พะเยารอเธอ... ตอนที่ 10
|
|
หลังจากตื่นนอน และทำกิจวัตรประจำวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว บัวบูชาเดินเข้ามาที่บริเวณห้องรับแขกเพื่อกล่าวอรุณสวัสดิ์กับสมาชิกภายในบ้าน เมื่อเธอย่างกรายเข้ามาถึง... เธอต่างตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน ต่างก็มองเธออย่างไม่กระพริบตา เนื่องจากตกตะลึงกับรูปลักษณ์การแต่งกายของเธอ โดยเฉพาะเมืองแก้ว
“ชุดพื้นเมืองที่ซื้อมา คุณบัวใส่แล้วดูสวยมีเสน่ห์มาก สีและลายของชุดรับกับผิวและรูปร่างของคุณมาก” เมืองแก้วรู้สึกหลงใหลความงามสวยงามของบัวบูชาเมื่ออยู่ในชุดพื้นเมือง
“วันนี้หนูแต่งตัวสวยมาก ยิ่งใส่ชุดพื้นเมืองแล้ว ดูสวยมีสง่าราศีจริงๆ” นางฟองจันทร์กล่าวชมในความสวยของกลิ่นกลอย
“ช่างเข้าเลือก ช่างเข้าใจแต่งตัวนะ สวยมาก ถ้าคนหนุ่มคนสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหนูบัว ให้ความสนใจกับอะไรก็ตามที่เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านแบบนี้อย่างจริงจังคงดีไม่น้อย วัฒนธรรมพื้นบ้านที่คนรุ่นเก่าได้สร้างและสั่งสมเอาไว้แต่นมนานจะไม่สูญหายหรือถูกลืมไปตามกาลเวลา” นายเมืองกล่าวชมพร้อมทั้งแฝงคติและแง่คิด
นางฟองแก้วมองดูบัวบูชาด้วยอาการตกใจ นางคิดไม่ถึงว่าบุคลิกท่าทางของบัวบูชายามที่ใส่ชุดพื้นเมือง จะคอยสะกิดให้นางนึกถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่งของนางเมื่อครั้งอดีต การแต่งตัวโดยรวมของบัวบูชา ไม่ว่าจะเป็น สีของเสื้อ ลวดลายของผ้าซิ่น รูปแบบการรัดเข็มขัด โดยเฉพาะดอกจำปีสดที่บัวบูชาใช้ทัดตรงมวยผม ทำให้นางฟองแก้วรู้สึกเหมือนกับว่า นางได้เคยเห็นรูปแบบของการแต่งตัวแบบนี้มาก่อนในอดีต นางพยายามบอกกับตัวเองว่า มันเป็นความบังเอิญมากกว่า ระหว่างที่มองดูบัวบูชา ภาพในอดีตแห่งความทรงจำของนางฟองแก้วก็ปรากฏขึ้นมา...
“อ้ายเมือง... ดูคู่ของศรีวัยกับอ้ายบุญสิงห์ช่างเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันขนาด อยากให้คู่นี้สมหวังและออกเรือนกัน” ฟองแก้วชี้ให้เมืองมองไปดูที่คู่ของบุญสิงห์กับศรีวัย ซึ่งกำลังนั่งอยู่ใกล้ต้นจำปี โดยบุญสิงห์กำลังถือดอกจำปีในมือเพื่อที่จะเอามาทัดมวยผมของศรีวัย
“อ้ายก็คิดเหมือนกับฟองแก้ว อีกไม่กี่วันอ้ายและบุญสิงห์ก็จะไปเข้าประจำการที่ค่ายทหารแล้ว อ้ายต้องคิดถึงฟองแก้วขนาด เป็นห่วงแต่บุญสิงห์เท่านั้น เห็นมันบอกว่า กลุ้มใจเรื่องหาเงินค่าสินสอดทองหมั้นมาขอศรีวัย ไม่รู้ว่าจะไปหาเงินหาทองที่ไหน ตอนนี้ยังมาติดทหารเกณฑ์อีก พอปลดประจำการออกมา ต้องมาเริ่มตั้งต้นหาเงินหาทองต่ออีก ช่วงที่เข้าประจำการ เท่ากับว่าปล่อยเวลาหยุดนิ่งไป 2 ปี” เมืองรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนสนิท
................................................................................................................
