Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
......ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๒๓.....  

ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๑ - ๒๒

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=07-2009&date=17&group=16&gblog=1
.....................................................................................................................................................



                                               บทที่ 23


            โรงพยาบาลนี้แออัดเกินไป หากคุณสุเทพตกลงใจ เธอจะให้ย้ายไปแอดมิดในโรงพยาบาลแถวซอยศูนย์วิจัยแทน เพราะคุณวิชชุลดาเข้าใจดี ว่าสุขภาพกายต้องสัมพันธ์กับสุขภาพจิต หากจิตใจไม่แข็งแรงปลอดโปร่ง ร่างกายก็จะพลอยไม่กระชุ่มกระชวยไปด้วย

เธอไม่ค่อยได้ผ่านมาแถวนี้ ถนนคับแคบแถมยังแบ่งเป็นช่องเฉพาะสำหรับรถมวลชน หงุดหงิดนิดหนึ่งที่พลาดนำรถคันใหญ่มาใช้ อีกทั้งการมาเพียงแค่ตนกับคนขับ ทำให้จำนวนคนในรถ ไม่เพียงพอจะเลี้ยวเข้าไปในถนนบางสาย เพราะกฎหมายกำหนดเอาไว้ บางถนนพวกนั้น ต้องมีคนนั่งมาด้วยกันตั้งแต่สี่คนขึ้นไป

เสียงโอดโอยครางเครือนั่นไม่เจริญหู ความคับคั่งของผู้คนก็ไม่เจริญตา ทั้งไอเสียและมลภาวะจากความคับแคบ จากถนนด้านหน้าที่รถติดตลอดเวลา ย่อมล้วนไม่ชวนให้สุขภาพจิตของคนไข้ดีขึ้นมาได้เลย

ผู้คนเบาบางลงบ้างเมื่อมาถึงส่วนของอาคารผู้ป่วยใน เด็กสาวคนนั้นยังมีแก่ใจ แม้จะใจลอยเดินไม่ระวัง ก็ยังรู้จักยับยั้งขอโทษ ซึ่งน้อยนักที่คุณวิชชุลดาจะได้เห็น ที่หญิงสาววัยนี้หากเบียดกระทบกันโดยบังเอิญ แล้วจะหันมาขอโทษขอโพยอย่างเต็มใจ

คุณวิชชุลดาแต่งตัวเรียบร้อยมาตามมรรยาท แม้จะต้องพบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้าในทางธุรกิจมานักต่อนัก แต่ครั้งนี้เธอตื่นเต้นเป็นพิเศษ อาจจะถึงกับไม่มั่นใจว่าจะเดินหน้าต่อไปดีไหมเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหมายเลขห้องที่ระบุชื่อไว้แน่ชัด เธอก็กลับไม่แน่ใจว่าจะทำตัวอย่างไรถึงจะเหมาะสม

หากจะนับกันตามพฤตินัย ความสัมพันธ์ของเธอกับภพสรวง ก็จะทำให้คนในห้องกลายเป็นบิดามารดาของสามี ซึ่งนั่นยากนักที่จะนับศักดิ์กันเช่นนี้ เพราะคุณวิชชุลดาค่อนข้างแน่ใจ พ่อแม่ของภพสรวงคงอายุมากกว่าตนเพียงไม่กี่ปี

คุณอัปสรคงเห็นใครมาหยุดยืนอยู่ตรงช่องกระจกเล็กๆ ที่ประตู สอดส่องมองเข้ามาเหมือนไม่แน่ใจ หรือไม่ก็เหมือนกำลังมองหาใครสักคน

เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นยังไม่ได้เคาะเรียก และมองว่าสามียังทำท่าตึงๆ ค้างอยู่กับการเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่ เลยตัดสินใจลุกเดินมาเปิดประตู แล้วยืนคาอยู่แค่ตรงนั้น

“สวัสดีค่ะ ดิฉันมาเยี่ยม”

คุณวิชชุลดาถอยไปสองสามก้าวด้วยอดประหม่าไม่ได้ ก่อนจะยกมือไหว้ทักทาย

อีกฝ่ายรีบรับไหว้แทบไม่ทัน ยิ่งเห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวของสตรีแปลกหน้า ก็ยิ่งรู้สึกกระดากใจพิกล

