Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ บทที่ 3 แม่หญิงนางนี้ไม่ผิดเลยสักนิด  

บทที่ 3

แม่หญิงนางนี้ไม่ผิดเลยสักนิด



อ้อมผ่านหัวเลี้ยวที่เยี่ยหัวสองพ่อลูกลับหายไป ข้าหันซ้ายมองขวา ก็พบว่าค่อนไปทางทิศเหนือ มีหญิงสาวชุดขาวแต่งหน้าประดับเนื้อตัวแต่น้อยกำลังเร่งฝีเท้าเดินตรงเข้ามาหาข้า

ข้าหรี่ตามองอยู่พักใหญ่ แล้วค้นพบด้วยความปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่งว่า...วันนี้จะต้องถูกกำหนดให้เป็นวันที่ยอดเยี่ยมบรรเจิดและดุจดั่งความฝันอย่างแน่นอน

แม้หญิงนางนั้นจะก้าวเดินอย่างรีบร้อน ทั้งยังท้องโย้ ท่วงทีกิริยากลับแผ่วพลิ้วงดงามยิ่ง

ข้าหยิบพัดทลายเมฆออกมาคะเนน้ำหนักดู ใคร่ครวญว่าหากโบกพัดจากทางซ้ายไปทางขวาสักที จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะส่งนางจากทะเลบูรพาตรงดิ่งกลับไปถึงทะเลอุดรในรวดเดียว แต่ครั้นดูท้องโย้ๆ นั่นแล้ว ในที่สุดข้าก็ใจอ่อนมืออ่อนเก็บพัดกลับเข้าที่ไปเสีย

ครั้นมาถึงตรงหน้าข้า นางก็คุกเข่าลงโดยแรงทันที

ข้าเบี่ยงกายหลบ ไม่คิดจะรับการไหว้คำนับนี้ นางกลับเดินเข่าเข้ามาหาอย่างลำบากยากเย็น

ข้าได้แต่หยุดยืน

นางมองข้า ดวงตามีน้ำเอ่อคลอ ท่าทางดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ใบหน้ากลับกลมยิ่งกว่าเมื่อห้าหมื่นปีก่อนมาก คาดว่าคนที่ตั้งครรภ์ต่างต้องอ้วนด้วยกันทั้งนั้น

ข้านิ่งคิดว่าในตอนนี้สังคมเทพเซียนทั้งหลายเขาถือว่ารูปร่างผอมเป็นไม้เสียบผีนั้นงาม หรือถือว่ารูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์นั้นงาม นิ่งคิดอยู่นานยังคงไม่มีผลลัพธ์ ดังนั้นจึงได้แต่เตือนตัวเองว่าห้ามเอ่ยทักถึงรูปร่างเป็นอันขาด...ห้ามเอ่ยทักถึงรูปร่างเป็นอันขาด จะได้ไม่ต้องเผลอหลุดคำพูดที่ไร้ซึ่งความเห็นใจออกมา

ไม่ได้พบกันมาหลายหมื่นปี แม้ว่าข้าจะนึกแค้นเคืองนางอยู่บ้างเล็กน้อย แต่จะอย่างไรข้าก็เป็นผู้ใหญ่ ในเมื่อนางปฏิบัติต่อข้าอย่างเปี่ยมมารยาทไม่มีขาดตกบกพร่อง ข้าก็ไม่อาจทำตัวเสียบุคลิกได้

นางยังคงมองข้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำขังคลอและดวงดาวทอประกายเจิดจ้าระยิบระยับสว่างไสวอยู่เหมือนเดิม และจ้องเอาๆ เสียจนข้าเริ่มจะเสียวสันหลังอยู่วาบๆ นางจึงค่อยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาสะอึกสะอื้นว่า

“กูกู”

ในที่สุดข้าก็อดใจไม่อยู่ หลุดปากโพล่งออกไปว่า

“ส้าวซิน ทำไมเจ้าถึงได้อ้วนแบบนี้?”

.........

นางตะลึงลาน พวงแก้มทั้งสองข้างซ่านสีแดงระเรื่อในบัดดล มือขวาลูบท้องที่นูนใหญ่ ท่าทางเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกอยู่เล็กน้อย อุบอิบว่า

“ส้าวซิน...ส้าวซิน...”

