Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ บทที่ 6 เรื่องหนหลังที่สุดจะทำใจหันกลับไปมอง  

บทที่ 6

เรื่องหนหลังที่สุดจะทำใจหันกลับไปมอง



หลังจากนั้น ข้าก็มานะพยายามอย่างมาก ศึกษาทำความเข้าใจวิชาเซียนวิชาธรรมอยู่ในห้องของตัวเองทุกวัน ครั้นมี
เวลาว่างก็จะอ่านหนังสือตำราที่บรรดาเทพเซียนรุ่นก่อนๆ เหลือทิ้งเอาไว้ ศิษย์พี่ใหญ่เห็นแล้วปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก

เมื่อเรียนท่าวิชาใดได้ ข้าเป็นต้องไปแสดงที่หน้าถ้ำของม่อเยวียนเสียหนึ่งรอบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้เห็นก็ตาม ข้ากลับ
หวังเพียงให้ตัวเองสบายใจ



วันหนึ่ง ขณะที่ข้ากำลังนั่งสมาธิเข้าฌานในป่าดอกท้อหลังเขา ศิษย์พี่ใหญ่ก็ส่งนกกระเรียนเซียนตัวหนึ่งมาแจ้งว่า ให้ข้า
รีบไปที่ห้องโถงหน้า มีแขกมาเยือน

ข้าหักดอกท้อมากิ่งหนึ่ง กิ่งที่อยู่ในห้องของม่อเยวียนเริ่มจะออกแววโรยบ้างแล้ว ถึงแม้ช่วงนี้ม่อเยวียนจะปิดด่านกักตัว
ไม่ได้ออกมาอยู่ที่ห้อง ข้ากลับต้องการปัดกวาดจัดแต่งห้องนั้นให้เรียบร้อย เวลาเขาออกจากการปิดด่านกักตัว จะได้
อยู่ได้อย่างสบาย

ข้าหนีบกิ่งดอกท้อไว้ในมือ แล้วไปที่ห้องโถงหน้าก่อน

ระหว่างทางผ่านกลางตัวเรือน เห็นศิษย์พี่สิบสามกับสิบสี่สองคนกำลังเปิดบ่อนพนันกันอยู่ที่ใต้ต้นพุทรา เรื่องที่พนันกัน
ก็คือแขกที่มาตรงหน้าห้องโถงนั่นคือชายหรือหญิงนั่นเอง ข้าเดาว่าน่าจะเป็นพี่สี่ป๋ายเจินแวะมาเยี่ยม ดังนั้นจึงล้วงไข่มุก
ประกายราตรีลูกหนึ่งออกมา วางลงไปเดิมพันด้วยอย่างสำรวม

เมื่อเข้าไปถึงในห้องโถงหน้า หาคาดไม่ว่า แขกที่ศิษย์พี่ใหญ่บอกมา กลับเป็นองค์ชายรองหลีจิ้งแห่งเผ่าปิศาจที่ไม่ได้
พบหน้าเสียนานนั่นเอง

ในตอนนั้น เขากำลังนั่งตัวตรงเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[1]ไม้สาลี่ พริ้มตาลงเล็กน้อยจิบน้ำชา ครั้นเห็นข้าเข้ามา ก็ชะงัก
ตกตะลึงไปชั่ววูบ

คืนนั้นม่อเยวียนใช้เลือดล้างวังต้าจื่อหมิงกง ข้าจึงสันนิษฐานอย่างมีหลักการยิ่งว่า หรือที่หลีจิ้งมาในครั้งนี้ จะเป็นการ
มาทวงหนี้แค้นถึงประตูบ้าน หลีจิ้งกลับเร่งสาวเท้าก้าวเข้ามาหาสองก้าว แล้วกุมสองมือของข้าเอาไว้อย่างสนิทสนมมาก

“อาอิน ข้าคิดตกแล้ว! ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะร่วมบินเคียงคู่เจ้า”

กิ่งดอกท้อร่วงตกลงพื้นดัง “ตุบ” ทันที

ศิษย์พี่สิบสามร้องตะโกนเสียงดังอยู่ที่นอกประตูว่า

“จ่ายเงินๆ! ผู้หญิงโว้ย!”

