ผมจะเป็นพระที่ดี ตอน ก้าวแรกสู่วัดป่า(ตอนจบ) : ราตรีนี้...ที่วัดป่า
|
|
ก้าวแรกสู่วัดป่า(ตอนจบ) : ราตรีนี้...ที่วัดป่า ===================================
ความเดิมตอนที่แล้ว
. ผมอาสาหลวงพ่อท่านหนึ่งไปส่งที่อุโบสถ ซึ่งตอนนี้มันก็มืดมากแล้วด้วย ไฟฉายก็ไม่มี แถมทางก็ยังจำไม่แม่น
..ผมจะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย โอ้ว!!
จริงๆก็ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ
(อ่าว??)
.เพราะหลวงพ่อท่านมีไฟฉายส่วนตัว (ซะงั้น?) ผมก็แค่เดินถือย่ามและสัมภาระประกบท่านไปไม่ให้ห่างเท่านั้นเอง พอเดินผ่านหลังเรือนไทย เห็นครูบาท่านหนึ่งกำลังล้างถ้วยชามอยู่ เลยแวะเข้าไปถาม ท่านก็ชี้บอกว่าให้เดินเลยกุฏิชายป่าตรงโน้นไปจะเห็นทางเดินนำไปสู่บันไดอีกทางที่จะขึ้นไปยังโบสถ์
ได้ยินอย่างนี้ ผมก็พอจำได้คลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาบ้าง
เลยนำทางท่านไป ( คือเดินนำไปหน่อย อาศัยแสงไฟฉายที่ท่านส่องตามหลัง ) ระหว่างทางท่านก็ชวนผมคุยไปเรื่อย ท่านเล่าให้ฟังว่าที่วัดท่านก็อยู่ในป่าเขา พอตกกลางคืนก็มืดแบบนี้แหละ
.มิน่าเล่าถึงได้มีไฟฉายเตรียมเอาไว้พร้อมสรรพ
บรรยากาศตอนค่ำคืนโพล้เพล้ของที่วัดนั้นก็ถือว่า ค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว ...ด้วยความเงียบของราวป่า และเสียงย่ำใบไม้กรอบแกรบของสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไหนจะเสียงตุบๆ จากลูกมะพร้าวตกที่ตกมาเพราะลมพัดอีก (ซึ่งจริงๆแล้วหากเป็นชาวบ้านแถวนั้นคงจะถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่เนื่องจากผมเป็นคนเมือง ..ไม่ค่อยได้เจอแบบนี้ เลยอาจกลัวๆบ้าง) ท่ามกลางบรรยากาศมืดมิดชวนวังเวง .....คงก็มีแต่แสงสว่างเป็นลำจากไฟฉายหลวงพ่อ กับบารมีของท่านเท่านั้นแหละที่ผมพอจะยึดเป็นที่พึ่งได้ ณ ตอนนั้น
แต่ในที่สุด ผมก็นำท่านไปส่งถึงอุโบสถโดยสวัสดิภาพ
เริ่มภูมิใจขึ้นมา ในที่สุดเราก็ได้อุปัฏฐากครูบาอาจารย์สำเร็จเรียบร้อยแล้ว (เย่!!) เอาล่ะ ผมต้องกลับไปที่เรือนไทยอีกครั้ง เผื่อว่าจะมีครูบาอาจารย์ท่านไหนให้อุปัฏฐากรับใช้อีก
. ด้วยความปลื้มใจ ผมจึงเดินฝ่าความมืดกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง (แต่พอหันเหลียวหลังไปมองอีกที โอแม่เจ้า!!...ตะกี๊เราเดินมาได้ไงฟะ??)
