ความคิดเห็นที่ 1 วันนี้ออกเดินทางกันราวแปดโมงครึ่ง โดยรถแวนปรับอากาศส่วนตัวพร้อมไกด์ชุดใหม่ คุณไกด์โผล่มาอย่างฮิป ใส่แว่นกันแดดเปรี้ยวกับเสื้อไอเลิฟนิวยอร์กและเสว็ตเตอร์ขาโจ๋มารอที่ล็อบบี้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:12:17

ความคิดเห็นที่ 2 พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกัน ตอนแรกคุณไกด์เห็นเรานั่งเมาท์กันเป็นภาษาต่างด้าวกันก็เลยนั่งเงียบฉี่ จนเราพยายามชวนแกคุยเป็นการ break the ice เท่านั้นแหละ คุณไกด์ก็เครื่องติดฉลุยเลย คุณไกด์คนนี้ชื่อ Eslam และก็โชคดีที่เค้าภาษาอังกฤษดีมาก (เมื่อเทียบกับคนก่อนๆ ลูกทัวร์ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าคนนี้เวิร์กสุด) พอเค้าพล่ามเราก็เลยเก็บได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างที่ว่า ว่าเราพยายามเริ่มชวนเค้าคุย เนิร์ดๆอย่างเราก็ชวนคุยสัพเพเหระไม่ค่อยเป็นแหละก็เลยชวนคุยว่า อิยิปต์เท่ห์จริงๆนะคะเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าก็มากมายสนุกสนาน เนี่ยถ้าไกด์ถนัด เวลาเล่าก็ช่วยสอดแทรก mythology มาเยอะๆนะค้าพวกหนูชอบ นั่นแหละ มันคงไปจุดประกายคุณไกด์เค้า เพราะพูดจบปุ๊บเค้าก็เริ่มมหากาพย์ตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาทันทีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่าไม่หยุดฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว ไกด์เริ่มที่ว่า ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าศาสนามีเพื่ออะไร เนี้ยยยย ทั้งปรัชญา ทั้ง วิชาการ มาแต่ไกลอีกแน่ะ กษัตริย์เนี่ยปกครองทั้งศาสนจักรและอาณาจักร ศาสนจักรก็ใช้ความเชื่อเหนี่ยวนำให้คนศรัทธา การจะคุมทั้งคนและทั้งศาสนจักรเนี่ย กษัตริย์ก็ต้องบูชาเทพเจ้าและขณะเดียวกัน ก็ต้องทำให้คนรู้สึกว่ากษัตริย์มาจากเทพเจ้า ได้รับการรับรองเชิดชูโดยเทพเจ้า คนจะได้ยำเกรง เคารพนับถือกษัตริย์และทำให้กษัตริย์ดำรงตนเหนือกว่าและควบคุมศาสนจักรอยู่ได้ โอ้ว เอากะเฮียแกสิ แล้วมหากาพย์ก็มา เริ่มจากจักรวาลที่ว่างเปล่า เงียบสงบ และมืดดำ เทพอมุนราที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า อมุนราคือพระอาทิตย์ให้แสงสว่างและชีวิตแก่สรรพสิ่ง เทพอมุนมีอีกร่างหนึ่งคือแกะสีขาว เมื่อร้อง กา ก็ทำให้ความเงียบหายไป เดินแล้วกีบกระทบพื้นดัง นิค นิค  (ภาษาอิยิปต์แปลว่ากิน) ก็เกิดทุ่งหญ้าเขียวขจี ราสร้างคู่แรกขึ้นมาคือสองพี่น้องเทพ Nut เทพแห่งท้องนภา (sky)  และ เทพ Geb เทพแห่งพื้นพสุธา (earth) เทพนุตนั้น represent โดยเป็นท้องฟ้าสีฟ้ามีดาวห้าแฉกสีเหลืองอย่างที่เห็นไปในวิหารตอนที่แล้ว หรือเป็นหญิงสาวที่ยืนโอบล้อมเทพเก็ปหรือโลกอย่างในรูป จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:12:59

