ผมจะเป็นพระที่ดี <ตอน
.ก้าวแรกสู่วัดป่า 2 : บาตรนั้น
สำคัญไฉน? >
|
|
NOTE: แหะๆ คราวที่แล้วลงตอนผิดไปขอโทษด้วยนะครับ
ตอน
.ก้าวแรกสู่วัดป่า 2 : บาตรนั้น
สำคัญไฉน?
======================================= เอ้า
เล่าต่อจากตอนจากตอนที่แล้วเลยนะครับ หลังจากที่พระทุกรูปฉันเสร็จแล้ว ก็จะยกเอาบาตรไปตั้งไว้ด้านข้างศาลาและกลับมายังอาสนะของตน
เมื่อพระอาจารย์จันดีเห็นว่า ทุกรูปมานั่งพร้อมกันแล้ว ก็จะสั่นกระดิ่งให้กราบพระพร้อมกัน 3 ครั้ง จากนั้นก็กราบพระอาจารย์จันดีพร้อมกันอีก 3 ครั้ง จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปทำกิจภาวนา
..
ตรงนี้พระชั้นครูบา* จะต้องมีหน้าที่ล้างบาตรของตนรวมไปถึงล้างบาตรให้พระชั้นอาจารย์* ด้วย โดยยกเอาบาตร และกระโถนไปล้างยังที่บริเวณลานล้างบาตรที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก วิธีการถือบาตรนั้นมันก็มีเทคนิคนะครับ ซึ่งก็มีครูบารูปหนึ่ง(ตอนหลังทราบว่าชื่อครูบาจ๊อด)มาโชว์ให้ผมดู
คือ บาตรมันจะมี 3 ส่วนใช่มั้ยครับ (จริงๆ 4
หากรวมถลกบาตรที่ถอดออกไปตอนแรก) นั่นก็คือ ตัวบาตร ฝาบาตร และฐานรองบาตร ..อ้อ แถมกระโถนอีกใบหนึ่ง เวลาเราถือก็ให้สอดฝาบาตรไปยังระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วก้อย ทีนี้สามนิ้วกลางที่เหลือก็จะทำการสอดเข้าไปที่ตัวบาตร ส่วนขาบาตรกับกระโถนก็ถือด้วยมืออีกข้าง อันนี้เป็นแบบธรรมดาครับ
.แบบ advance นี่ ขั้นตอนแรกทำเหมือนกันแต่ขาบาตรให้สอดเอาไว้ระหว่างลำตัวกับแขน วิธีนี้จะสามารถขนสองบาตรไปได้ในคราวเดียว (บาตรเรากับบาตรอาจารย์)
.แต่กระโถนนั้นต้องให้พระอื่นช่วยถือ
(* ทางสายหลวงปู่ชา พระที่บวชไม่ถึง 5 พรรษา เค้าจะเรียกว่า ครูบา ถ้ามากกว่านั้นจะเรียกว่า อาจารย์ ) ลานล้างบาตรนั้นจะมีตุ่มน้ำ 5 ใบ ตั้งเว้นระยะห่างกันไป ประมาณ 3 เมตร มีแคร่ไม้ไผ่ยกสูงวางอยู่ด้านหน้าพร้อมอุปกรณ์การล้าง( สก๊อตไบรท์ น้ำยาล้างจาน )วางอยู่เป็นระยะๆ มีถังขยะสำหรับใส่เศษอาหาร และขยะทั่วไปวางอยู่ด้านข้าง
.ถัดไปหน่อยก็จะมีเพิงไม้ขนาดใหญ่ สำหรับให้พระมานั่งเช็ดบาตร มีราวตากผ้ารอบๆเพิงสำหรับไว้ตากผ้าเช็ดบาตร ผ้าเช็ดมือ และ
..หมา แมว ไก่ ผู้มารอรับทาน และ รับประทาน อาหารจากก้นบาตรพระ
ผมถือบาตรของผมตามหลังพระรูปอื่นไป เห็นเค้าทำอะไรก็ทำตาม ขั้นแรกเลยก็วางขาบาตรไว้ที่เพิงไม้ซะก่อน จากนั้นก็เอาบาตรไปเทเศษอาหารออก และเอาไปวางไว้ที่แคร่เพื่อล้าง
.จริงๆเหมือนจะถูกอยู่หรอก แต่ครูบาท่านหนึ่ง(ครูบาบิว)เค้าบอกว่าอย่าวางบาตรไว้บนแคร่โดยตรง มันจะมียางวงสำหรับเอาไว้ตั้งบาตรเพื่อล้าง พอผมล้างเสร็จ ไปนั่งเช็ดบาตร (ต้องยืมผ้าพระรูปอื่น เพราะผมไม่มี) บนแคร่ที่เพิง ครูบาท่านนั้นก็มองๆ แล้วก็บอกผมว่า
ทำถูกแล้วที่ตั้งบาตรไว้ห่างจากริมแคร่อย่างน้อย 1 ศอก (จะบอกว่าอันนี้ผมบังเอิญแหละ อิ อิ) แต่บาตรนั้นห้ามสัมผัสกับพื้นโดยตรง อย่างตอนล้างบาตรนั่น ผมทำผิด ควรระมัดระวังให้มากกว่านี้
.
