี้เน้นพื้นที่การใช้สอยให้คุ้มขึ้นด้วยไอเดียบรรเจิด ขนาดขบวนเท่าเดิมแต่เพิ่มที่นั่งมากขึ้นจากฝั่งละสี่นั่งได้แปดคนต่อแถว กลายเป็นนั่งได้แถวละสิบ ฝั่งนึงสี่ที่นั่งและอีกฝั่งยัดได้หกดังเช่นที่นั่งสุดหรูที่คนขายตั๋วจัดมาให้เต็มสิบแบบเต็มใจเสนอ แต่ในภาวะเศรษฐกิจสุดสลดเช่นนี้ทำให้ทุกที่นั่งมีผู้โดยสารเกือบเต็ม แม้จะเป็นวันพุธกลางสัปดาห์ ไม่มีเทศกาล ไม่มีโปรโมชั่นใด ๆ เลยก็ตาม โดยเฉพาะบริเวณท้ายขบวนตรงข้ามห้องน้ำมีวัยรุ่นกลุ่มใหญ่จับกลุ่มคุยกันเสียงอย่างสนุกสนานโดยไม่เกรงใจใคร เหมือนหนังคนละเรื่องกับกลุ่มชาวบ้านบริเวณกลางขบวนใกล้ ๆ กับที่เขานั่ง หากภาพของกลุ่มวัยรุ่นคือหนังตลกขบขันแล้วละก็ กลุ่มนี้ต้องหนีไม่พ้นหนังชีวิต ที่สำคัญน่าจะเป็นชีวิตรันทดซะด้วย เพราะนอกจากเสื้อผ้า อาภรณ์ ข้าวของที่พะรุงพะรังแล้ว หน้าตาท่าทางที่เศร้าสร้อย ยิ่งชวนหดหู่ซะเหลือเกิน วิกฤติเศรษฐกิจคงเล่นงานพวกเขาซะอ่วมไม่น้อย
เต็มสิบสลับที่ให้คุณตาคนนั้นมานั่งที่เขา เพื่อจะได้ดูแลเด็กชายที่ทราบจาการการสอบถามเบื้องต้นว่าเป็นหลายชายของแกเอง ส่วนเขาขยับไปนั่งริมทางเดินแทน ขอบคุณมากพ่อหนุ่ม คุณตาพูดพร้อมพุ่งสายตาจริงจังมาที่เขา ไม่เป็นไรครับคุณตา เต็มสิบตอบ คุณตาพยักหน้ายิ้มให้เขาอีกครั้ง พร้อมกับเอามือไปลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู เขาแอบมองดูสองตาหลานอย่างพินิจพิเคราะห์ เด็กชายนุ่งกางเกงกีฬาสีดำกับสวมเสื้อเชิ้ตคอปกสีเหลืองเก่า ๆ ขุ่น ๆ ส่วนคุณตาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเก่า ๆ กับกางขาก๊วยสีน้ำเงินเข้ม คาดเอวด้วยผ้าขาวม้าผืนเขื่อง ใต้ที่นั่งมี กระสอบใบเล็กวางอยู่ เขาคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นถุงเสื้อผ้าของทั้งคู่ Excuse me เต็มสิบสะดุ้งรีบชักสายตามาตามต้นเสียง เสียงดังมาจากฝั่งข้าม เต็มสิบมั่นใจว่าเป็นภาษาอังกฤษ และเขาโดนของซะแล้ว หนุ่มใหญ่ตาน้ำข้าวผมยาวประบ่ามองมาทางเขา พร้อมกับยิ้มแล้วถามอีกครั้ง Excuse me Were going to Hua Hin, How long from here? เต็มสิบตัวชา น้ำเสียงแหบแห้งกับสำเนียงแปลก ๆ ของชายร่างใหญ่ ยิ่งทำให้เขางุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า เขารีบส่งตัวช่วยออกไปก่อน Welcome to Thailand, sir
Oh Thank you, This s Sarah my girl Isabella my wife and Im Richard we come from Finland. มิสเตอร์ริชาร์ดรู้งาน ช่วยเผาเวลาได้เยอะระหว่างที่เต็มสิบนั่งนึกคำตอบอยู่ Nice to meet you all, I think about 4 hours to Hua Hin. Thank you.