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องก็มีอยู่ว่า เทพนุตและเทพเก็ปมีบุตรธิดารวมกันสี่คน คือเทพโอสิริส (Osiris) เทพีไอซิส (Isis) เทพเซ็ท (Set) และเทพีเนฟทิส (Nephthys) โอสิริสนั้นครองคู่กับไอซิส ส่วนเซ็ทกับเนฟทิส เรื่องราวร้าวฉานก็คงไม่เกิดถ้าเจ๊เนฟทิสจะไม่นอกใจเซ็ทไปล่อลวงโอสิริส (บ้างก็ว่าด้วยการมอมเหล้า บ้างก็ว่าแปลงกายเป็นไอซิส) จนต้องท้องเทพอนูบิส (เทพหมาไน) ขึ้น เซ็ทพิโรธมากและก็อิจฉาโอสิริสซึ่งเป็นลูกคนโตและได้เป็นกษัตริย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงล่อหลอกโอสิริสในการประลองในงานเลี้ยงใหญ่ เซ็ทได้สร้างโลงศพไม้ แล้วท้าประลองว่า ผู้ใดที่สามารถทำลายและหนีออกมาจากโลงได้จะได้รับการประกาศว่าเป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุด โอสิริสกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่รอช้า รับคำท้าทันใด เพียงแค่โอสิริสลงไปนอนอยู่ในโลงไม้ที่ทั้งหนาทั้งหนักนั้น ฝาโลงก็ถูกปิดลงกลอนจากด้านนอก และเซ็ทก็โยนโลงนั้นลงแม่น้ำไป โลงนั้นลอยไปเป็นเวลาถึงเก้าสิบวันจากเมืองอัสวานลงไปถึง Byblos หรือประเทศลิเบีย ไอซิสเสียใจมาก แปลงร่างเป็นมนุษย์ออกเดินทางตามหาสวามี เธอใช้อูฐเดินทางรอนแนมไปในทะเลทราย จึงเป็นตัวอย่างให้ชาวอิยิปต์รู้จักการใช้อูฐเป็นพาหนะ เธอเสาะหามาจนถึงเมือง Byblos ซึ่งโลงของโอสิริสได้ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของต้นซีดาร์ และถูกตัดไปทำเสาในท้องพระโรงของกษัตริย์แห่ง Byblos ไปเสียแล้ว ไอซิสจึงปลอมตัวเข้าสำนัก ขณะนั้นเจ้าชายน้อย บุตรของกษัตริย์นั้นกำลังล้มเจ็บ เธอจึงอาสารักษาจนหายด้วยเวทมนตร์ของเธอ จากนั้นเธอก็ยังถ่ายทอดสรรพวิชาความรู้ เช่นการบำรุงความงาม (อย่างที่ชาวอิยิปต์ขอบทาขอบตาด้วยสีดำและสีทอง) ให้กับสตรีในราชสำนัก เมื่อเธอเป็นที่พึงพระทัยของกษัตริย์ เธอจึงทูลขอเสาต้นนั้นจากกษัตริย์ และได้โลงของโอสิริสกลับมาครอบครอง ไอซิส พยายามที่จะเอาพระศพของพระสวามีมาอิยิปต์มาฝังในมาตุภูมิคือเกาะ Philae ที่อัสวาน (เดี๋ยวเราก็จะได้ไป) เซ็ทได้ข่าวก็กริ้วมาก ตามมาจนพบและเอาพระศพของโอสิริสออกมาจากโลง ทึ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยถึงสิบสี่ชิ้นแล้วโปรยไปทั่วดินแดนอิยิปต์ ไอซิสร้องไห้หลั่งน้ำตาแทบเป็นสายเลือด น้ำตาที่เธอร้องนั้นก่อเกิดเป็นแม่น้ำไนล์ที่ไหลผ่านให้ความชุ่มชื้นและความอุดมสมบูรณ์แก่อิยิปต์ รา เทพเจ้าสูงสุดเห็นเธอร้องไห้ก็สงสารเธอมากจึงมอบปีกแห่งนกเหยี่ยวให้เธอออกบินตามหาพระสวามีของเธอ ไอซิสจึงออกติดตามหาชิ้นส่วนของพระสวามีอีกครั้งอย่างไม่ย่อท้อโดยมีเนฟทิสคอยช่วย ในที่สุดเธอก็พบชิ้นส่วนสิบสามส่วนยกเว้นส่วนสุดท้ายคืออวัยวะเพศของโอสิริส เธอจึงทำรูปปั้นแทนส่วนนั้นด้วยทองคำ นำไปประกอบกับชิ้นส่วนที่เหลือ และทำกระบวนการมัมมี่ (mummify) พระศพโดยความช่วยเหลือของอนูบิส จนโอสิริสพื้นคืนชีพ เมื่อโอสิริสพื้นขึ้นมาและพบว่าตัวเองไม่มีอวัยวะสำคัญอีกแล้วก็อับอายและเสียใจมาก จึงเสียสละตนไปเป็นเทพเจ้าแห่งความตายและชีวิตหลังความตาย (God of the Dead and the Afterlife) ก่อนไป โอสิริสได้จุมพิตไอซิสชายาสุดที่รักอย่างดูดดื่ม และจากจูบอันร้อนแรง (คุณไกด์พูดอย่างนี้เลยจริงๆนะ) ไอซิสก็ตั้งท้องโฮรัสขึ้น นับว่าเป็นการตั้งท้องทั้งๆที่ยังเป็นไอซิสสาวพรหมจรรย์อยู่ และเป็นการแสดงถึงความ...เอิ่ม... เรียกว่าไงล่ะ ความสมบูรณ์พันธุ์ (fertility) ของโอสิริสด้วย อันนี้ตรงข้ามกับท่านเซ็ทซึ่งเป็นเทพแห่งทะเลทราย พายุ และสงคราม ซึ่งความแห้งแล้งและเป็นหมัน (ศัพท์อังกฤษใช้คำเดียวกันว่า barren ) แสดงออกมาในเรื่องเพราะไม่มีปัญญามีลูกกะเนฟทิสได้ (จนแล้วจนรอด เนฟทิสกับเซทก็ไม่มีลูกด้วยกันซักคนเดียว) จากตำนานนี้ ก็จะได้รู้เรื่องกำเนิดโลก ที่มาของแม่น้ำไนล์ ได้การใช้อูฐ การเสริมความงาม กำเนิดของอนูบิส วิธีการและประเพณีการทำมัมมี่ ที่มาของการที่อนูบิสเป็น God of mummification ที่มาว่าทำไมโอสิริสถึงไปเป็นเทพแห่งความตาย (God of underworld) และเป็นต้นเรื่องของการแก้แค้นของโฮรัส ที่กลับไปจัดการลุงเซ็ท และความรักของโฮรัสกับเทพี ฮาเธอร์ เทพีวัวจากคราวที่แล้ว ทั้งหมดนี้จะสานต่อกันได้ดีเพราะเราจะไปชมวิหารที่เล่าเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด เพราะแถบทางใต้นี้เป็นถิ่นของเทพเหล่านี้เลยเชียวล่ะ เพียงแค่เราเดินทางจากเหนือลงใต้ จากอิยิปต์บนไปอิยิปต์ล่าง เรื่องราวในวิหารที่เจอก็จะย้อนลำดับกันซักหน่อย หมายเหตุ ตำนานบางทีมีหลายเวอร์ชั่น เราเลือกเวอร์ชั่นตามที่ไกด์เล่ามาเล่าสู่กันฟังนะคะ เผื่อใครไปอ่านเพิ่มแล้วจะงงว่าไม่ตรงกัน รูปเทพบางองค์ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:13:42

ความคิดเห็นที่ 4 เล่ากันชุ่มปอดรถก็มาจอดลงเมือง Esna เมืองนี้เป็นเมืองเล้กเล็ก แบบที่ปกติคนไม่มาแวะเที่ยวกัน เพราะทั้งเมืองมีดีอยู่ก็วิหารของเทพ Khnum อันนี้อันเดียวจริงๆ แต่ด้วยเราถึกและโลภ เราก็ตามมาเก็บแบบชั้นจะเอาให้ครบ บรรยากาศเมืองเล็กๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:14:15

ความคิดเห็นที่ 5 วิหารของเทพ Khnum สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพคนุมซึ่งถือเป็นเทพผู้สร้าง (God of creation) โดยเทพคนุมนั้นจะปั้นมนุษย์ขึ้นมาจากดิน เทพคนุมนั้นมีศีรษะเป็นแกะเช่นเดียวกับเทพอมุน แต่แตกต่างกันคือเขาท่านจะกางชี้ออกมาตรงๆ ไม่ขดม้วนเหมือนของเทพอมุน วิหารของเทพ Khnum นี้สร้างโดยทุตโมสที่สาม และมีการต่อเติมภายหลังโดยจักรพรรดิโรมัน อย่างอเล็กซานเดอร์ และออกเทเวียน เมื่อคราเข้ายึดครองอิยิปต์ ที่น่าสังเกตก็คือเวลาโรมันเข้ามาที่อิยิปต์ โรมันไม่ได้พยายามเปลี่ยนอิยิอปต์เข้าเป็นโรมันแต่กลับเป็นการสอดแทรกตัวจักรพรรดิของโรมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของอิยิปต์ ตอนนี้ตัววิหารอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินไปแล้ว ตอนเจอก็ต้องขุดลงไปกันลึกเชียว ตอนนี้เราก็เลยต้องเดินลงบันไดไปแบบนี้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:14:54

ความคิดเห็นที่ 6 ด้านหน้ามีรูปสลักแกรนิตของเทพีเซคเมต (sekhmet) ที่มีหัวเป็นสิงโต เทพีแห่งสงคราม ที่มีความสำคัญต้องกล่าวถึงเพราะเซคเมตนั้นเป็นเทพที่สอนให้โฮรัสเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จนสามารถไปต่อกรกับลุงเซ็ตได้ในที่สุด จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:15:32

ความคิดเห็นที่ 7 ลานหน้าวิหารนี้ยังมีซากปรักหักพังของโบสถ์แบบโรมันหลงเหลืออยู่ สังเกตได้จากตรา Coptic cross บนหินเหล่านี้ ที่ชำรุดทรุมโทรมเพราะไม่อาจต้านทานแรงของแผ่นดินไหวหนักถึง 11 Richter ในช่วง 27 BC ได้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:16:02