ท่านยังบอกผมอีกว่าข้อวินัยเรื่องบาตรนั้นมีมาก ควรศึกษาไว้จะได้ทำได้ทำไม่ผิด ซึ่งผมก็น้อมรับฟังอย่างตั้งใจ
การเช็ดบาตรนั้นถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่พระป่าจะได้พบปะพูดคุยกันพร้อมหน้า จะนัดหมายทำกิจอะไรก็คุยกันตอนนี้
.ก่อนจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติภาวนา หลังจากเช็ดบาตร เช็ดกระโถนเสร็จแล้ว (ต้องแยกผ้ากันด้วยนะ)
ผมก็ง่วนอยู่กับการใส่ถลกบาตรต่อ จริงๆก็ไม่รู้หรอก อาศัยแอบดูพระอื่นเค้าทำ
..
ต้องถอดเงื่อนตรงนั้นออก แล้วเอามาผูกตรงนี้ ทำไปทำมาก็ไม่ได้ซักที
.จนสุดท้ายต้องเดือดร้อนพระรูปอื่นมาช่วยสาธิตให้ดูอยู่ดี (แหะ แหะ)
ก็จะให้ทำเป็นได้ไงอะครับ
.ตอนอยู่วัดเก่านี่ บาตรผมเป็นเหมือนกับตะกร้าแม่บ้านที่เอาไว้ใส่อาหารเท่านั้น ไม่เคยถอดขาบาตร ไม่เคยถอดถลกบาตร เวลาบิณทบาตทีก็ยกเอาไปทั้งอย่างนั้นแหละครับ พอบิณฯ เสร็จเอากับข้าว อาหารออก
ก็แค่เปิดฝาผึ่งแดดเอาไว้ ไม่เคยได้ล้างเล้ยย (ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจนะครับ แต่เค้าทำกันอย่างนั้นจริงๆ)
. แต่พอมาวัดที่นี่
. เริ่มตั้งแต่ถอดถลกบาตร กรอกบาตร (ล้างบาตรก่อนฉัน) ทั้งเอาไว้ฉัน ฉันเสร็จก็เอามาล้าง เช็ด (อาจต้องตากด้วยบางครั้ง) เสร็จแล้วก็ใส่ถลกบาตรกลับ
..โอ ช่างต่างกันลิบลับ
หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไม กะอีแค่บาตรแค่นี้ ทำไมถึงได้ทำให้มันยุ่งยากจัง
ตรงนี้ครูบาแหล่( ตัวละครชักเริ่มเยอะและ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อ่านไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็จำได้เอง ) ได้บอกผมในโอกาสหนึ่งว่า
บาตรนี้เปรียบเสมือนนาผืนเดียวของพระสงฆ์ (น่าน
ในเนื้อนาบุญ ยังมีนาอีกผืนครับ) เนื่องจากพระสงฆ์ปลูกพืชเองไม่ได้ทำอาหารเองไม่ได้ ได้แต่รับบิณทบาตจากญาติโยม
.ซึ่งก็ผ่านทางบาตรใบนี้นั่นแหละ (หากไม่มีบาตรก็อด) นอกจากนี้สำหรับพระป่าแล้ว บาตรนี้ยังสามารถเอาไว้ใส่ผ้าไตรและของใช้ต่างๆเวลาไปธุดงค์
.ดังนั้น บาตรจึงเป็นสิ่งที่มีบุญคุณยิ่งสำหรับพระสงฆ์ เวลานอนต้องเอาไว้ข้างกายเสมอ เวลาถือก็สมควรยกไว้เหนือเอว และครั้นเมื่อผมได้เห็นกิริยาท่าทางอันทะนุถนอมของครูบาแหล่ เวลากรอกบาตร(กรอกน้ำลงในบาตรแล้วค่อยๆใช้มือสองมือหมุนบาตร วนจนทั่วบาตรจนถึงปากบาตร ) เวลาใส่ถลกบาตร ผมก็ตระหนักได้ดีถึงความสำคัญของมัน (ทั้งนี้ยังมีวินัยเกี่ยวกับบาตรอีกเยอะ ซึ่งผมจะพยายามสอดแทรกไว้ให้เรื่อยๆ ในโอกาสต่อไป) หลังจากเสร็จธุระเรื่องบาตรแล้ว ก็จะแยกย้ายกันเอาบาตร เอาสัมภาระไปเก็บยังกุฏิ