ข้าสับสนงุนงงเป็นอย่างยิ่ง คิดอยู่พักใหญ่ ก็แหวกเปิดตัวเสื้อด้านหน้าออกจากกันให้เขาดู

“ข้าเป็นผู้ชาย ส่วนเจ้าก็เข้ากับบรรดาฟูเหรินในตำหนักบรรทมของเจ้าได้ดีมาก เจ้าไม่ใช่ต้วนซิ่วสักหน่อย”

จริงอยู่ว่าข้าไม่ใช่บุรุษ หัวใจจิ้งจอกใหญ่เท่าฝ่ามือที่ใต้เนื้อหนังนี้เองก็ไม่ได้หยาบกร้านเปิดเผยเท่าบุรุษ หากแต่อ่อนโยน
อ่อนไหวเช่นดังสตรีทั่วไป แต่ในเมื่อในตอนแรกอาเหนียงหลอกม่อเยวียนเอาไว้แล้ว ข้าก็จำเป็นต้องคงรูปร่างหน้าตาบุรุษนี้
ต่อไปจนกว่าเรียนสำเร็จวิชา ออกจากสำนักอาจารย์ไปอย่างราบรื่น

หลีจิ้งจ้องมองแผ่นอกแบนราบของข้าเขม็งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะปาดเลือดกำเดาแล้วพูดว่า

“วันนั้นหลังออกมาจากห้องของเจ้าแล้ว ข้าก็คิดโน่นคิดนี่เยอะมาก เนื่องจากหวาดกลัวว่าตัวเองจะมีความคิดที่ไม่ถูกต้อง
เหมาะสมแบบนั้นกับเจ้าเข้าจริงๆ  ข้าจึงจมอยู่ในดงบุปผาตลอดทั้งวันติดต่อกันอยู่หลายวัน โดยหวังว่า...หวังว่าจะใช้
ผู้หญิงมาทำให้ความรู้สึกของตัวเองชาด้าน ตอนแรก...ตอนแรกก็พอจะเห็นผลอยู่บ้างหรอก หาคาดไม่ว่าหลังจากที่เจ้า
จากไป ข้าก็คิดถึงเจ้าอยู่ทุกวันทุกคืน อาอิน” เขาตรงเข้ามากอดข้าอย่างลืมตัว พูดเนิบช้าว่า “เพื่อเจ้า ต่อให้ต้องต้วนซิ่ว
สักครั้งก็จะเป็นไรไป?”

ข้าหันไปมองต้นท้อที่เหนือกำแพงอยู่ชั่วครู่ และคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ ก็เห็นว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ในตอนนี้นั้น ช่างน่าตื่นตระหนกและน่าทอดถอนเสียนี่กระไร

ศิษย์พี่สิบสี่หัวเราะร่า “ใครต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงินใครกันแน่?”



ในเมื่อหลีจิ้งอุตส่าห์ถ่อมาไกลตั้งพันหลี่เพื่อมาบอกความในใจกับข้าถึงคุนหลุนซวี แต่ตัวข้ากลับไม่มีความคิดจิตใจในด้าน
ต้วนซิ่วกับเขาแม้แต่น้อยจริงๆ  จึงได้แต่ทำให้เขาต้องผิดหวังเท่านั้น

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ทางภูเขาเดินลำบาก ข้ารั้งเขาอยู่ค้างคืนบนเขาหนึ่งคืน จนใจที่เมื่อศิษย์พี่ใหญ่รู้เข้าว่ามีต้วนซิ่วคนหนึ่ง
ขึ้นเขามาล่อลวงข้า ก็อัดเขาไล่ออกจากสำนักไปอย่างหักโหมทันที

ข้านึกนับถือความใจกล้าของหลีจิ้งเป็นยิ่งนัก ขนาดว่าถูกศิษย์พี่ใหญ่อัดเสียตั้งขนาดนั้นแล้ว ก็ยังไม่ยอมตัดใจ ทุก 3-5 วัน
เป็นต้องใช้กิเลนไฟพาหนะของเขาตัวนั้นส่งบทกลอนจำพวกอกหักช้ำรักมาให้เป็นประจำ

ตอนแรกก็เขียนมาประมาณว่า

“อยู่บนฟ้ายอมเป็นนกบินเคียงคู่ อยู่บนดินยอมเป็นไม้เคียงแนบชิด”

3-5 วันให้หลังก็เป็น

“คิดถึงกันพบพานกันเพื่อการใด เพลานี้ค่ำคืนนี้ยากทำใจ”

อีก 3-5 วันก็เป็น

“อาภรณ์ค่อยคลายมิเสียใจ เพื่อเจ้าไซร้ผ่านวันคนซูบเซียว”

เนื่องจากกระดาษที่ใช้เขียนกลอนเหล่านี้ใช้จุดไฟได้ดีมาก ศิษย์พี่สิบสามที่ได้รับแบ่งหน้าที่ให้รับผิดชอบเรื่องเตาไฟจึง
รวบรวมมันแต่ละแผ่นๆ ไปจนหมดเพื่อใช้เป็นเชื้อไฟ ข้าเองเคยพยายามปกป้องเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน จนใจ
ที่ศิษย์พี่สิบสามพูดว่า