ความคิดเห็นที่ 8 ลานหน้าวิหารนี้ยังมีซากปรักหักพังของโบสถ์แบบโรมันหลงเหลืออยู่ สังเกตได้จากตรา Coptic cross บนหินเหล่านี้ ที่ชำรุดทรุมโทรมเพราะไม่อาจต้านทานแรงของแผ่นดินไหวหนักถึง 11 Richter ในช่วง 27 BC ได้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:17:21

ความคิดเห็นที่ 9 วิหารนี้มี façade สูงถึงสิบสองเมตร เข้าไปถึงก็จะเจอ open court  แล้วค่อยเป็นประตูทางเข้า ไกด์เล่าว่า หน้าวิหารจะมีที่ปักธงเป็นการบอกสัญญาณให้ประชาชน อย่างถ้ามีธงปักอยู่แปลว่าเป็นเวลาที่คนทั่วไปเข้ามาสักการะบูชาเทพเจ้าในวิหารได้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:19:48

ความคิดเห็นที่ 10 ภายในมีเสาใหญ่อยู่ยี่สิบสี่ต้น เป็นตัวแทนของยี่สิบสี่จังหวัดของอิยิปต์ในสมัยนั้น หัวเสาจะเป็นรูปดอกบัว (lotus) สัญลักษณ์ของอิยิปต์บน หรือรูปปาปิรุส (papyrus) สัญลักษณ์ของอิยิปต์ล่าง ลักษณะของหัวเสาที่นี่จะมีหลายหลากเพราะแต่งเติมในหลายรัชสมัย หลายเสาได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบกรีกโรมันร่วมอยู่ด้วย สีที่เสายังเหลืออยู่เลย ช่างน่าทึ่ง จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:21:40

ความคิดเห็นที่ 11 ในวิหารยังมีรูปของสิบสองจักรราศี แสดงถึงความรู้ด้านดาราศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากกรีก จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:23:55

ความคิดเห็นที่ 12 คุณไกด์ เล่าละเอียดมาก แถมยังอ่านเฮียโรกลิฟฟิคออกด้วย เลยชี้แล้วเล่าได้ทุกภาพในโบสถ์ แบบว่าถามมา ชั้นอ่านให้ฟังได้เลย ไม่ต้องท่องมาเล่าเฉพาะภาพที่ฮิตๆ ดังๆ เดินผ่านเสาอันนี้ คุณไกด์ชี้ว่านี่ ซีซาร์ โอ้ว ซีซาร์ในมาดระบำอิยิปต์ อึ้งไปเลย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:25:14

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วเราก็เพิ่มชื่อเทพในคลังไปเรื่อยๆ นี่เทพโซเบค (Sobek) เทพจระเข้  เย็นนี้จะได้ไปวิหารที่บูชาเทพโซเบคด้วย ที่ได้เป็นเทพแห่งความสมบูรณ์พันธุ์ เพราะคนโบราณเห็นว่าจระเข้ออกไข่ทีละหลายๆฟอง ด้านซ้ายมีเทพ งู ค้นเพิ่มคิดว่าเป็นเทพีวัดเจ็ต (Wadjet) แบบว่าหาในโน้ตไม่เจอ เชื่อว่าเทพีงูเห่าเป็นเทพีผู้พิทักษ์เพราะเวลานอน งูจะไม่ปิดตา เพราะไม่มีเปลือกตา (จริงๆมีเยื่อบางๆปิดแต่ดูเหมือนไม่ปิดตา ไกด์เก่งชีวะซะด้วย) เวลาเห็นเป็นงูมีปีก ก็จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการพิทักษ์คุ้มครอง เหมือนที่ใต้ประตูจะเห็นสัญลักษณ์นกแร้งกางปีกกว้างๆ (ตอนที่แล้ว) หรือเทพงูมีปีก ยิ่งพวกสุสานหรือห้องเก็บสมบัติเนี่ย จะเห็นตรึม นอกจากนี้ไกด์ยังอธิบายถึงเทพสการับด้วย (หารูปไม่เจอ) เวลาวางไข่ ตัวเมียจะวางไข่ในตัวผู้ เมื่อไข่ฟัก ลูกก็จะกัดกินพ่อเป็นอาหาร คนโบราณเห็นลูกฟักออกมาจากซากที่ตายแล้วก็เลยถือว่า life comes from death แล้วให้ถือวาสคารับเป็นเทพแห่งความเป็นนิรันดร์ อื้ม ลึกซึ้งๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:26:51

ความคิดเห็นที่ 14 รูปนี้เป็นรูปฟาโรห์ถวายน้ำสักการะเทพคนุม ยังจำได้ไหมเอ่ยว่ามงกุฎนี้เป็นแบบไหน (จำไม่ได้กลับไปอ่านตอนหนึ่งนะค้า) มันคือมงกุฏแดงแห่งอิยิปต์ล่างนั่นเอง ส่วนมงกุฏเทพคนุมนี่เท่ห์มาก ข้างบนเขาจะยังเห็นว่ามงกุฏมีงูเห่าสองตัวโผล่มา (ด้านละตัว) งูเห่านี่ถือว่าเป็นดวงตาแห่งเทพเจ้า และยังปกปักษ์รักษา (อย่างที่ว่าไว้ว่างูไม่หลับตา) งานนี้ปกป้องสองต่อ มั่นใจยิ่งขึ้นจริงๆ ในมือเทพคนุมถือไม้เท้ายีราฟ (Was หรือ Uas) สัญลักษณ์แห่งความร่ำรวยมั่งคั่ง (prosperity) จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:27:28

ความคิดเห็นที่ 15 ไกด์เดินพามาดูผนังด้านนอกกันบ้าง รูปนี้เป็นรูปเทพท็อทนกกระยาง (เผลอเรียกเป็นนกกระเรียนมาหลายตอน แหะๆ) และเทพ โฮรัสเหยี่ยวกำลังรดน้ำมนต์ เอ้ย สรงน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ฟาโรห์อยู่ เป็นการชำระตนให้บริสุทธิ์ (purification) แล้วก็ได้ความรู้ใหม่จากคุณไกด์คนเก่งว่า เวลาเห็นอย่างนี้จะเป็นการทำพิธีของนักบวชชั้นสูงนะจ๊ะ นักบวชจะใส่หน้ากากเป็นรูปเทพเหล่านี้ สังเกตความแตกต่างได้จากข้างบนหัวหน้ากากจะไม่มีมงกุฏแต่ถ้าเป็นเทพจะมี นี่ไง ต้องเอาที่สูงๆ มายืนให้ค้ำหัวฟาโรห์ เพื่อพยายามแสดงถึงความเป็นเทพ โอ้ว เริ่ด ไกด์คนก่อนๆไม่เห็นบอกชั้นเรย ส่วนเทพีเซ็คเมต สิงโตทางขวานั้นเป็นเทพจริงๆ เพราะมีสัญลักษณ์ sun disk อยู่บนหัวด้วย แบบว่าเทพจริงๆมาให้พรอยู่ด้านหลังเป็นการรับรอง จ่ะๆ เทพปลอมก็มี เทพจริงก็มา เชื่อแล้วล่ะว่ามีบุญญาธิการ แล้วก็การที่เวลายืนเอาขาซ้ายนำนั้น นอกจากเป็นการแสดงความสมดุล(อย่างที่ไกด์คนแรกว่า) หรือเป็นการแสดงถึงจิตใจเมตตา เพราะขาข้างเดียวกับหัวใจ (อย่างที่ไกด์คนที่สองบอก) ยังเป็นการแสดงความเคารพเทพเจ้าอีกด้วย อึ้ม ได้ความรู้เพิ่มเรื่อยๆแฮะ แปลว่าถ้าได้ไกด์เก่งแต่แรกคงหมดสนุก หมดคำถามใช่มั้ยเนี่ย อิอิ นอกจากนี้คุณไกด์ยังอินกับคุณค่าทางศิลปะมาก ชี้ชวนให้ดูถึงความละเอียดของนิ้วมือ ความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาจากกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ช่างอุตส่าห์สื่อด้วยความละเอียดละออ อย่างดูความละเอียดของกล้ามเนื้อขา รอยนูนที่หัวเข่าเป็นต้น รักไกด์คนนี้สุดใจขาดดิ้นเลย รูปคุณไกด์ตั้งใจอธิบาย ถือไม้ตะพดหัวงูคู่กายด้วย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:28:43