พูดอุบอิบไปได้ครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนนางจึงค่อยรู้ตัวว่า คำพูดเมื่อกี้ของข้าเป็นแค่คำทักทายเท่านั้น ไม่ใช่ต้องการถามนางจริงจังว่าทำไมถึงได้อ้วน จึงรีบร้อนหมอบกราบลงกับพื้นเป็นการคารวะเต็มพิธีการต่อข้า แล้วพูดว่า

“เมื่อกี้...เมื่อกี้มีลมพายุคลั่งม้วนพัดขึ้นมาจากในสวนดอกไม้นี้ น้ำทะเลปั่นป่วนไหลทวนกลับ ส้าวซิน...ส้าวซินคิดว่าอาจจะเป็นเพราะพัดทลายเมฆ...อาจจะเป็นกูกู จึงรีบแล่นมาดู แล้วก็ใช่จริงๆ...ใช่จริงๆ...” พูดจบก็ทำท่าจะน้ำหูน้ำตาไหลอีกรอบ

ข้าไม่ทราบว่าน้ำตานี้ของนางหลั่งด้วยเหตุใด แต่ก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไร

พัดทลายเมฆเป็นของเล่นที่ข้าเคยมอบให้นาง ในตอนนั้นบาดแผลสาหัสของนางเพิ่งจะหายดี ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ข้าจึงมอบพัดเล่มนี้ให้แก่นาง และปลอบนางว่า

“หากมีใครกล้ามารังแกเจ้าอีกละก็ ให้ใช้พัดเล่มนี้พัดใส่ไปเลย รับรองว่าแค่พัดครั้งเดียวก็ส่งคนคนนั้นลอยละลิ่วออกไปนอกชิงชิวอย่างแน่นอน”

แม้จะไม่เคยใช้พัดเล่มนี้จริงๆ จังๆ มาก่อน แต่ส้าวซินกลับถือพัดนี้เป็นของวิเศษอันล้ำค่า พกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลาไม่เคยห่าง แต่ตอนที่ไปจากโพรงจิ้งจอก นางกลับไม่ได้นำมันติดตัวจากไปด้วย

พูดตามตรงแล้ว เผ่างูปาเสอนั้น ตัวที่สามารถบำเพ็ญเพียรจนจำแลงร่างเป็นสตรีได้ ไม่มีตัวใดไม่งดงามยั่วยวนกล้าหาญชาญชัยเลยสักตัว แต่ส้าวซินกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง บางทีอาจเป็นเพราะตอนยังเล็กอยู่นางโดนรังแกมาหนักมาก แม้จะอยู่รักษาบาดแผลที่ชิงชิวจนหายดี นางกลับยังคงเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์(๑)

ในตอนนั้น ทอดตามองทั่วทั้งชิงชิว นอกจากข้ากับพี่สี่แล้ว ไม่มีใครเข้าใกล้นางได้ใกล้เกินกว่าสองจ้างเลยสักราย กระทั่งหมีกู่ที่สาวๆ นับหมื่นรายพากันหลงใหลเป็นฝ่ายริเริ่มแสดงไมตรีจิตต่อนาง นางยังเผ่นหนีไปเสียไกลลิบ

อยู่มาวันหนึ่ง งูปาเสอน้อยตัวนี้ก็เริ่มแตกเนื้อสาว และได้ปักถุงหอมมอบให้แก่พี่สี่ของข้า โดยแฝงความหมายมอบใจให้อยู่ภายในการกระทำนี้ แต่ตาท่อนไม้จอมทึ่มป๋ายเจินนั่นกลับนำถุงหอมใบนี้ไปส่งต่อให้เจ๋อเหยียนเสียนี่ หลังจากกลับมาแล้วยังมีการเรียกตัวส้าวซินมาพบเป็นการเฉพาะ แล้วบอกว่าเจ๋อเหยียนชอบรูปแบบของถุงหอมนั่นมาก แต่สียังไม่ค่อยตรงใจเท่าไรนัก พอจะช่วยปักเป็นสีบัว(๒) ให้เขาอีกใบได้หรือไม่? ส้าวซินฟังแล้ว สองตาแดงก่ำทันที

หลังจากนั้นส้าวซินก็ใช้ชีวิตแบบระวังตัวแจยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะเป็นขี้ขลาดอ่อนแอ

หลังจากนั้นไปอีก ก็คือนางได้หนีตามซางจี๋ไป และซางจี๋ถอนหมั้นข้า

ความจริงแล้วจนบัดนี้ข้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจดีนักว่า งูปาเสอน้อยที่ขี้ระแวงเกินเหตุจนสุดขั้วตัวนั้น ทำไมถึงได้ไม่หวาดระแวงในตัวซางจี๋เลยสักนิด ทั้งสุดท้ายยังจะตกปากรับคำยอมหนีตามซางจี๋ไปอีกด้วย