ไปถึงเรือนไทย ผมก็คอยเล็งๆว่ามีครูบาอาจารย์ท่านไหนที่จะให้ผมรับใช้ได้บ้าง เห็นมีอยู่ท่านหนึ่งทำท่าจะลุกขึ้น ผมก็เลยรีบตรงไปรับย่ามท่านมาสะพาย ท่านบอกว่าจะไปอุโบสถ(อีกแล้ว) ผมก็เลยอาสาพาท่านไป (ก็ใช้ไฟฉายท่านอีกนั่นแหละ) พอเดินไปได้ซักพัก ไปเจอกับพระฝรั่งรูปหนึ่ง ทีแรกนึกว่าเป็นครูบาจิตวีโร พระฝรั่งที่วัด แต่ดูดีๆก็ไม่ใช่แฮะ ท่านขอเดินไปด้วย
..คุยไปคุยมาจึงรู้ว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ(ตอนหลังจึงรู้ว่า ท่านชื่อพระอาจารย์กีวลี) แต่ท่านพูดไทยเก่งมากและมีปฏิปทาที่งดงามเช่นกัน
ผมพาท่านทั้งสองไปส่งยังอุโบสถ เผลอทำจีวรหลุดลุ่ยอีกต่างหาก ท่านอาจารย์กีวลี บอกผมว่าจะช่วยห่มให้มั้ย
.ผมล่ะซาบซึ้งน้ำใจท่านจริงๆครับ แต่รีบปฏิเสธไปทันควัน โห
จะให้พระระดับเจ้าอาวาสมาห่มจีวรให้พระนวกะ(พระใหม่)ต๊อกต๋อยผมเนี่ยนะ ..แค่คิดก็กลัวนรกจะกินกบาลแล้วล่ะครับ
หลังจากนั้นผมก็อยู่ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์
โดยมานั่งบริเวณพื้นยกระดับหน้าพระประธานที่จัดไว้ให้พระนั่ง แต่เนื่องจากผมเป็นพระผู้น้อย เลยต้องนั่งหลบๆอยู่ข้างหลัง ให้ครูบาอาจารย์ท่านนั่งหน้าๆ ญาติโยมจะได้ชื่นชมบารมีกันทั่วถึง
.และคอยสังเกตุครูบารูปอื่นๆว่าท่านอุปัฎฐากรับใช้ครูบาอาจารย์กันยังไง ตอนนั้นเห็นครูบารูปหนึ่งมีกิริยามารยาทงดงามมาก เวลาท่านเข้าไปอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์ ท่านทำได้อย่างนุ่มนวลเรียบร้อย (ไม่กระโตกกระตากเหมือนผม = =) ไม่ว่าจะเป็นการกราบ การเอาแก้วน้ำไปถวาย ..หรือการเก็บนิสีทนะ(ผ้าปูรองนั่ง)เข้าย่าม ผมก็พยายามดูและจดจำเอาไว้เป็นแบบอย่าง
จากที่นั่งตรงนั้น พอมองไปเบื้องหน้าก็จะเห็นญาติโยมมานั่งฟังธรรมกันเป็นจำนวนมาก จนล้นตัวอุโบสถด้านใน ต้องไปนั่งกันนอกๆ
ทุกคนนุ่งขาวห่มขาวแลดูสะอาดตา และนั่งฟังธรรมกันอย่างเงียบกริบ โยมบางคนนั่งสมาธิหลับตาฟังเทศน์ นิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ(วันนั้นครูบาอาจารย์สลับสับเปลี่ยนกันเทศน์หลายรูปมากครับ) โดยไม่เปลี่ยนท่า ขนาดผมที่เป็นพระ พยายามจะทนนั่งนิ่งๆบ้างก็ยังต้องยอมแพ้ (แถมมีสัปหงกเคารพพระธรรมอีกต่างหาก) ..ผมยอมรับว่าแทบไม่เคยได้เห็นภาพแบบนี้ในเมืองหลวงที่ผมเติบโตมา ผนวกกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมได้พบเจอในวันนี้ นี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มเกินคุ้มแล้วครับ สำหรับวันแรกที่ได้มาอยู่ที่วัดป่าแห่งนี้ (ขนาดเพิ่งวันแรกนะเนี่ย)
ยิ่งดึกขึ้นๆ ครูบาอาจารย์บางรูปที่ชรามากๆ คงจะปวดเมื่อยเต็มที ก็ทยอยกันกลับเรือนรับรอง ซึ่งเหล่าครูบาที่วัด ก็เตรียมอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านอยู่แล้ว ผมเองก็เช่นกัน ก็ทำเท่าที่พอทำได้
ก็คอยไปๆมาๆคอยรับส่ง และช่วยถือของให้ครูบาอาจารย์ไปเรือนไทยทั้งหลังเก่าหลังใหม่ (เรือนรับรองมีอยู่สองแห่ง )
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อสองท่านจะกลับเรือนรับรอง ผมเลยไปอุปัฏฐากท่านหนึ่ง ..ซึ่งเป็นรูปแรกที่ผมพามา และมีครูบาอีกท่านคอยอุปัฏฐากหลวงพ่ออีกรูป ผมจำได้ว่าครูบาท่านนั้นก็คือรูปเดียวกับที่ผมสังเกตุท่านอุปัฏฐากครูบาอาจารย์เมื่อตอนอยู่ในอุโบสถนั่นเอง ..ได้พูดคุยกับท่านก็ทำให้ทราบว่า ท่านชื่อครูบาฮาร์ท ก่อนท่านจะบวชที่นี่ท่านมาบวชเป็นผ้าขาวก่อน เป็นอยู่ได้ซักเดือน หลวงพ่อจันดี(เจ้าอาวาส)ท่านก็อนุญาตให้บวชเป็นพระได้ ผมก็เลยถึงบางอ้อ