แต่วันนี้ผมยังไม่ได้กุฏิ เนื่องจากช่วงนี้ทางวัดยังยุ่งๆกับการต้อนรับครูบาอาจารย์ที่จะมางานกฐินที่จะมีขึ้นพรุ่งนี้ ผมเลยต้องไปพักใต้โบสถ์ก่อน
.ใต้โบสถ์
เอาแล้วไง ผมชักเริ่มกังวล จินตนาการไปถึงใต้โบสถ์ที่เอาไว้เก็บพวกวัตถุโบราณ พระพุทธรูปเก่าๆ
เสื่อผุๆขาดๆ และใยแมงมุมยุ่บยั่บ (
แอบนึกถึงพวกกรุพระเครื่อง ลูกนิมิตเก่าที่เคยดูตามหนังผีด้วยแหละ ) เป็นไงเป็นกันวะ!! ผมนึก พยายามทำใจดีสู้เสือ ไหนๆ ตั้งใจถ่อมาถึงนี่ แค่นี้จะไปกลัวอะไรวะ จากนั้นผมจึงบอกโยมพ่อให้ช่วยกันอัฐบริขารขึ้นไปไว้ที่ใต้โบสถ์
โปสถ์ที่นี่อยู่บนเขาครับ ต้องเดินขึ้นเขาไปสักหน่อย
เป็นโบสถ์ที่ดูแล้วเรียบง่ายไม่มีลวดลายแกะสลักวิจิตรบรรจงเหมือนวัดอื่น ทว่ากลับให้ความรู้สึกสงบวิเวก
รอบโบสถ์มีเสมาอยู่ 8 อัน แต่ละอันสลักเป็นภาษาบาลีเป็น ข้อมรรคทั้ง 8 อันหมายถึงหนทางดับทุกข์ อีกทั้งตั้งอยู่กลางป่าเขาโดยมีต้นไม้ขึ้นครึ้มอยู่รอบนอก และมีบ่อน้ำที่ขุดขึ้นโดยรอบ (โดยจะมีสะพานเล็กๆทอดข้ามไปยังโบสถ์ทั้ง 4 ทิศ)
สร้างบรรยากาศให้ร่มเย็นชื่นใจ ดุจธรรมะอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าที่ประทานให้ไว้แก่สัตว์โลก
ไม่เพียงแต่นอกโบสถ์เท่านั้น หากเดินเข้าไปในโบสถ์ ก็จะได้พบกับความงามวิจิตรที่ซ่อนในความเรียบง่าย มีพระประธานองค์ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง และพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะยืนประนมมือประกบอยู่ทางซ้ายขวา
แม้ไม่ได้เป็นสีทองอร่าม ทว่าด้วยสีธรรมชาติกลับให้ถึงความรู้สึกความขลัง และศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าประหลาด เบื้องหน้าพระประธานมีหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนหลวงปู่ชานั่งขัดสมาธิอยู่
.บรรยากาศภายในนั้นโล่ง โปร่งสบายเนื่องจากใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก มีหน้าต่างบานใหญ่(จริงๆน่าจะเรียกว่าประตูมากกว่า) เรียงรายตลอดแนวให้ลมพัดผ่านเข้ามาได้
เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยังแอบรู้สึกกลัวๆกล้าๆนิดๆที่ต้องนอนใต้โบสถ์คืนนี้
..โยมพ่อเดินข้ามสะพานนำผมไปยังประตูใต้โบสถ์ ผมก็ตามไป พอเปิดเข้าไปเท่านั้นแหละ
.
