 |
ความคิดเห็นที่ 6 |
|
บทที่สอง
ผมชอบที่จะไปลานโบว์ลิ่งที่ชื่อ ว่า “เดอะ แคปปิตอล” เหตุเพราะมันดูกว้างและไม่แออัดไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ปะปนกับชน ชั้นเดินถนน ซึ่งคราวนี้มีผู้ร่วมรับเชิญสังสรรค์คือ พี่ใหญ่หรือถ้าจะให้ถูกใจต้องเรียกว่าพี่สาวใหญ่ นามว่า จง เธอเป็นผู้ชายหรือบางทีก็เป็นผู้หญิง ที่มีพื้นฐานครอบครัวดี และเราก็คบหาสมาคมกันไปได้ ด้วยดีเธอสังเกตเห็นผมเอา แต่จ้องมองที่ประตูทางเข้า
“มองหาอะไรอยู่? มีอะไรดีๆ จะเข้ามาทางประตูนั่นหรือไง ฮึ” มาดามจง ออกปากถามเต็มจริตหญิง
“ลิ่วซิง...เขาบอกว่าจะพาน้องของ เขามาฝากให้ช่วยใช้เส้นสาย เข้าเรียนมหาวิทยาลัย”
“คุณได้รับผิดชอบอะไรมากมายนะ” เธอหัวเราะ
ลิ่ว ซิง มาถึงที่นัดหมายเมื่อประมาณ หก หรือเจ็ดโมง มี “เด็กหนุ่ม” ตามหลังมาด้วย มองจากระยะไกล ผมสามารถเห็นได้ว่า หนุ่มน้อยนั้นตัวไม่สูงและดูไม่สะดุดตา ซึ่งทำให้ผมรู้สึกผิดหวังในทันทีและสบถด่า ลิ่วซิง อยู่เงียบๆ
“สวัสดี มาดาม จง สวัสดี เว่ย กู๋” ลิ่วซิงทักทายทุกคน
เด็กหนุ่มนั้นยืนห่างออกไปเล็ก น้อย สายตานั่นมองตามลิ่วซิงตลอดเวลา
“นี่ ท่านประธานชาน” ลิ่วซิงเริ่มแนะนำผมให้รู้จักกับเด็กหนุ่ม “นี่ หลันหยู น้องเขามีนามสกุลว่าหลัน ส่วนชื่อก็ใช้อักษรไม่มากแค่ตัวเดียวว่าหยู”
“สวัสดี” ผมยิ้มและยื่นมือออกไป
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มชื่อ “หลันหยู” ยื่นมือมาจับ ผมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นด้วยความ ประหม่า
เขาแอบแวบมองผมเมื่อตอนจับมือทักทาย และดวงตาแวบมองคู่นั้นมันได้ถูก ประทับลงในความทรงจำของผม ไว้ตลอดชีวิต ดวงตาคู่นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นนัยน์ตาโศก เติมเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจและ หวาดระแวง “เด็กหนุ่ม” ไม่ยิ้ม ไม่มีแม้กระทั้งเสี้ยวส่วนของสิ่งที่เรียกว่า “การยิ้ม” บนใบหน้า(อย่างที่ผมจะได้เจอบ่อยๆ จากผู้คนในวงการธุรกิจเส แสร้งยิ้มให้กัน)ในระยะใกล้ร ะยะประชิดตัว ผมสำรวจดูผิวพรรณซึ่งดูไม่ค่อยเนียนละเอียดแต่ไม่มีรอยด่างดำ แต่เครื่องเคราบนใบหน้านั่นดูหล่อเหลาเอาการ จมูกโด่ง ริมฝีปากปิดแน่น ดูเหมือนพยายามปกปิดความรู้สึก ผมรู้สึกว่าหัวใจผมขยายพอง มันเป็นความรู้สึกที่ได้หล่นหาย ไปนานมากแล้ว เพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าผมจ้องมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ผมละสายตามองไปทางอื่น หันไปมอง มาดามจง ซึ่งกำลังพยายามโยนลูกโบว์ลิ่ง ด้วยอาการตูดบิด
“ชอบโบว์ลิ่งไหม?” ผมถามเด็กหนุ่ม
“ไม่รู้ว่ามันเล่นยังไงครับ” คำตอบที่ได้รับนั่นเป็นสำเนียง จากทางภาคทางเหนือ
