ความคิดเห็นที่ 1 |
|
บทที่ สี่
“ฉันเพิ่งไปเจอหลันหยูมาโดยบังเอิญ” ลิ่วซิง พูดลอยๆ หลังจากได้รายงานเกี่ยวกับความเป็นไปในบริษัท
“ที่ไหน?” ผมโพล่งออกมาทันที รู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะ
“นายรู้จัก หลิว ไห จู ที่เปิดบริษัทใหม่บนถนนที่หมู่บ้านตอนเหนือได้ไหม?” “เด็กนั่น ทำงานที่นั่น” ลิ่ว ซิ่ง พูด
“แปลก เด็กนั่นไม่กลับบ้านไปฉลองปีใหม่หรือ แล้วเด็กนั่นเห็นนายหรือเปล่า”
“ไม่นะ รู้สึกเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการติดตั้งเครื่องจักร”
“แล้วเด็กนั่น โทรมาบ่อยหรือเปล่าช่วงนี้”
“โห.. เกือบยี่สิบกว่าครั้งได้มั้ง”
“แล้ว…ว่าไงบ้าง” ผมพูดแค่นหัวเราะ
“ไม่มีอะไร... แค่บอกว่า อยากคุยกับนาย” ลิ่วซิง พูดอารมณ์ดี “นายยังติดต่อกับเด็ก หลันหยูนี้อยู่เหรอ นึกว่านายเบื่อไปแล้ว”
“งั้นต้องแวะไปดูหน่อยแล้ว ... ไปยั่วให้คิดถึงเสียหน่อย” ผมรู้สึกว่ามันน่าสนุก ไม่ได้บอกเหตุผลกับลิ่วซิงว่าทำไมต้องไปหา เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะทำไม
หลิว ไห จู ดูยุ่งกับงานที่ทำ เขากำลังวุ่นวายอยู่กับการติดตั้งเครื่องจักรบางอย่าง เครื่องอะไรไม่น่าสนใจ คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้มันเอาไว้ทำอะไร ผมจึงไม่แวะไปทักทาย เดินเลยเข้าไปในห้องโชว์รูม เมื่อผมเปิดประตู
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” พนักงานขายรี่เข้ามาบริการ
“แค่เดินดูรอบๆ น่ะ ผมแวะมาคุยกับเจ้านายของคุณมากกว่า” เมื่อเห็นว่าผมไม่ใช่ลูกค้าปกติเขาจึงไม่กล้ามายุ่มย่ามกับผมมากนัก
“เฮ้ย นั่น ระวังหน่อยสิวะ ... นั่นๆ จะยกเครื่องจักรไปไหน ระวังหน่อยโว้ย ไม่ใช่ถูกๆ ” มีเสียงเอะอะโวยวายสั่งงานสำเนียงปักกิ่ง
“ก็หัวหน้าใหญ่บอกให้ย้ายมา นี่ครับ” นั่นเป็นเสียงของหลันหยู แม้เสียงไม่ดังแต่ดูหนักแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาพูดจาโผงผางกับคนอื่นๆ
“หยุดวางมันไว้ตรงนั้นแหละ และก็ย้ายอันเก่าไปไว้ในโกดังด้วย” หลิว ไห จู ตวาดสั่ง
“พวก งี่เง่า” เจ้านายตะโกนด่า หลันหยูส่ายหน้าแต่ก็ทำงานต่อไป
ทันใดนั้น หลันหยูก็หันมองเห็นผม เขาอึ้งไปสองสามวินาที แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้ม
“แกสองคนช่วยทำงานให้มันขยันขันแข็งหน่อย ฉันไม่ได้จ้างมาอู้งานนะ”
หลิวไหจู ยังสบถด่าไม่หยุด แล้วเขาก็หันมาเห็นผม โดยไม่รู้ว่าผมมายืนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว
“ฮื่อ พี่ใหญ่ชาน ฮัน ตง ลมพัดอะไรมาถึงนี่ น่าประหลาดใจ” หลิวไหจูฉีกยิ้มกว้างแบบคนทำธุรกิจ
“มาทำธุรกิจกับนาย ต้องการหรือเปล่าล่ะ” ผมแกล้งหยอดคำหวาน ขณะที่สายตาผมยังจ้องไปที่ หลันหยู ซึ่งเขายังคงวุ่นวายกับการเคลื่อนย้ายสินค้าตามสั่ง แต่ก็แอบชำเลืองมาทางผมบ่อยๆ ใบหน้าแสดงความตื่นเต้นดีใจ ผมคุยกับหลิวไหจู อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ขอตัวออกไป ... หลันหยูหายไปแล้วจากที่เดิม ผมยืนรอจนเห็นเขา