พี่สี่บอกว่า เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกหรือ กว่าครึ่งจะต้องเป็นเพราะเจ้าซางจี๋นั่นเห็นว่าส้าวซินเป็นสาวน้อยหน้าตาหมดจดงดงาม จึงเกิดอาการหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน หยิบท่อนไม้ฟาดหัวส้าวซินสลบ จับยัดใส่กระสอบป่านแบกขึ้นหลังหลอกลักพาตัวส้าวซินไปนั่นแหละ

ในตอนนั้นพี่สี่กำลังร่วมกันเรียบเรียงหนังสือชุดหนึ่งกับเจ๋อเหยียน ชื่อของหนังสือคือ “วิจัยตรวจสอบประวัติศาสตร์เรื่องรักใคร่ของทวยเทพยุคดึกดำบรรพณ์ บทสร้างโลก” และบทที่พี่สี่กำลังลงมือเขียนอยู่ แนวความคิดหลักก็คือ “ความรักนั้นเริ่มต้นจากการลักพาตัว” พอดี

ข้าใคร่ครวญดูแล้ว เห็นว่านี่เป็นการสันนิษฐานโดยมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะเป็นพื้นฐาน จึงเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานนี้เป็นอย่างยิ่ง

ในเวลาและสถานการณ์แบบนี้ เดิมทีข้าสามารถสะบัดหน้าจากไปได้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางน่าสงสารนั้นของส้าวซินแล้ว ข้าก็ทำไม่ลงจริงๆ  ประจวบกับข้างๆ มีม้านั่งหินอยู่ตัวหนึ่งพอดี ข้าจึงถอนหายใจ ย่อกายนั่งลงไป

“ข้าไม่ได้ออกจากชิงชิวมาหลายหมื่นปี นึกไม่ถึงเลยว่าคราครั้งนี้เพิ่งจะออกมา ก็ได้พบกับคนรู้จักเก่าก่อน ไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อไปวัด(๓)  ส้าวซิน เจ้าน่าจะรู้ดีว่าข้าไม่อยากพบหน้าเจ้าเป็นอย่างยิ่ง แต่เจ้ากลับจงใจมาคุกเข่าลงตรงหน้าข้า แสดงว่าต้องมีเรื่องมาขอร้องข้าอย่างแน่นอน เราเคยเป็นนายบ่าวกันมาก่อน ตอนเจ้าออกเรือน ข้าเองก็ไม่ได้ตระเตรียมสินเดิมอะไรให้ ครั้งนี้นับว่าได้ชดเชยพอดี ข้าขอรับปากว่าจะทำให้เจ้าสมหวังข้อหนึ่ง จงบอกมาเถิด เจ้าต้องการสิ่งใด?”

นางกลับเอาแต่เหม่อมองข้า

“ส้าวซินคาดเดาได้ว่ากูกูจะต้องโกรธ แต่...แต่ว่าเหตุใดกูกูถึงไม่อยากพบหน้าส้าวซินเล่า?”

ข้าตกตะลึงอย่างมาก หลังจากหายตกตะลึงแล้วข้าก็ใช้ความคิดใคร่ครวญดูเล็กน้อย สถานการณ์อย่างข้านี้ การที่ไม่สามารถทำใจมาพบหน้านางในสภาพอารมณ์ดีได้นั้น ถือเป็นเรื่องคู่ควรแก่การอภัยอย่างไม่ต้องกังขา

ถึงกระนั้น ต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถบอกออกไปเป็นนัยๆ อย่างไว้มาดงามสง่าได้ว่าการที่ข้าไม่ยินดีพบหน้านางนั้นเป็นเพราะอารมณ์พาล กลับเป็นปัญหายุ่งยากประการหนึ่ง

ข้ายังไม่ทันได้เอ่ยตอบ ส้าวซินกลับเดินเข่าเข้ามาใกล้อีกสองก้าว พูดอย่างร้อนรนว่า

“กูกูไม่เคยพบหน้าซางจี๋มาก่อน กูกูยังเคยบอกว่าไม่มีทางรักซางจี๋ได้ หากกูกูแต่งงานกับซางจี๋ จะต้องไม่มีความสุขอย่างแน่นอน ซางจี๋รักส้าวซิน ส้าวซินเองก็รักซางจี๋ กูกูเสียซางจี๋ไป ก็ยังสามารถได้คนที่ดีกว่ามา เยี่ยหัวจวินมิใช่ว่าดีกว่าซางจี๋เป็นร้อยเท่าพันเท่าดอกหรือ? เยี่ยหัวจวินยังเป็นว่าที่เทียนจวินอีกด้วย แต่หากส้าวซิน...หากส้าวซินเสียซางจี๋ไป ก็...ก็จะไม่เหลืออะไรเลย

“ส้าวซินหลงนึกว่า...ส้าวซินหลงนึกว่ากูกูคือเทพเซียนผู้ตระหนักในสถานการณ์ใหญ่ กูกูคงจะโกรธเคืองที่ส้าวซินไปจากชิงชิวโดยพลการอย่างไม่มีการบอกกล่าว แต่ไม่มีทางโกรธเคือง...ไม่มีทางโกรธเคืองที่ส้าวซินแต่งงานกับซางจี๋อย่างแน่นอน กูกู...กูกูเฝ้าหวังมาตลอดให้ส้าวซินสามารถเชิดหน้ายืดอกอยู่ในโลกนี้ได้อย่างแกร่งกล้ามิใช่หรือเจ้าคะ?”