.ผิดคาดเลยครับ ..ใต้โบสถ์ที่นี่สะอาดสะอ้านมาก แม้จะเป็นที่เก็บของ แต่ก็จัดเอาไว้เป็นสัดส่วนอย่างดี มีพื้นยกระดับไว้รอบๆ (เข้าใจว่าน่าจะ เผื่อให้พระอาคันตุกะมาจำวัดที่นี่ได้) มีชั้นหนังสือที่เก็บรวบรวมหนังสือธรรมะไว้มากมาย วางต่อกันไปเป็นระเบียบ พวกสังฆทานที่ญาติโยมบริจาคมาก็จัดแยกแยะเป็นหมวดหมู่ตามประเภทของเครื่องใช้เพื่อประโยชน์ในการหยิบใช้สอย
.แล้วพอได้เห็นชั้นวางเสื่อ วางหมอน และอาสนะ เท่านั้นแหละ
ผมก็เลยถึงบางอ้อ
ที่แท้ ใต้โบสถ์ ที่นี่เค้าเอาไว้ให้โยมที่มาปฏิบัติธรรมพักที่นี่ด้วยนั่นเอง เสริมนิดหน่อยนะครับ
.ทราบมาว่าตามธรรมเนียมวัดหนองป่าพงดั้งเดิมนั้น จริงๆแล้วไม่ได้มาขอบวชกันง่ายๆแบบนี้นะครับ หลวงปู่ชาท่านต้องให้บวชผ้าขาว(หรือ ปะขาว)ถือศีล 8 อยู่วัดก่อน 2-4 เดือน จากนั้นจึงจะให้บวชเป็นเณร 1 ปี (ถือศีล 10) ถึงจะบวชเป็นพระได้ (เห็นมั้ยครับ
กว่าจะได้มาเป็นพระป่า ไม่ใช่ง่ายๆเลยเน้อ) และทุกๆนอนเฝ้าโบสถ์ โดยโบสถ์ที่นั่น จะเก่าๆผุๆหน่อย ไม่ใหม่เหมือนที่นี่นะครับ ก็จะมีโครงกระดูกแขวนไว้อยู่ใกล้ๆที่นอน
..ถือเป็นการทดสอบจิตใจและสอนกรรมฐาน (กายคตาสติ) ไปในตัว ที่เตลิดยอมแพ้ไปก่อนจะได้บวชก็เยอะ
.ซึ่งธรรมเนียมนี้สำหรับวัดหนองป่าพงสาขาใหญ่ และสาขาวัดป่านานาชาติ
ยังคงใช้อยู่มาถึงปัจจุบัน ส่วนสาขาย่อยก็อาจปรับเปลี่ยนไปบ้างเพื่อความเหมาะสมต่อยุคสมัย ส่วนธรรมเนียมของที่วัดนี้ ท่านให้บวชผ้าขาวก่อน 1-3 เดือน แล้วถึงจะบวชพระได้
..ส่วนของผมนี่ถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นพระอาคันตุกะ คือบวชวัดอื่นแล้วมากราบขออนุญาตท่านเจ้าอาวาส(พระอาจารย์จันดี)ในภายหลัง
ซึ่งท่านก็เมตตาผมมากจริงๆ ที่อนุญาตให้ผมมาอยู่ได้
.ซึ่งผมก็ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากปูเสื่อ จัดข้าวของอัฐบริขารต่างๆให้เข้าที่เรียบร้อยแล้ว (โดยให้โยมที่มาช่วยประเคนให้อีกหนหนึ่ง) โยมพ่อโยมแม่โยมแฟนผมก็ลากลับ
..ส่วนผมก็เดินขึ้นไปบนโบสถ์
ผมนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้ารูปเหมือนหลวงปู่ชาและพระพุทธเจ้า
..สายตาเหลือบมองไปยังท่าน พลางยกมือประนมหว่างอก แล้วก้มลงกราบ
..กราบที่หนึ่ง
.กราบพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา และเปรียบประหนึ่งบิดาแห่งพุทธบริษัท บัดนี้ผมกำลังกราบด้วยระลึกในพระคุณของท่าน
กราบที่สอง
.กราบพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และนำมาสั่งสอนสัตว์โลก บัดนี้ผมกำลังจะมาศึกษาและน้อมพระธรรมเข้ามาสู่ใจ
..กราบที่สาม
. กราบหลวงปู่ชา พระอรหันต์ผู้มีวัตรปฏิบัติอันงดงามและเคร่งครัด ครูบาอาจารย์ผู้เป็นดั่งหัวเรือใหญ่ในการเผยแผ่พุทธศาสนาให้ขจรขจายออกไปทั่วโลก และบัดนี้ผมกำลัง(อาจเอื้อม)กราบขอเป็นศิษย์อีกคนหนึ่งของท่าน
. ผมยกมือขึ้นจบเหนือศีรษะ สัมผัสสายลมเย็นๆพัดผ่านมาที่ผม
..ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอิ่มเอิบในเมตตาแห่งสรณะ(ที่พึ่งอันสูงสุด)ทั้งสาม หรือ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ก็ตาม
.ผมรู้สึกอิ่มเอิบ และขนลุกซู่ด้วยความปีติ
.ผมนั่งหลับตาซึมซับความรู้สึกปีติอยู่ครู่หนึ่ง
พลางอธิษฐานในใจ
.. ผมขอมาปฏิบัติธรรมที่นี่
..ขอให้ท่านทั้งหลาย โปรดช่วยปกป้องคุ้มครอง และดลบันดาลให้ผมได้ประสบความสำเร็จในทางธรรมเถิด
จากคุณ |
:
ซงย้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
18 มี.ค. 53 19:31:39
|
|
|
|