มิน่าเล่า ท่านถึงได้มีกิริยามารยาทงดงามแบบนั้น
เรา(ผมกับครูบาฮาร์ท)พาหลวงพ่อไปยังที่นั่งรับรองบนเรือนไทย และอยู่อุปัฏฐาก พูดคุยกับท่านซักพัก(ให้ท่านนั่งบนเก้าอี้ ส่วนเรานั่งพับเพียบที่พื้น) ก็ส่งท่านเข้านอน(จำวัด) จากนั้นครูบาฮาร์ทก็บอกให้เรากลับไปอุโบสถกัน ระหว่างเดินกลับท่านก็เล่าอะไรให้ฟังไปเรื่อย
ท่านเล่าว่าวัดนี้อยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาเขียว พื้นที่ป่าค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ บางครั้งก็มีสัตว์มาหากินบริเวณวัดบ้าง อย่างพวกลิง งู(อันนี้เยอะหน่อย) นกป่า(นกเงือกยังมีเลยครับ คิดดู) กระทิง พวกนี้ก็มีมาบ่อยๆ หรือบางครั้งก็มีคนเคยได้ยินเสียงช้างร้องใกล้ๆ
มีครั้งนึงครูบาฝรั่งยังเคยแวบๆไปเจอเสือโดยบังเอิญเลย (ผมก็
เอ้อ
อันหลังไม่ต้องเล่าให้ผมฟังก็ได้นะครับครูบา = = ) ท่านบอกผมด้วยว่าเวลาเดินตอนกลางคืน ควรจะมีไฟฉายติดไปด้วย (ท่านคงเห็นผมไม่มี) เพราะอาจไปเดินเหยียบสัตว์อะไรเข้า เดินไปซักพักท่านก็ส่องไฟ แล้วชี้ให้ดูที่พื้น ปรากฏว่ามีขบวนแมลงสีดำๆเดินกันเป็นแถวตัดหน้าทางเดินเรา
ท่านบอกว่า นี่คือปลวกหัวหลวม เป็นปลวกที่มีฟันใหญ่ และกัดเจ็บมากๆ กัดแล้วไม่ยอมปล่อย ขนาดดึงจงหัวหลุดออกมาแล้วยังไม่ปล่อยเลย ท่านว่าท่านโดนกัดไปหลายครั้งแล้วเมื่อตอนเป็นผ้าขาว แต่หลังจากบวชเป็นพระแล้วไม่ค่อยได้โดนเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมตตาบารมีหรือ เพราะมีความระวังตัวมากขึ้นกันแน่
พอผมฟังเรื่องจากครูบาฮาร์ทเสร็จผมก็
เอื๊อก
.แอบเสียวนิดๆ ก็ได้แต่ขอให้บุญบารมีภายใต้ร่มเงาพระศาสนาปกป้องคุ้มครองผมตลอดไปแล้วกัน
เรากลับมาที่อุโบสถ นั่งฟังเทศน์กันจนประมาณเที่ยงคืนครึ่ง ก็เป็นอันจบสิ้นกันไปในวันนี้ (พรุ่งนี้มีของหลวงปู่เลี่ยมต่อ)จากนั้นผมก็พาครูบาอาจารย์ไปส่งที่เรือน แล้วก็แยกย้ายกันไปจำวัดได้ พรุ่งนี้ต้องตื่นมาตีสามเพื่อนั่งสมาธิทำวัตรเช้าและบิณทบาตกันตามปกติ
ผมขอบอกว่าเหนื่อยมาก เหนื่อยสุดๆครับสำหรับวันนี้ แต่ในความเหนื่อยนั้นก็แฝงด้วยความภูมิใจในฐานะศิษย์ที่ดีเอาไว้ไม่น้อย
ผมไหว้พระ แล้วค่อยๆเอนหลังหลังนอนลงบนเสื่อที่ปูบนพื้นซีเมนต์แข็งๆ ได้ยินเสียงกบเขียดร้องรับส่งสลับกันไปเป็นช่วงๆ
แขนขาของผมตอนนี้มันช่างล้าเต็มที อีกทั้งหลังก็ปวดจากการฝืนนั่งตัวตรงมาตลอดทั้งวัน ในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนสองชั่วโมงกว่าๆนี้ผมจำเป็นจะต้องรื้อฟื้นมันกลับมาให้เป็นเหมือนเดิมให้ได้ เพราะพรุ่งนี้ยังมีภารกิจอีกเยอะเตรียมตัวรอผมอยู่
ทว่าใจผมกลับไม่ล้าเลยสักนิด บางสิ่งบางอย่างในใจบอกผมว่า
ผมกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
ผมกำลังทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่
..ผมกำลังหน้าที่
.สืบทอดพระพุทธศาสนา
และคืนนั้นก็เป็นอีกคืนหนึ่ง
.ที่ผมนอนหลับสบายที่สุด ทั้งที่มีเวลานอนแค่สองชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น
จากคุณ |
:
ซงย้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
4 เม.ย. 53 10:19:34
|
|
|
|