ความคิดเห็นที่ 16 ถัดไปเป็นรูปเทพคนุมประทานสัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร์ให้ฟาโรห์ ฟาโรห์สวมมงกุฏ double crown ของอิยิปต์บนและล่าง หลังเทพคนุมเป็นบุตรชายของฟาโรห์ แบบว่าเอามายืนด้วยเพื่อแนะนำให้เทพรู้จักและให้เป็นที่รักของทวยเทพก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ต่อจากพ่อ เวลาสลักรูปเจ้าชาย จะสังเกตได้จากผมปอยที่ตกลงมาข้างๆ เป็นทรงผมเด็ก นอกจากนี้ก็ยังจะเห็นว่าจะมีท่าเอามือดูดนิ้ว แสดงว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ ยัง immature อยู่ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:29:37

ความคิดเห็นที่ 17 สัญลักษณ์แห่ง Eternity ที่เรียกว่า Ankh นั้น จริงๆมีความหมายลึกซึ้งมาก ตอนแรกไกด์ถามว่านี่อะไร เราก็ตอบไปตามที่ไกด์คนที่สองสอน key of life ค่า คุณไกด์บอก ผิดจ้า เรียกว่า Ankh (ออกเสียงเคอะข้างหลังยากอยู่) สัญลักษณ์นี้ จริงๆแล้วมีความหมายว่า เมื่อเดินทางจากความมีชีวิตมาถึงความตายแล้ว (ที่มีขีดคั่น) ชีวิตหลังความตายนั้นเป็นนิรันดร์ (เป็นวงรี) นอกจากนั้นยังเสมือนแผนที่ของอิยิปต์ ที่แม่น้ำไนล์ไหลจากอิยิปต์บนลงอิยิปต์ล่างแล้วแบ่งเป็นสองสายลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เปิดแผนที่แนวการ์ตูนๆที่ซื้อมา อ๊ะ เหมือนเป๊ะเลย แยกเป็นสองสายบรรจบทะเลดูหน้าตาคล้ายๆวงรี เอารูป Ankh ให้ดูอีกทีชัดๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:30:08

ความคิดเห็นที่ 18 ออกมาดูผนังอีกด้าน อันใหญ่ทางขวาจะเป็นรูปเทพคนุม ข้างหลังมีเซคเม็ตให้พรฟาโรห์ที่กำลังกำหัวศัตรูที่คุกเข่าอยู่ เงื้อง่าจะตัดศีรษะถวายทวยเทพ อ้อ รูปเทพคนุมอันนี้ที่เห็นมงกุฏเป็นแท่งสูงๆสองอันจะคล้ายๆของเทพอมุน เพราะเป็นเทพแกะเหมือนกัน แต่จะเห็นว่าใต้มงกุฏ เทพคนุมมีเขาแหลมๆกางออกมาสองอันนะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:30:49

ความคิดเห็นที่ 19 แล้วไกด์ก็เล่าเรื่องไล่ไปทีละรูป โอ้ว เยอะแยะมากมาย อย่างอันนี้ ฟาโรห์ฆ่าแพะบวงสรวง เซ็คเมต สรุปว่าสมัยก่อนมี การบูชายัญสัตว์ animal sacrifice กันจริงๆนะเออ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:31:31

ความคิดเห็นที่ 20 ท้ายสุดก่อนออกยังอุตส่าห์ชี้ให้ดูกำแพง ว่าเนี่ย ที่ด่างๆคือระดับน้ำตอนแม่น้ำไนล์ท่วม โอ้ว ไอ้สีในวิหารนี่มันรอดมาได้ยังไงเนี่ย เอาซะเกือบจมมิดขนาดนั้น จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:32:04

ความคิดเห็นที่ 21 จบที่แรกก็ได้ความรู้กันหัวบาน ได้บูชาเทพเนิร์ด (เทพท็อทแห่งสรรพวิชาการ) กันไปหลายระลอก ไหนว่าที่นี่ไม่แรง คนไม่แวะไง โห จดได้สมุดหมดเป็นเล่ม ที่ต่อมาเราเตรียมสมุดเล่มใหม่ลงไปพร้อม คราวนี้มาหยุดที่ Edfu ชมวิหารแห่งเทพโฮรัส วิหารเทพโฮรัสแห่ง Edfu นี่เป็นวิหารที่มีความสมบรณ์เป็นอันดับสองรองจากคารนัคเลยทีเดียว (second well-preserved) วิหารนี้จมอยู่ใต้ทรายทั้งหมดจนกระทั่งถูกขุดพบในปี 1866 โดย ชาวฝรั่งเศส วิหารนี้สร้างสมัย Ptolemy III ไปเสร็จเอาสมัย Ptolemy VI คือสร้างในช่วง 372 BC - 207 BC  รวมใช้เวลาเกือบ 180 ปีด้วยกัน จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:32:50

ความคิดเห็นที่ 22 จากที่เล่าเมื่อเช้า โฮรัสเทพเหยี่ยวเป็นลูกเทพโอสิริสกับเทพีไอซิส ระหว่างที่ไอซิสตั้งท้อง (หลังจูบอันร้อนแรง) เธอก็ต้องระหกระเหินหนีการจองล้างจองผลาญของตัวร้ายเทพเซ็ท เทพีฮาเธอร์ หรือเทพีวัว เทพีแห่งความรัก แห่งคีตศิลป์และนาฏศิลป์ (Love, Music and Dance) ก็เลยมาช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองเธอเอาร่างปิดบังเธอไว้จนเธอคลอดโฮรัสอกมาอย่างปลอดภัย โฮรัสนั้นรักเธอมาก ที่เธอช่วยเหลือปกป้องพระมารดา ต่อมาทั้งสองจึงได้แต่งงานกัน (ข้ามรุ่นนะเนี่ย แต่เทพคงไม่มีแก่เนอะ ไม่งั้นจะเป็นว่าแต่งกับสาวใหญ่รุ่นแม่เลยทีเดียว) เวลาอยู่กับฮาเธอร์ จึงอยากให้เธอมีรูปลักษณ์คล้ายพระมารดา กล่าวคือฮาเธอร์จะมีหนึ่งในสามร่าง (นอกจากวัว และ สาวน้อยหูวัว) เป็นสาวงามที่มีสัญลักษณ์มงกุฏเหนือศีรษะเกือบเหมือนเทพีไอซิส ทำให้เรางงมากมาตลอดทริปจนกระทั่งไกด์คนนี้บอกวิธีสังเกต ซึ่งก็คือ เทพีไอซิสจะมีรูปที่นั่งบัลลังก์ (throne) อยู่บน sun disk อีกที แต่ฮาเธอร์ไม่มี ดูรูปแล้วเหมือนมีมือถืออยู่บนมงกุฏเลย เหอๆ ทางซ้ายที่จดยิกๆคือเทพเนิร์ด เทพท็อทของเรานั่นเอง ที่เห็นเป็นรอยปรุๆคือรอยถูกทำลาย สันนิษฐานว่าสมัยก่อนคงมีการใช้เงินหรือทองฝังเข้าไปในรูปสลักเพื่อความสวยงามเลยโดนโจรแงะไปขาย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:34:25