“ก่อนเดินออกจากโชว์รูม ผมหลิ่วตาเป็นสัญลักษณ์บอก หลันหยูว่าให้ไปที่รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูสีน้ำเงิน ซึ่งจอดอยู่ริมถนน หลังจากนั้นสิบนาที หลันหยูก็วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว กระโดดเข้ามาในรถ
“ผมคิดว่าพี่จะไม่รอเสียแล้วครับ” หลันหยู พูด พลาง หอบหายใจ
“พี่แค่แวะมาทำธุระที่นี่นิดหน่อย ตอนนี้เสร็จธุระแล้ว” ผม “ปั้นน้ำ” แทบไม่อยากเชื่อตัวเองว่าไปหัดนิสัยแบบนี้มาจากไหน “ทำงานที่นี้เหรอ ... ทำไมไม่กลับบ้านไปฉลองปีใหม่ล่ะ” ผมถาม
“ปีนี้ผมกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยไม่กลับบ้านครับ บ้านเขาอยู่มณฑลหนานไห่ ไปและกลับ คิดดูแล้วเวลามีไม่พอครับ เราเลยไม่ไปไหน”
หลังจากนั้นเราเงียบไปครู่หนึ่ง ผมทำลายความเงียบนั้นด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย
“ขออนุญาตหัวหน้าหรือยังก่อนออกมานี่”
“ขอแล้วครับ ผมว่าแค่สองสามนาที แต่เขาปฏิเสธ ผมว่าผมมีเรื่องด่วนที่ต้องทำแต่เขายังปฏิเสธ ผมเลยบอกเขาว่างั้นผมขอลาออก” เขาหัวเราะอย่างมีความสุข ผมเองก็หัวเราะตาม หลันหยูเล่าต่อว่า
“ผู้คนในปักกิ่งนี้ค่อนข้างเข้มงวด ทุกอย่างดูจริงจังไปหมด โดยเฉพาะกระทิงบ้านั่น” หลันหยูคงหมายถึงหลิวไหจู
“นี่เรากำลังว่าพี่หรือเปล่า พี่ก็คนปักกิ่งนะ” ผมกระเซ้าอย่างอารมณ์ดี
“แต่ เอ๊ะ ผมจำได้ว่า...พี่บอกผมว่า พี่ก็เป็นคนต่างเมืองที่ต้องเข้ามาเรียนและทำงานในปักกิ่ง” หลันหยูพูดเป็นจริงเป็นจัง ผมหัวเราะแก้เก้อและนึกถึงสุภาษิตจีนว่า “อย่าโกหกเด็ก เพราะเด็กจำแม่น” หลันหยูขอร้องให้ผมหยุดรถก่อนถึงมหาวิทยาลัย “ช่วยอ้อมไปส่งที่มหาวิทยาลัยได้ไหมครับ ผมอยากไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดทำงานที่สกปรกเหม็นกลิ่นเหงื่อ” มันเป็นเสื้อผ้าฝ้ายราคาถูก เลอะเปื้อนไปด้วยน้ำมันเครื่องและผงฝุ่น “มันมีประตูทางเข้าทางด้านใต้ทางเดียว รู้จักทางไปหรือเปล่าครับ”เขาถาม “เซาธ์เทิร์นยู กับ ไชน่ายู เป็นเพื่อนบ้านกัน สมัยยังเรียน ไปมาประจำ ทำไมพี่จะจำไม่ได้”
วิทยาเขตเซาธ์เทิร์นยู ค่อนข้างกว้าง แต่ก็ดูไม่สวยเท่าไชน่ายู รถไปหยุดตรงที่หน้าตึกหมายเลขแปด หลันหยูพุ่งออกไปจากรถอย่างรีบร้อน ผมรู้สึกฉงนนิดๆ เมื่อรู้ว่าเขาเรียนอยู่ที่นี่จริงๆ อย่างที่เขาเคยบอก เขาไม่ได้โกหก ซึ่งหายากแล้วสำหรับคนที่ทำ“แบบนี้” ในปัจจุบัน(อย่างที่ผมเคยเจอมา) ในทางตรงกันข้าม ผมเสียอีกที่เป็นคนช่างพูดโกหกวกวนตามประสานักธุรกิจจะว่าไปแล้ว ร้อยส่วนมีสักห้าส่วนที่เป็นเรื่องจริง แต่...แล้วไงล่ะ นักธุรกิจก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น
เขาดูเปลี่ยนไปตอนเขากลับเข้ามาในรถ กางเกงยีนส์หลวมๆ เข้ากันได้ดีกับเสื้อแจ็คเก็ตสีเทาปล่อยกระดุมแบะอก มันคือเสื้อผ้าที่ผมซื้อให้เมื่อครั้งที่แล้ว นอกจากนั้นเขายังล้างหน้า หน้าผากและคิ้วยังดูเปียกอยู่ ผมกำพวงมาลัยรถไว้แน่น...เหตุเพราะที่หว่างขาของผมมีบางอย่างกำลังแข็งตัว
“ผมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ในมหาวิทยาลัยไม่ได้ครับ มันดูเด่นเกินไป เขาจะพากันคิดว่าผมเป็นนักเรียนญี่ปุ่น” เขาอธิบาย ใบหน้าขวยอายและดูภูมิใจในความดูดีของตัวเอง
จากคุณ |
:
sawisan.rorruk
|
เขียนเมื่อ |
:
23 มี.ค. 53 14:09:42
|
|
|
|