“คุณป้าคะ... ” บัวบูชาเห็นนางฟองแก้วยืนเหม่อลอยไม่พูดไม่จา
“ ขอโทษที ป้ากำลังคิดอะไรเพลินๆเกี่ยวกับลายผ้าปักใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจะดัดแปลงปักลายไหนอย่างไรดี” นางฟองแก้วหาเหตุผลแก้ตัวเพื่อไม่ให้ดูน่าเกียจ
“สายมากแล้ว เดี๋ยวจะไปสอนไม่ทัน ผมขอตัวก่อนนะครับทุกคน วันนี้มีสอนแค่ 2 ชั่วโมง ผมอาจจะกลับมาบ้านตอนเที่ยงครึ่ง” เมืองแก้วออกจากบ้านอย่างรีบเร่ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะแอบหันไปส่งยิ้มให้กับบัวบูชา
“มากินข้าวก่อนเถอะหนู กับข้าวกำลังร้อนๆ” นางฟองจันทร์นั่งรออยู่ข้างขันโตกที่ใส่สำรับอาหาร
“ขอบคุณมากคะ คุณยาย คุณลุง และคุณป้า เชิญตามสบายคะ ไม่ต้องรอหนู หนูเพิ่งตื่น ยังไม่หิวเท่าไหร่ วันนี้หนูต้องขอตัวซักวันนะคะ หนูจะออกไปปั่นจักรยานเที่ยวรอบหมู่บ้าน อาจกลับมาตอนบ่ายกว่าๆ”
“ตามสบายเลยนะ... แม่หนู กลับมาถ้าหิว กับข้าวอยู่ในตู้กับข้าว ป้าจะแบ่งเอาไว้ให้ เอาร่มไปด้วยก็ดี วันนี้รู้สึกว่าแดดแรงเสียด้วยสิ เดี๋ยวผิวสวยๆของแม่หนูจะถูกแดดเผาเอา” นางฟองแก้วบอกกล่าวบัวบูชาด้วยความรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ
“ขอบคุณมากคะคุณป้า” พอกล่าวทักทายทุกคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บัวบูชาก็ปั่นจักรยานออกไปเที่ยวข้างนอกทันที
.......................................................................................................................
นายเมือง นางฟองแก้ว และนางฟองจันทร์นั่งล้อมวงกินข้าวเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย ....
“พ่อว่าไหม... แม่หนูบัวบูชาดูคลับคล้ายคลับคลาใครซักคนที่แม่เคยรู้จัก กริยามารยาท การพูดจาของเธอดูเหมือนไม่ใช่ฝรั่ง แม่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร” นางฟองแก้วถามความคิดเห็นจากสามี
“พ่อก็รู้สึกแบบเดียวกับแม่ หนูบัวบูชาบางครั้งก็ดูแปลกๆ เวลาได้พูดคุยกัน พ่อรู้สึกว่าคุ้นเคยกันมาก เหมือนกับเคยรู้จักกันมาก่อน พ่อว่า... กริยาท่าทางของหนูคนนี้เหมือน... ” นายเมืองพูดอย่างอ้ำอึ้ง
“เหมือนศรีวัยใช่ไหม? แม่ก็คิดแบบเดียวกับพวกแกนั่นแหละ ฝรั่งที่ไหนสามารถปักผ้าได้คล่องอย่างกับคนไทยทำ แถมยังทำได้ดีไม่มีที่ติเลย อย่างกับทำมาเป็นสิบยี่สิบปีอย่างนั้น เรื่องขึงสะดึง สอยเข็ม นี่คล่องมากไม่มีพลาดเลย” นางฟองจันทร์พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาทุกคนในวงข้าวถึงกับเงียบไปชั่วขณะ
“พูดถึงเรื่องปักผ้าแล้ว แม่หนูคนนี้ชอบปักผ้าลายดอกบัวแดงเสียด้วยซิ แม่ยังจำได้ไหมว่าใครที่ชอบปักผ้าลายนี้มาก?” นางฟองแก้วย้อนไปถามมารดา
“จริงของแก... ฟองแก้ว แม่ก็เกือบลืมไป ผ้าปักลายดอกบัว โดยเฉพาะดอกบัวแดง และดอกจำปี ศรีวัยชอบปักลายนี้มาก พูดแล้วก็คิดถึงมันเหมือนกัน สงสารก็สงสาร หายหน้าหายหน้าไปเป็น 30 ปีแล้ว ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างหนอ?” นางฟองจันทร์พูดถึงคนรู้จักในอดีต
“กริยาท่าทาง ความคิดความอ่านของหนูบัวบูชาเหมือนศรีวัยมาก ราวกับเป็นคนๆเดียวกันเลย นี่ก็ผ่านมา 30 ปีแล้ว ยังไม่มีใครได้ข่าวของศรีวัยเลย หายเข้ากลีบเมฆไปเฉยๆอย่างนั้น” นายเมืองสนับสนุนความคิดของแม่ยาย
“เป็นเพราะสองแม่ลูกนั่นแท้ๆ เรื่องถึงได้ลงเอยแบบนี้ ขยันทำเรื่องนี่ ไม่มีใครเกินสองแม่ลูกคู่นั้นหรอก ดีไม่ดีอาจจะติดเชื้อมาถึงรุ่นหลาน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรแม่ก็ไม่ยอมให้อภัยคนพวกนั้นเด็ดขาด ศรีวัยเพื่อนรัก ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? ทำไมไม่ส่งข่าวคราวมาหากันบ้างเลย? ไม่ว่าสุขทุกข์แค่ไหน ยังไงก็น่าจะบอกกล่าวให้กันรู้บ้าง?” นางฟองรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนสนิท
......................................................................................