ความคิดเห็นที่ 23 ในห้องแรกก่อนทางเข้าที่เป็นเรื่องราวของโฮรัสและฮาเธอร์ ยังมีรูปลิงบาบูนอยู่ตามผนังด้วย ไกด์เล่าว่า บาบูนพวกนี้จะคอยรับแสงแรกแห่งอมุนราหรือแสงอทิตย์ยามเช้า จากนั้นจึงร้องบอกเวลาให้นักบวชในวัดได้รู้ (บ้านเราใช้ไก่ บ้านเค้าใช้บาบูนเลยแฮะ) แสงไม่ดี รูปส่วนใหญ่ในห้องนี้มืดเลยไม่ได้เอามาเล่าน่ะคะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:35:21

ความคิดเห็นที่ 24 จากนั้นไปก็เริ่มสังเกตเห็นว่าวิหารนี้มีรูปสลักลิงบาบูนเยอะเชียว อย่างอันนี้เป็นต้น จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:35:48

ความคิดเห็นที่ 25 เดินลึกเข้ามาถึงหน้าประตูทางเข้าวิหารก็จะเจอกับรูปปั้นเทพโฮรัสในร่างเหยี่ยวหน้าตาถ มืง ทึงยืนอยู่ ไกด์บอกว่าที่หน้าตาโกรธเกรี้ยวเพราะยังต้องไปแก้แค้นกับลุงเซ็ทแทนท่านพ่อ รูปสลักแกรนิตนี้หนักถึงเจ็ดสิบห้าตันด้วยกัน จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:37:05

ความคิดเห็นที่ 26 ด้านในวิหารนั้นเป็นโถง Hypostyle อีกเช่นเคย ข้างหนึ่งมีสิบหกเสา อีกข้างมียี่สิบสองเสา เพราะหลังคาหนักกว่า ประตูเป็นไม้ซีดาร์ ตัวรูปสลักนูนสูงแปะทองแดงและทองคำ เนื่องจากประตูเดิมใหญ่มาก ตอนนี้เลยสร้างประตูเล็กๆคล้ายประตูแมวให้นักท่องเที่ยวเข้าชม รูปสลักประตูของเดิม จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:37:44

ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อแรกสร้าง วิหารแห่งนี้มีไว้ประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า แต่เวลาต่อมา ได้ถูกปรับใช้ให้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย ควันไฟจากการหุงหาอาหารจึงขึ้นไปจับเป็นเขม่าดำดังที่เห็นในรูปนี้ คุณไกด์มีความเห็นรุนแรงมากกับการที่มีคนเสนอให้บูรณะ ไกด์กลับคิดว่าควรจะปล่อยให้เห็นเป็นสีดำอย่างนี้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และถ้าเราไม่ได้เห็นเขม่า เราก็คงไม่รู้เลยว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยถูกใช้อยู่อาศัย เป็นไงคะ ความเห็นของท่านนักโบราณคดี จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:38:21

ความคิดเห็นที่ 28 ห้องลึกเข้ามาเป็นห้องสำหรับประกอบพิธีกรรม ห้องนี้มีสามสิบสองเสา  เสาแต่ละต้นไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกันแต่เป็นหินชิ้นย่อยๆที่ถูกนำมาเรียงต่อกัน ขัดสลักล็อกไว้ที่ฐาน แต่ละก้อนก็หนักมาก เทคโนโลยีน่าทึ่งจริงๆ จากนั้นจึงให้ช่างแกะสลักบนเสาที่เสร็จแล้ว แตกต่างจากการทำหลังคา ที่ช่างจะสลักและลงสีให้เสร็จก่อนที่จะยกขึ้นประกอบ ห้องนี้มีการ propaganda ท่านฟาโรห์อีกแล้ว เพราะประชาชนไม่ได้คลุกคลีกับฟาโรห์ การสลักผนังวิหารที่คนต้องเข้ามาบูชาจึงเป็นคล้ายๆสื่อ เหมือนวิหารก่อนๆที่แสดงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของฟาโรห์ครารบทัพจับศึก ฆ่าศัตรูเป็นเบือ ขนเครื่องบรรณาการกลับมาเป็นกองๆ งานนี้มีรูปฟาโรห์ขุดดิน จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:38:57

ความคิดเห็นที่ 29 ฟาโรห์รดน้ำ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:39:33

ความคิดเห็นที่ 30 ฟาโรห์ตัดหินมาสร้างวัด เพื่อถวายเทพโฮรัส สรุปว่าเฮียแก่ทำทุกอย่างเองหมด ปลูกผักสร้างวัดมากะมือเลยนะนี่ แถมทุกรูปมีเทพอวยชัยให้พรอีกต่างหาก ใช้สื่อได้เป็นประโยชน์จริงๆ แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 53 09:40:51 จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:40:10

ความคิดเห็นที่ 31 ถัดออกมาเราก็เดินออกมาที่กำแพงด้านใน (คอมเพล็กที่นี่มันซับซ้อน ตรงนั้นมีกำแพงสองชั้น) และแล้วเราก็มาพบกับ... ...ต้นกำเนิดของแอนิเมะ.... เอ้ย ไม่ใช่ ภาพสลักเรื่องราวของเทพโฮรัสตอนไปพิฆาตลุงเซ็ท อย่างที่บอกว่าโฮรัสโตมามีเทพีเซ็คเมตเทพแห่งสงครามเป็นคนสอนวิทยายุทธ์เองกะมือ พอโฮรัสเทิร์นโปรแล้ว เซ็คเมตก็พาออกตามล่าเซ็ท ซึ่งเซ็ทแปลงร่างเป็นเทพฮิปโป งานนี้โฮรัสมีกองหนุนคือเทพโซเบ็คซึ่งเป็นเทพจระเข้มาช่วย จริงๆสองคนนี้เค้าทะเลาะกันมาก่อน (เดี๋ยวจะได้ฟังเรื่องที่คอม ออมโบ) แต่อย่างที่บอก ว่าวันนี้เราชมวิหารย้อนทาง ตอนนี้เลยเป็นตอนหลังที่เค้าดีกันแล้ว รูปนี้คือรูปโฮรัสจับเซ็ท ที่เห็นใช้แหลนจิ้มฮิปโปตัวเล็กอย่างกับเต่า แล้วมีโซเบ็คยืนให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:42:29