ไม่เจอกันแค่ไม่กี่หมื่นปี งูปาเสอน้อยในตอนนั้นได้กลายเป็นคนปากลิ้นคมกริบไปเสียแล้ว พลังสร้างสรรค์ของธรรมชาตินี่ช่างน่ามหัศจรรย์โดยแท้ แต่เวลากลับน่ามหัศจรรย์ยิ่งเสียกว่าพลังสร้างสรรค์ของธรรมชาติ

ข้าพลิกพัดทลายเมฆออกมาลูบถูไถตัวพัดอย่างตั้งอกตั้งใจ ปากถามนางว่า

“ส้าวซิน เจ้าคิดแค้นเหล่าพวกพ้องเผ่าเดียวกันที่รังแกเจ้าในพงอ้อริมบึงเมื่อตอนนั้นหรือไม่?”

นางทำหน้ากึ่งงุนงงกึ่งสงสัย แต่ก็พยักหน้า

“ตัวเจ้าเองก็รู้ดีกระมังว่า ความจริงในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น มีบางคนไม่ได้อยากจะรังแกเจ้าจริงๆ ดอก เพียงแต่หากพวกเขายื่นมือออกมาปกป้องเจ้า พวกเขาก็จะต้องพลอยถูกรังแกไปด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ร่วมกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมารังแกเจ้าซึ่งอ่อนแอที่สุด?”

นางพยักหน้าอีกครั้ง

ข้าเอามือยันปลายคางมองหน้านาง

“เจ้าจะยอมให้อภัยแก่ผู้ที่ถูกบีบบังคับให้มารังแกเจ้าเหล่านั้นหรือไม่?”

นางกัดฟัน แล้วส่ายหน้า

พูดวกอ้อมเป็นวงใหญ่ขนาดนี้ ในที่สุดก็สามารถแสดงเจตนาอันเป็นใจความหลักออกมาจนได้ ข้าให้รู้สึกสาสมใจอย่างยิ่ง น้ำเสียงจึงอ่อนโยนปรานีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ส้าวซิน จงลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา การที่ข้าไม่อยากพบหน้าเจ้า ถือเป็นเรื่องสมควรแก่เหตุผลแล้ว การที่เทพธิดาเช่นข้ากลับต้องใช้เวลาฝึกฝนบำเพ็ญเพียรถึงแสนกว่าปีจึงค่อยบรรลุถึงขั้นซ่างเสินนี้ ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอยู่ว่าระดับจิตใจและปัญญารู้แจ้งของข้านั้นต่ำต้อยเสียจนไร้เหตุผลสิ้นดี ซึ่งไม่อาจนับว่าเป็นเทพเซียนผู้ตระหนักในสถานการณ์ใหญ่ได้โดยสิ้นเชิง เจ้ายกย่องข้าเกินไปแล้ว”

นางเบิกตากว้างทันที

หญิงงามถึงเพียงนี้ แต่กลับต้องมาถูกข้าทำให้ต้องตื่นตระหนกตกใจอย่างไม่มีทางเลี่ยง เปิ่นซ่างเสินนี่กำลังทำบาปอยู่แท้ๆ...บาปใหญ่หลวงเท่าฟ้าเสียด้วย...

แต่ครั้นข้าก้มหน้าลงดูที่ขาตัวเอง ก็ต้องเบิ่งตากว้างอย่างลืมตัวเช่นกัน


______________________


เชิงอรรถ

1. นกหวาดเกาทัณฑ์ (惊弓之鸟 : jing gong zhi niao : จิงกงจือเหนี่ยว) หมายถึง อุปาทานระแวงตื่นกลัวเกินเหตุ (อ่านรายละเอียดท้ายเล่ม)

2. สีบัว คือสีชมพูอมม่วงอ่อนๆ (ดูภาพประกอบท้ายเล่ม)

3. ไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อไปวัด (无事不登三宝殿 : wu shi bud eng san bao dian : อู๋ซื่อปู้เติงซานเป่าเตี้ยน) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมท้ายเล่ม

จากคุณ : Linmou
เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 12:27:41




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com