บัวบูชาปั่นจักรยานเที่ยวชมรอบหมู่บ้าน จักรยานที่เธอกำลังปั่นเป็นจักรยานรุ่นที่ผลิตในปีพ.ศ. 2525-2527 เธอปั่นจนมาถึงบริเวณท้ายหมู่บ้าน เธอเห็นบ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่ ทำด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ตั้งตระหง่านอย่างสะดุดตา เธอชะลอความเร็วของจักรยานลงเพื่อที่ชะโงกดูความสวยงามของตัวบ้านจากภายนอกรั้ว
“สวัสดีครับ... คุณบัวบูชา วันนี้นึกอย่างไรถึงได้ปั่นจักรยานผ่านมาทางนี้? จะไม่ให้เกียรติเข้ามากินน้ำกินท่า พูดคุยกับผมก่อนเหรอครับ?” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้าน กล่าวเชิญชวนบัวบูชา
“สวัสดีคะ... คุณยงยุทธ” บัวบูชาปั่นจักรยานเข้าไปในรั้วบ้านตามคำเชิญ
“คุณบัวบูชาสบายดีนะครับ? นับว่าเป็นโชคดีของผมที่คุณให้เกียรติมาเยือนบ้านน้อยหลังนี้ จะรับอะไรดีครับ... ชา กาแฟ น้ำแร่ หรือว่าน้ำส้ม?”
“ขอบคุณมากนะคะ อากาศร้อนแบบนี้ ดิฉันขอน้ำเปล่าดีกว่า จะได้ชุ่มคอชื่นใจ คุณยงยุทธก็พูดเกินไป บ้านของคุณหลังเล็กเสียที่ไหนกัน หลังใหญ่อย่างกับคฤหาสน์”
“วันนี้คุณบัวบูชาแต่งตัวแบบพื้นเมือง สวยมาก ออร่าจับอีกต่างหาก ผมว่า คุณเกล้าผมจะดูดีกว่าปล่อยผมมาก ใบหน้าของคุณตอนที่เกล้าผมดูเหมือนดาราฮอลลี่วู๊ดในยุค 60 อย่าง อลิซาเบท เทเลอร์ สวยอมตะ ดูเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ” ยงยุทธชมความสวยงามของหญิงสาวอย่างออกนอกหน้า
“คุณยงยุทธก็ชมเกินไป ดิฉันไม่สวยขนาดนั้นหรอกคะ ออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำไป บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ คุณคงไม่ได้อยู่คนเดียวนะคะ?”
“ผมอยู่ที่นี่คนเดียวครับ พ่อ แม่ และน้องสาวของผมอยู่ที่กรุงเทพ ผมเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด บังเอิญสอบบรรจุเข้าทำงานได้ที่พะเยา ตอนแรกทางบ้านไม่ยอมให้มา กลัวว่าผมจะมาตกระกำลำบาก แต่ผมยืนกรานจะมาให้ได้ชนิดที่เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ผมชอบบรรยากาศของต่างจังหวัดมากกว่าในเมืองหลวง พ่อกับแม่ของผมเลยตามใจยอมปล่อยให้มา และพวกท่านก็ได้ซื้อบ้านหลังนี้ให้เป็นของขวัญที่ผมสามารถสอบบรรจุเข้าทำงานได้” ยงยุทธเล่าถึงภูมิหลังของตนเอง
“ดิฉันก็คิดว่า ครอบครัวของคุณยงยุทธเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาเสียอีก แต่ไม้สักภายในบ้านที่เป็นผนังบ้านและบานประตูสภาพยังดูใหม่ราวกับว่าเพิ่งสร้างมาไม่กี่ปีเอง แสดงว่าคุณยงยุทธจะต้องดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดีเยี่ยม แบบนี้ถ้าสาวคนไหนได้ไปเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน นับว่าโชคดียิ่งกว่าถูกรางวัลที่ 1 อีกนะคะ”
“ไม่จริงเลยครับ ผมเป็นคนขี้เกียจมาก ส่วนใหญ่ผมจ้างป้าที่อยู่ข้างบ้านมาทำความสะอาดให้ เท่าที่รู้ประวัติมา เจ้าของคนแรกที่สร้างบ้านหลังนี้ น่าจะประสบปัญหาทางการเงินหรืออะไรซักอย่าง บ้านจึงถูกธนาคารยึด ทางธนาคารได้เอาบ้านมาขายทอดตลาด และเพื่อนสนิทของพ่อผมได้ซื้อเอาไว้ ตั้งแต่นั้นมา บ้านหลังนี้ก็ถูกปิดตายมาตลอด 20 กว่าปี เพราะเพื่อนสนิทของพ่อเป็นนักธุรกิจต้องเดินทางไปติดต่องานที่ต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา เลยไม่มีเวลามาดูแลเอาใจใส่ จนกระทั่งผมสอบบรรจุเข้าทำงานที่นี่ได้ เพื่อนสนิทของพ่อเลยถามขายบ้านต่อให้กับพ่อในราคาที่แสนจะถูก” ยงยุทธเล่าประวัติความเป็นมาของบ้านหลังนี้อย่างคร่าวๆ
| จากคุณ |
:
วิมาณะ
|
| เขียนเมื่อ |
:
31 มี.ค. 53 23:08:02
A:94.195.194.22 X: TicketID:206744
|
|
|
|