ความคิดเห็นที่ 32 การต่อสู้ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น ฮิปโปยังคงไม่ให้จับง่ายๆ อันนี้ฮิปโปตัวใหญ่ขึ้นนิดส์นึง แถมคงหนีเร็วเพราะต้องกางใบเรือแล่นฉิวตามล่า จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:45:11

ความคิดเห็นที่ 33 จากนั้นแต่ละรูปฮิปโปก็ตัวใหญ่ขึ้นทีละนิดทีละนิดเหมือนอ่านการ์ตูน รูปนี้เอาเชือกมัดได้แล้วนะ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:45:50

ความคิดเห็นที่ 34 จนกระทั่งตัวใหญ่เท่าเนี้ย ฉากนี้โฮรัสเผด็จศึก จัดการลุงฮิปโปสิ้นซาก จากรูปจะเห็นว่าท่านแม่ไอซิสมาจับแขนโฮรัสเสมือนช่วยแทงด้วยอีกแรงเพราะชีแค้นมาก ในที่สุดฮิปโปตัวร้ายก็ถูกปราบสิ้นฤทธิ์ สาสมกับความใจร้ายที่ทำไว้กับพี่ชายและหลาน รูปชุดนี้มันเล่าเรื่องจากขวาไปซ้าย ถามไกด์ได้ความว่าเรื่องเขียนย้อนจากด้านทิศเหนือไปทิศตะวันออก เหมือนเวลาแม่น้ำไนล์ไหลจากใต้ไปเหนือ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:49:06

ความคิดเห็นที่ 35 จบตื่นเต้นกับฉากบู๊ก็กลับมาดูห้องข้างในอีกด้านกันต่อ คุณไกด์ปลาบปลื้มชี้รูปนี้ให้ดูเป็นพิเศษเพราะเป็นรูปที่แสดงถึงความสวยงามของความรักระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว รูปนี้เป็นรูปโฮรัสกับฮาเธอร์กำลังโอบกอดกันอย่างซาบซึ้ง ไกด์ขา เนิร์ดแล้วยังโรแมนติกอีก หนูใจละลายนะค้า จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:49:53

ความคิดเห็นที่ 36 สุดท้าย ไกด์พามาที่ห้องลึกสุดของวิหารที่เรียกว่า Hall of the Holy ห้องนี้เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ เฉพาะฟาโรห์ พระราชินี และหัวหน้านักบวชเพียงสามคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้ามาได้ ห้องนี้ถูกสร้างอย่างดีให้เป็นห้องเก็บเสียง ถ้าคุยอะไรกันในห้องนี้ คนข้างนอกจะไม่มีทางฟังออกเลย เราลองแล้วรู้สึกว่าข้างนอกมันจะสะท้อนฟังดูก้อง จับคำไม่ได้ ห้องปรึกษาราชการลับยุคโบราณนั่นเอง ห้องนี้เป็นที่เก็บเรือศักดิ์สิทธิ์ Sacred boat ที่ภายในประดิษฐานรูปหล่อทองคำของเทพเจ้า ทุกปีนักบวชจะแบกเรือนี้ออกมาให้ผู้คนบูชาเพียงเวลาอันสั้น เชื่อกันว่าถ้าใครทำความดี จะได้เห็นรัศมีแสงทองสุกปลั่งของรูปหล่อทอง ถ้าไม่เห็นก็ควรจะกลับไปทำความดีเพิ่มเติม อืม ออกมาแค่ห้านาที เป็นกุศโลบายให้คนทำดีที่น่าจะเวิร์คอยู่ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:50:42

ความคิดเห็นที่ 37 หมดสมุดไปอีกเกือบเล่มก็ได้เวลาอาหารกลางวัน เพื่อเป็นการประหยัดตังค์ เราก็ขอไกด์กินอาหารโลโค่นๆ ว่าแล้วก็เลยขอแวะข้างทาง ซื้อตามร้านแบบนี้แหละ ไกด์มีเหวอเล็กน้อย เฮ้ย พวกนี้มันเอาจริง ไม่กลัวท้องเสีย ทีตอนไกด์แนะนำให้กินน้ำจากแม่น้ำไนล์ล่ะทำท่าสยอง (น้ำจากไนล์ที่นี่เค้าอัดขวดขายกันด้วยนะ ไกด์ก็ดื่ม) จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:52:41

ความคิดเห็นที่ 38 งานนี้ก็เลยได้ขนมปังยัดไส้ฟาลาเฟลที่ทอดขึ้นมาร้อนๆควันฉุย กับมันฝรั่งทอดกรอบ ราคาก็ถูกแบบสิบยี่สิบปอนด์อิยิปต์เองมั้ง โห ถ้าหากินอย่างนี้ได้ทุกวันคงไม่จน น้ำร้านข้างๆก็ถูกกว่าที่เจอๆมาตามแหล่งท่องเที่ยวเป็นสิบเท่า จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:53:20

ความคิดเห็นที่ 39 ออกมาหน้าตาสำเร็จเป็นแบบนี้ เราส่งถุงที่มีสามอันแบ่งให้ไกด์กิน ไกด์เอาไปสามอันไม่คืนเลยอ่ะ แง้ว งานนี้เลยมีเพื่อนอดกิน แง้ หนูขอโทดดดดดดด จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:54:02

ความคิดเห็นที่ 40 เหนื่อยกันรึยังคะ คนเขียนเหนื่อยแล้ว แต่จะแตกกระทู้เดี๋ยวจะหากันไม่เจอ เอ้า ลุยกันต่อไป จบที่นี่แล้วโปรแกรมต่อไปคือไปที่ Sil sila ไปชมสุสานของ Horemheb งานนี้ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาผจญภัยกันขนาดนี้ เริ่มจากถนนใหญ่ปิด คนขับรถพาเราบุ่งเข้าดงไร่อ้อย ถนนเป็นลูกรังเลนเดียว ข้างหนึ่งเป็นคูน้ำอย่างลึก อีกข้างก็อย่างป่า มีลาลากรถสวนมาทีนี่ ไม่ใครก็ใครต้องลุยป่ากัน งานนี้สยดสยองมากๆ รถก็โขยกแทบคืนข้าวกลางวัน อาการประมาณนี้ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:54:39

ความคิดเห็นที่ 41 ถามทางมาเรื่อยๆก็มาถึงแม่น้ำไนล์จนได้ แต่ชะอุ๊ย ท่าจอดเรือมันไม่ได้อยู่ตรงนี้อ่ะจ่ะ สรุปว่า ไกด์โทรหาเรือใบ felucca มารับตามตลิ่งเลย ท่าเท่อไม่ต้องมี เริ่ดจริงๆ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:55:25

ความคิดเห็นที่ 42 นั่งเรือข้ามไนล์ไปถึง Gebel Silsila เรือใบเราก็เปรี้ยว จอดตลิ่งแรนด้อม ไม่มีท่า เราเลยได้ปีนป่ายขึ้นเขากันอย่างสมบุกสมบัน ไกด์เล่าว่า โฮเรมเฮป เป็นฟาโรห์ที่เก่งด้านการทูต มีวาจาคมคาย ช่วงนี้ชาวนูเบียแข็งข้อกับอิยิปต์ ท่านก็เสร็จมาไกล่เกลี่ยและเซ็นสัญาสงบศึก ทำให้บ้านเมืองสงบลงได้ Sil silaที่ตั้งของสุสานของท่านนั้นเป็นแหล่งของหินทรายชั้นดี วิหารอื่นๆที่ก่อสร้างด้วยหินทรายก็มักจะมาขนหินทรายจากที่นี่ไป สุสานของโฮเรมเฮปเป็นสุสานเล็กๆ หินทรายทำหน้าที่คล้ายตู้เย็น ควบคุมอุณหภูมิภายในให้เหมาะสมกับการรักษาสภาพมัมมี่ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:56:10