“เจ้าอยู่บนเขานี้วันทั้งวันไม่เคยทำงานเพาะปลูกอะไรเลย เอาแต่รอกินข้าวอยู่เฉยๆ  ครั้งนี้อุตส่าห์มีเศษกระดาษเข้ามาใน
บัญชีนิดหน่อยทั้งที กลับขี้งกถึงเพียงนี้”

ทำเอาข้าพูดไม่ออกทันที

ตอนนั้นข้าอายุยังน้อย แม้จะคลุกคลีตีโมงอยู่กับพวกผู้ชายทั้งวัน แต่โชคดีอย่างมหันต์ที่ยังพอจะมีความคิดจิตใจของเด็กสาว
อยู่บ้าง

แม้จะไม่เคยตอบจดหมายกลอนของหลีจิ้งแม้แต่คำเดียวก็ตาม เขากลับมีความอดทนสูงยิ่ง โดยยังคงใช้กิเลนไฟตัวนั้น
มาส่งจดหมายอย่างสม่ำเสมอ ข้าจึงถูกความมุ่งมั่นของเขาทำให้นึกตื้นตันหวั่นไหวขึ้นมาบ้างแล้ว

อยู่มาวันหนึ่ง กิเลนไฟได้ส่งกลอนมาสองวรรค ใจความว่า

“ฟ้าดินยืนนานมีวันสิ้น แค้นนี้ต่อเนื่องไร้วันสุด”

ข้าตกใจสุดขีด นึกว่านี่คือจดหมายลาตาย ท่าทางเขาเหมือนคิดสั้นจะไปฆ่าตัวตายอย่างไรอย่างนั้น ข้าจึงขึ้นขี่กิเลนไฟ
คิดจะลอบเข้าไปในวังต้าจื่อหมิงกงเพื่อเตือนสติเขา กิเลนไฟกลับพาข้ามุ่งตรงไปยังถ้ำแห่งหนึ่งตรงเชิงเขา

ถ้ำนั้นเป็นถ้ำธรรมชาติ ถูกเก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก หลีจิ้งนอนเอียงอยู่บนแท่นนอนหินนั่นเอง

ข้าไม่รู้ว่าเขาตายหรือเป็น รู้สึกเพียงผืนฟ้าได้ถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง รีบกระโดลงจากหลังกิเลนไฟตรงเข้าไปเขย่าตัวเขา

เขย่าแล้วเขย่าอีก เขย่าแล้วเขย่าอีก เขากลับไม่ฟื้นขึ้นมาจนแล้วจนรอด ข้าจนแต้มเข้า จึงได้แต่งัดศาตราวุธวิเศษออกมา

หลังฟ้าแลบฟ้าผ่าพายุคลั่งผ่านพ้นไป ข้าลองหมดทีละอย่างจนครบแล้ว เขากลับยังคงไม่ตื่น

กิเลนไฟทนดูต่อไปไม่ไหว จึงชี้แนะว่า

“อาวุธวิเศษนั่นฟาดลงใส่ตัวก็ทำให้เจ็บได้แค่เนื้อหนังเท่านั้น ซ่างเซียนลองพูดกระตุ้นจิตใจที่เปราะบางขององค์ชายดูเถิด
องค์ชายอาจจะฟื้นคืนสติมาก็เป็นได้”



ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพูด...พูดประโยคนั้นออกไป

“เจ้าตื่นขึ้นมาเถิด ข้ารับปากเจ้าก็ได้”

หลีจิ้งลืมตาขึ้นจริงๆ แม้จะถูกพัดจีบแพรของข้าย่ำยีอย่างอนาถ ก็ยังคงยิ้มร่าหน้าบาน พูดว่า

“อาอิน รับปากข้าแล้วห้ามเปลี่ยนใจนะ มาประคองข้าหน่อยสิ ข้าถูกพัดวิเศษนั่นของเจ้าตีเสียจนกระดูกจะหลุดออกจากกัน
ไปหมดแล้ว”

ข้าเพิ่งจะรู้ในตอนนี้เองว่านี่เป็นแผนการ

ในกาลต่อมาพี่ใหญ่ได้บอกข้าว่า แผนการในเรื่องความรักนั้นไม่อาจนับว่าเป็นแผนการได้ เป็นการเล่นกับหัวใจเท่านั้น การ
เล่นกับหัวใจในเรื่องความรักเองก็ไม่นับว่าเป็นการเล่นกับหัวใจ แค่เป็นแผนการเท่านั้น