“บางที น้องเขาอาจจะยังไม่ได้กินข้าวนะ” ลิ่วซิงกระซิบ
“งั้นดีเลย ฉันก็ยังไม่ได้กินมื้อเย็นเหมือนกัน” ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมสังสรรค์ “จะไปกินข้าวกันไหม พอดีต้องพาน้องชายไปกินข้าว ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องตำหนิว่าพี่ ชายใหญ่ไม่รู้จักดูแลน้อง”
“ลืมไปได้เลย หิวก็ไปคนเดียวเถอะ” คำตอบจากมาดาม จง ฟังดูเหมือนแฝงความนัย “ว่ารู้” แต่ผมไม่ใส่ใจ เราขับรถไปยังโรงแรมชื่อ เซียงโค่ว เพราะผมมีห้องพิเศษส่วนตัวที่นั่น ครัวอาหารของโรงแรมจีนที่นี่ดูโอ่อ่า ดูสว่าง ตกแต่งด้วยเครื่องเคลือบดินเผา แต่รสชาติอาหารไม่ค่อยน่าประทับ ใจ แต่ก็ดีกว่าอาหารในครัวอิตาลี และฝรั่งเศส
“อายุเท่าไหร่?” ผมถามแบบให้ดูเหมือนไม่ตั้งใจ ขณะที่เรานั่งรออาหารในภัตตาคารแห่งนั้น
“สิบหกย่างสิบเจ็ดครับท่าน”
“ทำไมถึงเข้ามหาวิทยาลัยเร็วขนาด นี้?” ผมจำได้ว่าตอนผมเข้ามหาวิทยาลัย นั้น ผมอายุย่างสิบเก้า
“ผมเข้าโรงเรียนก่อนเกณฑ์หนึ่ง ปีครับ,,,และก็สอบวัดความรู้ เลื่อนชั้นได้” ใบหน้านั้นยังคงไม่ยิ้มแต่สายตานั่นจับจ้องผมอยู่ตลอดเวลาขณะเมื่อตอบคำถาม กริยาการแสดงออกเหมือนได้รับการอบรม มาอย่างดี นัยน์ตาโศกคู่นั้นที่จับจ้องผม มันทำให้ผมแทบควบคุมตัวเองไม่ อยู่ ความคิดผมเตลิดไปไกลถึงเรื่อง “ลึกลับซ่อนเร้น” ว่าผมได้กอดเด็กหนุ่มนั้นอยู่บนเตียง
“เคยกับเมืองปักกิ่งรึยัง” ผมพูดด้วยสำเนียงปักกิ่งที่ฟังดูเร็ว ภาษาแถบนี้นิยมรวบคำเข้าด้วยกันและละคำให้สั้นลง ซึ่งคำว่า “เคย” นั่น ควรจะหมายถึง คุ้นเคย หรือเคยชิน
“เออ…” เด็กหนุ่มหยุดคิด ผมสังเกตได้ว่าเขากำลังมีปัญหานิดหน่อยกับสำเนียงจีนแมนดารินแบบคนปักกิ่ง
“ยังไม่คุ้นครับ โดยเฉพาะสำเนียง คนปักกิ่งพูดเหมือนลิ้นพันกัน ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่น่าฟัง”
ริมฝีปากนั่นขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ เมื่อเวลาพูด เหมือนจะยิ้มแต่ดูลังเล ปรากฏว่าเด็กหนุ่มนั้นค่อนข้าง หิว เขากินข้าวจนเกลี้ยงจานราวกันมัน ไม่ได้ใส่อาหารมาก่อน “เรียนเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมหรือ เลือกได้ดีนะ จบไปแล้วไม่ต้องกลัวตกงานหรือไม่มีเงิน พี่เคยมีเพื่อนสองสามคนเรียนสถาปัตยกรรม เขาออกแบบและวาดรูปให้คนอื่น เมื่อตอนเรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัย ได้เงินใช้สอย ทำให้พวกเราที่เรียนเอกวรรณคดี รู้สึกอิจฉา” ผมพยายามพูดคุยเมื่อตอนขณะออกจากภัตตาคารเพื่อไป “ขึ้นห้อง” ตอนนี้เราอยู่หน้าลิฟต์
จากคุณ |
:
sawisan.rorruk
|
เขียนเมื่อ |
:
21 มี.ค. 53 23:33:39
|
|
|
|
 |