ความคิดเห็นที่ 43 ผนังของสุสานเป็นรูปเทพคนุม ไอซิสและรา แล้วก็ได้ฟังเรื่องราวว่าทำไมเทพคนุมจึงเป็นเทพผู้สร้าง เทพคนุมจะใช้ดินปั้นบนที่ปั้นหม้อ (moulder) ออกมาเป็นมนุษย์ ไอซิสจะเป็นคนให้ปากและใส่วิญญาณให้แก่มนุษย์ที่เทพคนุมสร้าง ชื่อสำหรับมนุษย์จะถูกเขียนลงบนต้นไม้แห่งชีวิต อมุนราและโฮรัสจะเป็นคนเลือกชื่อให้มนุษย์คนนั้น จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:57:16

ความคิดเห็นที่ 44 ข้างๆสุสานเป็นทรายเรียบลื่น หน้าตาเหมือนทะเลทรายนะนี่ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:57:53

ความคิดเห็นที่ 45 รอกันพักใหญ่ไกด์ก็หาเรือมาให้เรากลับได้ซักที คราวนี้เป็นมอเตอร์โบ๊ท เรากะว่าคงสบาย ไม่ขึ้นกับแดดน้ำลมฝนเหมือนเรือใบ แต่ที่ไหนได้ แล่นไปเกือบใกล้ฝั่งเครื่องก็กระตุกหงึกๆแล้วก็ดับกึก เอาล่ะสิจะทำไง คนขับเรือก็ไปกระตุกๆเครื่อง เจอว่าใบพัดกินสาหร่ายเข้าไปตรึม แซะไม่ออก ทีนี้ไกด์ก็เริ่มงุ่นงาน โทรมือถือให้วุ่น ลุงคนขับเรือไม่สนใจ ไปคุ้ยๆเหล็กแท่งๆอะไรไม่รู้  เอามายัดใส่มือไกด์ แล้วก็บอกให้ช่วยพาย งานนี้เราเลยได้เห็นท่าเด็กเนิร์ดพายเรือ แบบ เอิ่ม เอาพายแปะน้ำอย่างนี้มันจะไปมั้ยเพ่ ในที่สุดพี่สาวทนดูไม่ไหว เลยสละกล้องกระบอกปืนให้พวกเราถือ แล้วไปพายแทนไกด์ ท่าทางคล่องกว่ากันเยอะ พายไปพายมาก็สังเกตว่า เราใกล้ฝั่งขึ้นนิดเดียว (นั่งเรือข้ามฝั่ง) แต่น้ำพัดไหลลงตามน้ำไปค่อนข้างไกล โอ๊ย ใครจะคิดเนี่ย กว่าจะได้มาติดอยู่กลางแม่น้ำไนล์ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:59:16

ความคิดเห็นที่ 46 ในที่สุดเราก็เข้าไปชนฝั่ง ที่มีแต่พงหญ้าสูงท่วมหัว ข้างใต้คงเป็นน้ำไม่ใช่ดิน ลุงคนขับก็เอามือเกาะหญ้าดึงเรือขึ้นสวนกระแสน้ำได้ทีละนิด เฮ้ย เอาจริงหรอเนี่ย ไกด์เนิร์ดของเราถึงกับเอามือกุมหัว เมื่อท่าทางไม่เวิร์ค ลุงก็หันไปฟัดกับใบพัดใหม่ จนในที่สุด เรือช่วยเหลือก็มาถึง มาจอดเทียบแล้วเอาพวกเรากลับขึ้นฝั่ง เฮ้อ เหนื่อย จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:00:20

ความคิดเห็นที่ 47 ไปถึงคอมออมโบพระอาทิตย์ก็จะเกือบจะลับฟ้า จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:01:03

ความคิดเห็นที่ 48 วิหารนี้เป็นวิหารที่แปลกอยู่สักหน่อยเพราะเป็นวิหารแรกที่มีการบูชาเทพถึงสององค์คือเทพโฮรัสและเทพโซเบ็ค โดยแบ่งวิหารให้คนละครึ่งเป๊ะๆ ซ้ายของโฮรัส ขวาของโซเบค เรื่องก็มีอยู่ว่าเทพโฮรัสกับเทพโซเบคแก่งแย่งชิงดีกันเป็นใหญ่ในถิ่นนี้ เทพราก็เลยตัดสินให้โฮรัสย้ายออกไปครองเมืองที่ Edfu เมื่อโฮรัสย้ายไป พลเมืองเมืองนี้ก็ย้ายตามโฮรัสไปจนไม่เหลือใครเลย โซเบ็คที่เหลืออยู่ก็เลยปกครองพวกที่ตายไปแล้ว (อย่างกับซอมบี้) คนที่ตายไปแล้วปลูกพิชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ เลยปลูกทองแทนทำให้เมืองนี้ร่ำรวยไปด้วยทองและเป็นแหล่งทองคำ อย่างไรก็ดี เมื่อเทพรามาเห็นว่าเมืองนี้กลายเป็นเมืองไร้ชีวิตก็ไม่ชอบใจ ไปเชิญเทพโฮรัสกลับมา และแบ่งวิหารแบ่งเมืองให้ครองกันคนละครึ่ง ทำให้ทั้งสองกลับมาดีกันและอยู่กันได้อย่างสงบสุข แอบโน้ตไว้ว่าเทพโฮรัสที่บูชา ณ ที่นี้เป็นโฮรัสในร่างที่เรียกว่า Haroeris หรือ Horus the Elder ที่มี Sun disk อยู่บนหัว จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:01:45

ความคิดเห็นที่ 49 วิหารนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้า Ptolemy ที่หก และกษัตริย์องค์อื่นๆที่สืบทอดราชวงศ์ Ptolemy ก็ช่วยกันต่อเติม ถ้ามองที่ช่องประตู ประตูที่ลึกเข้าไปข้างในมีการจงใจสร้างให้เล็กและแคบกว่าประตูหน้าๆ ทำให้มองแล้วเหมือนถูกดูดเข้าไป เป็นคล้ายๆการดึงดูดใจให้เดินเข้า จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:02:20