หลังจากผ่านการช้ำใจมาหนึ่งครั้ง ข้าเห็นว่าคำพูดของพี่ใหญ่มีเหตุผลอย่างยิ่ง แต่บังเอิญว่าตัวข้าในตอนนั้นกลับไม่ได้
ตระหนักในความซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลากหลายรสชาติของมัน

หลีจิ้งได้สลายตัวบรรดาฟูเหรินในตำหนักบรรทมไปจนสิ้น ข้าจึงคบหากับเขา ตอนนั้นเป็นเวลาเดือนสี่ของโลกมนุษย์พอดี
ดอกท้อบนเขากำลังบานสะพรั่ง

เนื่องจากหลีจิ้งจีบข้าสำเร็จแล้ว จึงไม่ได้ส่งกลอนช้ำรักมาให้อีก ศิษย์พี่ใหญ่กลับเข้าใจผิดคิดว่าในที่สุดหลีจิ้งก็หมดความ
อดทน จึงอารมณ์ดีอย่างมาก บทเรียนวิชาเซียนของพวกเราจึงพลอยได้รับอานิสงส์ลดน้อยลงไปพะเรอ ด้วยเหตุนี้ทุกคน
จึงต่างสุขสำราญบานใจ

เนื่องจากหลีจิ้งยังคงนึกอยากจะเอาคืนกับการอัดอย่างหนักมือของศิษย์พี่ใหญ่ในตอนนั้น ดังนั้นถึงแม้จะพักอยู่ที่เชิงเขา
เขาก็ไม่ได้ขึ้นเขามาอีก ด้วยเหตุนี้ในแต่ละวันหลังจากเรียนวิชาทำการบ้านเสร็จ และไปรายงานที่หน้าถ้ำของม่อเยวียน
เรียบร้อยแล้ว ข้ายังต้องตระเตรียมตัวลงจากเขาไปนัดพบกับหลีจิ้งอีก กล่าวได้ว่าวันเวลาผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อยกับ
กิจวัตรพวกนี้มาก

หลีจิ้งจับจุดอ่อนและเอาอกเอาใจเก่งมากอย่างสมแล้วที่ลุยผ่านดงบุปผามา ในตอนนี้ข้าก็ยังจำได้ว่า เขาเคยให้ของเล่น
น่ารักน่าเอ็นดูเล็กๆ น้อยๆ แก่ข้ามากมาย จิ้งหรีดสานจากหญ้าซัวเฉ่า[2] ขลุ่ยสั้นทำจากไผ่มรกต ทั้งหมดเขาลงมือทำ
ด้วยตัวเองทั้งนั้น เป็นที่ถูกใจข้าอย่างมาก แม้ว่าการที่ของพวกนี้ไม่มีราคาค่างวด จะทำให้อดนึกเสียดายอยู่บ้างไม่ได้ก็ตาม

หลีจิ้งยังเคยให้ดอกแตงกวาที่ผลิบานอยู่บนเถาแตงกวาข้าหนหนึ่ง ตอนที่ยังอยู่ในวังต้าจื่อหมิงกง เยียนจือเคยบอกข้าว่า
พี่ชายของนางคนนี้เป็นโรคตาชนิดหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก โดยจะแยกสีเหลืองกับสีม่วงไม่ออก ในสายตาของเขา สีเหลืองกับ
สีม่วงจะเป็นสีชนิดเดียวกัน และสีชนิดนี้กลับเป็นสีประหลาดแตกต่างออกไปที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเข้าใจได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่มอบดอกแตงกวานั้นให้ข้า เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าดอกไม้นี้คือดอกไม้เรืองนามที่งดงามเป็นเอกในหล้า
ข้าย่อมจะไม่ถือสาหาความเขาแต่อย่างใด จะอย่างไรดอกแตงกวาก็คือดอกไม้นั่นแหละ ดังนั้นข้าจึงนำมันไปตากแห้ง
แล้วสอดเอาไว้ในตำราวิถีแห่งเต๋าเล่มหนึ่งเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี


___________________________________________


[1] เก้าอี้ไท่ซือ (太师椅 : taishiyi : ไท่ซืออี่) เก้าอี้แบบมีพนัก (ดูรูปประกอบ)

[2] หญ้าซัวเฉ่า (莎草 : suocao) คือหญ้า Cyperus microiria (ดุรูปประกอบท้ายเล่ม)

จากคุณ : Linmou
เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 08:57:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com