ฝรั่งริชาร์ดกล่าวขอบคุณ แล้วก็หันไปคุยกับครอบครัว เต็มสิบโล่งเหมือนยกภูเขออกจากอก แล้วรีบโยนตัวยืนขึ้นไปคว้าเป้ที่วางอยู่ชั้นวางของเหนือที่นั่ง เขาเปิดซิปล้วงบางอย่างออกมา ปิดกระเป๋าแล้วกลับลงมานั่งที่เดิม เขาคิดได้ในทันทีที่สนทนาประสาปะกิตจบ หากเขาสาละวนกับการทำอะไรบางอย่างการสนทนารอบใหม่คงไม่เกิด ดั้งนั้นการ์ตูนมหาสนุกเล่มโปรดในเป้น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ดีทีเดียว ว่าแล้วเต็มสิบก็เปิดหนังสือการ์ตูนอ่านอย่างตั้งใจ
จริง ๆ แล้วการอ่านหนังสือบนรถไฟเป็นกิจกรรมหลักของเขาทุกครั้ง ในครั้งก่อน ๆ นอกจากหนังสืออ่านเล่นสนุก ๆ แล้ว เขาจะซื้อหนังสืออื่น ๆ ขึ้นขบวนอีกหลายรายการ แต่ครั้งนี้มีเพียงเล่มเดียว เศรษฐกิจตกสะเก็ด การประหยัดจึงเข้ามาแทนที่ทุกอย่างที่จะคิด ทดแทนทุกอย่างที่จะทำ เต็มสิบยังแอบคิดติดตลกว่าหลังจากอ่านจบสักสองสามรอบจะลองเขียนเรื่งสั้นส่งไปสำนักพิมพ์สักเรื่องน่าจะดีเผื่อโชคดี เรื่องได้ลงก็คงเฮงแถมได้เงินใช้อีกต่างหาก พ่อหนุ่ม ๆ ถึงไหนแล้วล่ะเนี่ย ตาเผลอหลับไป คุณตาหันมาถามทั้งอาการงัวเงียเหมือนคนเพิ่งตื่น ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ยังไม่ถึงหัวหินหรอกครับ แม้ข้างนอกหน้าต่างจะมืดจนมองไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน แต่เต็มสิบตอบอย่างมั่นใจ เพราะสามฝรั่งยังหัวโด่อยู่ครบทั้งสามคน แล้วคุณตาจะไปไหนครับเนี่ย ผมย้อนถาม กลับบ้าน ข้าขึ้นมาหาลูกสาวแม่ไอ้เจิดมัน แต่ไม่เจอคุณตาพูดสายตาผินมองไปยังเด็กชายที่หลับอยู่ข้างหน้าต่าง อ้าว ทำไมละครับ? เขาสงสัย ข้าไม่รู้ที่อยู่ พอดีเบอร์ที่ให้ไว้ติดต่อไม่ได้ ข้าก็เลยจนปัญญา เงินก็มีแค่พอค่ารถไปกลับ คุณตาถอนหายใจ ขยับหนังตาสกัดกั้นบ่อน้ำตาไม่ให้ไหล ข้าเลยตัดสินใจกลับ คุยกันพักใหญ่คุณตาขอตัวไปห้องน้ำ เต็มสิบกลับมานั่งอ่านหนังสือต่อ แต่ใจกลับคิดแต่เรื่องความน่าสงสารของสองตาหลาน ลูกสาวของคุณตาชื่อพี่น้ำฝน เธอกับสามีหย่าร้างเมื่อปีที่แล้ว น้ำฝนจึงตัดสินใจไปหางานทำที่ กรุงเทพฯ ทุกเดือนจะส่งเงินมาให้ แต่หลังเศรษฐกิจมีปัญหาเธอก็เงียบหายไปไม่ติดต่อมา เงินก็ไม่ส่งมาสองสามเดือนแล้ว ที่บ้านไม่มีเงินใช้ เจิดไม่มีเงินไปโรงเรียน จะขายของมีค่าที่พอมีก็เสียดาย เลยจะมาหาและปรึกษากับลูกสาวก่อน แต่ก็ไม่ได้พบกัน เลยต้องกลับบ้านอีกอย่างก็เป็นห่วงบ้านเพราะช่วงนี้โจรมันชุมเหลือเกิน เขาเห็นข่าวบ่อย ๆ ในทีวี หลาย ๆ หน่วยงานออกมาตักเตือนชาวบ้าน เรื่องนี้น่าห่วงมาก เพราะนอกจากโจรโดยสันดานที่ออกอาละวาดแล้ว มิจฉาชีพจำเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ก็มีมาก หากเจอเหตุสุดวิสัยจริง ๆ กับตัวเอง เต็มสิบซึ่งประสบชะตากรรมเลวร้ายเช่นกันจะคิดทำเช่นไรดี แรงสนับสนุนกับพลังคัดค้าน อย่างไหนจะชนะ
จากคุณ |
:
kanchiskii (kanchiskii)
|
เขียนเมื่อ |
:
20 มี.ค. 53 20:06:41
|
|
|
|
 |