ความคิดเห็นที่ 50 ไกด์ยังเล่าถึงเรื่องราวที่มาของการบูชาเทพโซเบคในถิ่นนี้ กล่าวคือ ราชบุตรในทุตโมสที่สามนั้นได้มาวิ่งเล่นแถวแม่น้ำไนล์ เนื่องจากซะโงกตัวใกล้น้ำเกินไป จระเข้ในแม่น้ำจึงโผล่ขึ้นมางับ แล้วลากร่างเด็กน้อยจมดิ่งลงใต้แม่น้ำ ทุตโมสที่สามพิโรธมาก สั่งปิดทางเดินน้ำเหนือและใต้ของแม่น้ำไนล์บริเวณใกล้เคียง แล้วออกล่าจระเข้ทุกตัวในลำน้ำจนพบร่างเจ้าชายในท้องจระเข้ตัวหนึ่ง จึงได้นำพระศพมาทำมัมมี่ และนำจระเข้ตัวนั้นไปบูชายัญ จากนั้นมาจระเข้ได้รับการนับถือเป็นเทพเจ้าหลักในถิ่นนี้ เชื่อว่าการนับถือเทพจระเข้จะเป็นการป้องกันอันตราจากการถูกจระเข้ในแม่น้ำไนล์ทำร้าย อีกทั้งจระเข้ยัง ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งและความสมบูรณ์พันธุ์ จากนั้นมา นักบวชจะคอยมองหาจระเข้ที่มีลักษณะพิเศษ ซึ่งจระเข้เหล่านั้นจะถูกจับมาเลี้ยงไว้ในบริเวณวิหาร ผู้คนจะนำของถวาย offering มาโยนให้จระเข้ในหลุมนี้ ก่อนจะถูกนำมาบูชายัญ รูปเทพโซเบ็ค จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:02:59

ความคิดเห็นที่ 51 หลุมเลี้ยงจระเข้นี้ไกด์บอกว่าลึกเจ็ดเมตร คุณพี่ก็ถามเสียงดังลั่นว่า หาาาา โยนจระเข้ลงไปสูงเจ็ดเมตรเลยหรอ ฝรั่งข้างๆที่ได้ยินหัวเราะกันคิกคัก คุณไกด์กลั้นหัวเราะก่อนจะชี้ไปที่บันไดวนที่แอบอยู่ข้างๆว่าเป็นทางลับที่เอาจระเข้ลงไปใส่ไว้ในหลุม หลุมนี้ได้น้ำมาจากแม่น้ำไนล์ ดังนั้นจึงทำหน้าที่วัดระดับน้ำหรือเป็น Nilometer ได้อีกด้วย ซึ่งระดับน้ำนี้ จะเป็นตัวกำหนดอัตราภาษีที่เก็บจากประชาชน คือเมื่อน้ำสูง อุดมสมบูรณ์ จะเก็บภาษีเยอะ เมื่อแห้งแล้งก็จะลดภาษีลง จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:03:46

ความคิดเห็นที่ 52 ที่วิหารนี้มีอะไรน่าทึ่งอีกหลายอย่าง นับตั้งแต่รูปการผ่าตัดตา จำเรื่องตำนานไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าโฮรัสตาบาดเจ็บแล้วได้รับการผ่าตัดใส่ตาเข้าไปใหม่ เรียกว่า Horus the Oculist ตานั้นมีอำนาจสอดส่องได้ทั่วสามโลก อีกมุมหนึ่งก็ยังมีปฏิทินแบบโบราณที่นับดวงจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม นับฤดูที่แม่น้ำไนล์ท่วมสามรอบ นับฤดูเกี่ยบเกี่ยวสามรอบ รวมๆกันเป็นหนึ่งปีได้พอดี และนี่ รูปเครื่องมือการผ่าตัดหลากหลายรูปแบบ (ไกด์อธิบายทีละอันเลยนะ) คิดค้นโดยอาเมนโฮเทป คนเดียวกับที่เป็นสถาปนิกสร้าง step pyramid ด้านขวาคือประวัติคนไข้  ที่มีขีดๆว่าผ่าตัดไปกี่ครั้ง ไม่หายแล้วอีกกี่วันผ่าตัดใหม่ จนในที่สุดหายดี ส่วนซ้ายเป็นไอซิสในท่านั่งคลอดบุตร นั่งอยู่บน delivery chair ไกด์เล่าว่าคนอิยิอปต์โบราณนั้นจะนั่งเก้าอี้แบบนี้คลอดในน้ำ เพื่อให้น้ำของแม่น้ำไนล์ชำระล้างเด็กแรกเกิดให้บริสุทธิ์และเป็นสิริมงคลอีกด้วย ความรู้เต็มเปี่ยมจริงๆ คุณไกด์อธิบายดีมากจนมีป้าๆฝรั่งมาเดินตามแอบฟังพร้อมกระซิบกระซาบกันว่าไกด์ชั้นไม่เห็นเล่าละเอียดอย่างนี้เลยเธอ จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:04:39

ความคิดเห็นที่ 53 คุณไกด์พาเดินรอบๆจนเค้าทยอยปิดไฟไล่ ไกด์บอกว่าก่อนออกไปจะพาไปดูรูปที่เข้าชอบที่สุด เห็นทีไรหัวใจเต้นตึกตักตึกตัก โห เฮียฟังดูอินจริงๆอ่ะ ปรากฏว่าเป็นรูปสิงโตรูปนี้ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของฟาโรห์รามซิสผู้ยิ่งใหญ่ (ตัวโตๆที่เห็นแต่รองเท้าแตะ) เจ้าตัวนี้ได้ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่ไปทุกที่ คุณไกด์เอามือลูบๆอย่างหลงไหลแล้วชี้ว่า เห็นมั้ย ทั้งแผงคอทั้งเล็บยังสวยงามขนาดนี้ อ่ะน่ะคนมี passion ในเรื่องที่ทำ ชาบู ชาบู จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:05:20

ความคิดเห็นที่ 54 กลับออกมาก็ดึกแล้ว แสงสปอตไลท์สาดส่องวิหารเห็นเป็นสีมลังเมลืองดูแปลกตาจากขาเข้า จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:06:10

ความคิดเห็นที่ 55 ลากสังขารมาถึงโรงแรมก็เหนื่อยโฮก แต่ก็ยังอุตส่าห์เดินถ่อออกไปกินข้าวเย็นร้านอัสวานมูน อีกร้านที่โลนลี่ชวนชิม จบมหากาพย์ตอนยาวกันเสียที ใครเบื่ออ่านรีบแสดงตัวนะคะ คนเขียนจะได้เลิกเขียน หุหุ เขียนจนมึนเลยล่ะวันนี้ แต่เรื่องสนุกๆอย่างนี้ไม่อยากเก็บไว้คนเดียว หาไม่ได้จริงๆน้าถ้าไกด์ไม่เล่า ไม่เชื่อท้าให้เปิดวิกิเลยเอ้า คอมออมโบยังมีแค่สองย่อหน้าเอง เจอกันตอนหน้าเที่ยววิหาร Abu Simbel และเขื่อนอัสวานกันต่อถ้าคนเขียนยังมีแรงเขียนค่า จากคุณ : Mnemosyne เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 10:07:05

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณสำหรับภาพสวยๆ และข้อมูลค่ะ อ่านจุใจเลย ^^ จากคุณ : adel_ew เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 16:36:11

ความคิดเห็นที่ 57 เซ็ทนี้ถ่ายภาพคุณไกด์ได้โดดเด้งมากเลยค่ะ ภาพในเมืองนั่นก็สวย จากคุณ : ปลากินเมฆ (ปลากินเมฆ) เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 17:32:55

ความคิดเห็นที่ 58 คุณไกด์สุดยอด อ่านเพลินมากๆ จากคุณ : scottie เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 19:46:52

ความคิดเห็นที่ 59 คุณไกด์เยี่ยมมาก ๆ ได้ไกด์แบบนี้ยอดเลยค่ะ :) จากคุณ : ปิยะรักษ์ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 20:47:29