แย่งกันเพื่อให้ได้ที่เรียนน
|
|
สมัยนี้ อะไรๆ ก็ดูเปลี่ยนแปลงไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกิน การอยู่ การทำงาน การเดินทาง และอีกหลายๆ เรื่อง ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการเรียน ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสมัยสามสิบกว่าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกในจังหวัดที่อยู่ใกล้เมืองหลวงอย่างชลบุรี ถึงแม้ว่าจะจำอะไรในวัยเด็กน้อยไร้เดียงสาไม่ได้มากนัก แต่ก็พอเลาๆ และจำความได้ว่า สมัยที่ผู้เขีียนเป็นเด็ก ไม่เห็นมีตึกรามบ้านช่องมากมาย ไม่เห็นมีรถรามากมายบนท้องถนน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้สอยครบครันอย่างในปัจจุบัน ทั้งที่บ้านของผู้เขียนอยู่ในตัวจังหวัด ซึ่งถือว่าเจริญแล้วในขณะนั้น เมื่อครั้งวัยเรียนก่อนประถม ผู้เขียนก็ได้รับการส่งเสียให้เข้าเรียนตามเกณฑ์ปกติในสถานศึกษาที่ดีใกล้บ้าน ตั้งแต่เล็กจนโต จำได้ว่าไม่เคยขัดสนเรื่องที่เรียนเลย จะมีบ้างก็คือการแข่งขันโดยการสอบเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดเท่านั้น ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นความยากลำบากมากพอดู ที่จะต้องอ่านหนังสือ กวดวิชาอย่างหนักเพื่อสอบเข้าให้ได้ อาจเป็นค่านิยมของพ่อแม่ด้วยกระมัง ที่พยายามปลูกฝังและคอยพร่ำบอกเสมอว่า จะต้องสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดให้ได้เพื่อเป็นการวางแผนอนาคตของตัวเราเอง กลายเป็นความกดดันอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่ยังมีโรงเรียนเอกชนอีกมากมายไว้เป็นทางเลือก และที่สุดแล้ว ผู้เขียนก็สามารถสอบเข้าเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำจังหวัดได้สมใจพ่อแม่ ตอนนั้นกลายเป็นเรื่องน่าชื่นชมและน่าตื่นเ้ต้นยินดีในบรรดาญาติพี่น้อง ทุกคนแห่แหนกันเข้ามาแสดงความยินดี ทำให้พลอยได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพื่อตอบแทนความเหนื่อยยากจากการอ่านหนังสือสอบ พ่อแม่ภาคภูมิใจมาก และสามารถมีเรื่องราวไปเล่าต่อในวงสังคมของผู้ใหญ่ได้อีกเป็นเวลานาน มาจนถึงวันนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไปอย่างที่บอก เด็กสมัยนี้กลายเป็นเด็กที่มีแต่ความรีบเร่ง มีแต่การแข่งขัน จนถึงวันที่ผู้เขียนเริ่มมีหลานวัยเรียน เป็นความกังวลของพ่อแม่อีกแล้ว ที่จะต้องหาข้อมูลเรื่องสถานศึกษาให้ลูก แหล่งของข้อมูลได้แก่บรรดาพ่อแม่ของเพื่อนลูก คนข้างบ้าน เพื่อนในวงสังคมพ่อแม่ และจากการประมวลผลของข้อมูล คำตอบจึงอยู่ที่การเข้าสอบแข่งขันเพื่อให้ได้ที่เรียนตั้งแต่วัยอนุบาล ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้า เมื่อสถานศึกษาที่ได้รับการลงคะแนนเสียงว่าเป็นสถานศึกษาที่ได้มาตรฐานในสายตาผู้ปกครอง มีจำนวนจำกัดและไม่พอเพียงสำหรับจำนวนเด็กที่ถึงเกณฑ์เข้าศึกษาเป็นครั้งแรกพร้อมๆ กัน ทางออกของปัญหานี้จึงหนีไม่พ้นการหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจบารมีในการฝากเด็กเข้าเรียน ผู้เขียนเห็นว่า วิธีการแก้ปัญหาของพ่อแม่เด็กในสมัยนี้ด้วยการฝากเข้า หรือแม้แต่ยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนโรงเรียนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มองว่านั่นคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและเป็นการแก้ปัญหาอย่างปัจจุบันทันด่วนมากกว่า ซึ่งทางออกของเรื่องนี้น่าจะมาจากการสร้างสถานศึกษาใหม่ ขยายสถานศึกษาเดิม และที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาสถานศึกษา เพื่อให้ทุกๆ สถานศึกษาใช้เกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในขณะที่ตัวนักเรียนเอง ก็ต้องพัฒนาตัวเองไปพร้อมๆ กับสถานศึกษาที่ัตัวเองศึกษาอยู่ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พ่อแม่จะต้องไปกังวลทำไมถึงเรื่องการวางแผนอนาคตให้ลูก เด็กสมัยนี้ฉลาด มีพัฒนาการที่เร็ว ผิดกับสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง เค้าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เรียนรู้จากสังคมที่เค้าอยู่ การขีดเส้นให้เด็กเดินไปตามทางที่ผู้ใหญ่วางไว้ เท่ากับเป็นการทำร้ายเด็กๆ เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าจะอยู่ขีดเส้นทางเดินให้เค้าถึงเมื่อไหร่ วันใดวันหนึ่งถ้าเส้นที่เราขีีดไว้เกิดขาดช่วงสะดุดลงกลางคัน เด็กเค้าจะสามารถคิดเอง ตัดสินชีวิตของตัวเองได้หรือไม่ว่าเค้าจะเดินต่อไปในสังคมได้อย่างไร จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไง ผู้เขียนจึงอยากจะฝากว่า บางครั้งพ่อแม่ก็เป็นฝ่ายทำร้ายลูกในทางอ้อม หลายคนอาจเถียงว่ามันเป็นการวางแผนอนาคตให้ลูกต่างหาก นั่นก็ใช่ ไม่ผิด แต่ควรให้โอกาสเด็กได้มีส่วนร่วมในการวางแผนอนาคตของเค้าบ้าง เมื่อถึงวัยที่เค้าสามารถคิดเองได้ เพราะตัวเค้าเองต่างหากที่จะต้องเป็นคนขีดเส้นทางเดินของตัวเอง ว่าเค้าต้องการจะเดินแบบไหน พ่อแม่ควรถอยออกมาและมองดูพวกเค้าอยู่ห่างๆ บ้าง เค้าจะได้รู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่เค้าทำ ไม่อยากเห็นสังคมที่มีแต่การแข่งขันแย่งชิง รังแต่จะกลายเป็นความเครียดและก่อเกิดปัญหาอีกหลากหลายตามมา ทุกฝ่ายน่าจะหันหน้ามาหาทางออกร่วมกัน และระลึกไว้เสมอว่า ที่กำลังทำอยู่นี้ไม่ใช่เพื่อใคร แต่ล้วนทำเพื่ออนาคตของชาติทั้งสิ้น /....ความจริงที่ผันแปร
จากคุณ |
:
ความจริงที่ผันแปร
|
เขียนเมื่อ |
:
2 เม.ย. 53 10:51:42
|
|
|
|