“คุณสุเทพ...”  คนมาเยี่ยมพยักเข้าไปในห้อง ยิ้มให้กับคนที่จ้องมองมานิดหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเอ่ยกับคนตรงหน้า “คุณอัปสรใช่ไหมคะ ดิฉันวิชชุลดา... เป็น... เอ่อ!... เป็นเพื่อนกับภพสรวงน่ะค่ะ”

รูปร่างของคนที่เพิ่งกล่าวอ้างว่าเป็นเพื่อนกับลูกชายตนนั้นสูงระหง และโค้งเว้าเข้ารู้จนคำนวณอายุได้ยาก หากจะว่าเธอแต่งตัวสมวัย สุภาพสตรีผู้นี้ก็คงจะเป็นแค่ “รุ่นน้อง” แล้ว... จะไปเป็นเพื่อนกับภพสรวงได้อย่างไร

คุณอัปสรคงทำหน้าไม่แน่ใจ จนคนมาเยือนต้องย้ำให้กระจ่าง

“ดิฉันมีเรื่องจะมาปรึกษา เชิญข้างนอกดีกว่าไหมคะ”

คุณวิชชุลดาเอ่ยเชื้อเชิญ โดยยังเลี่ยงคำแทนตัวคนที่พูดด้วย เพราะยังไม่กล้าตัดสินใจว่าจะใช้คำเรียกหากันอย่างไร

คนถูกเชิญลังเลนิดหน่อย หันกลับไปมองผู้เป็นสามี เมื่อเห็นว่าทำท่าหลับสบายไปแล้ว จึงค่อยเลื่อนตัวออกมาจากกรอบประตู

“ดิฉันพบกับภพสรวงเขาที่โน่น เห็นว่าตั้งอกตั้งใจเรียนดี แล้วก็ใกล้จะเรียนจบ เลยให้เขาช่วยงานทางโน้นนิดหน่อย”

คนเอ่ยขึ้นก่อนค่อนข้างพอใจ ที่ตนเริ่มบทสนทนาได้แยบคายดีพอสมควร

“ไหนคุณบอกว่าเป็นเพื่อนไงคะ”

ส่วนน้ำเสียงของคุณอัปสรก็สุภาพ เพียงแต่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

“ก็... คนไทยที่โน่น นับถือกันเป็นเพื่อนพี่น้องกัน มากกว่าจะเป็นนายจ้างลูกจ้างน่ะค่ะ”

คุณวิชชุลดาต้องกล้อมแกล้มตอบคำ จะจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ตอบอย่างนี้ก็น่าจะกลางๆ ที่สุดแล้ว

“ตาจ๋อมเขามา เอ้อ... ภพสรวงน่ะค่ะ เขากลับมาบอกว่าจะช่วยแก้ปัญหาในบ้านให้ทั้งหมด”

“เรื่องการเงินน่ะหรือคะ”

แม้คุณอัปสรพยายามเลี่ยงคำนั้น แต่คนมาเยือนก็ยิงตรงเข้าจนได้

“นี่ละค่ะ ที่ว่าจะมาคุยกับคุณอัปสร”

มารดาของภพสรวงนิ่งไปอีกพักหนึ่งอย่างไตร่ตรอง

ผู้หญิงตรงหน้า เต็มเปี่ยมด้วยมาดของกุลสตรี ราศีจับขนาดนี้ น่าจะเป็นแม่เหย้าแม่เรือนหลังบ้านนายพลหรือรัฐมนตรี หรือไม่ก็เป็นภรรยามหาเศรษฐีมากกว่าจะเป็นนักธุรกิจระหว่างประเทศ หรือถ้าหากเป็นนักค้านักขายจริง สถานะของภพสรวงก็ต้องสำคัญพอสมควร เธอถึงต้องมาเจรจาด้วยตนเอง

“ที่จริงภพสรวงก็ยังเด็ก!!”

คำนี้ สุภาพสตรีทั้งสองแทบจะเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

“คง... ช่วยการงานอะไรคุณไม่ได้มาก”

จนเป็นคุณอัปสรที่ต้องออกตัวให้ลูกชาย

“เขาเก่งค่ะ รู้คิดรู้ทำ รู้การรู้งานดี คงเพราะอยู่ที่โน่นหลายปี มีเพื่อนฝูงทั้งที่เรียนที่ทำงาน รู้จักคนไทยด้วยกันเยอะ ตรงนั้นละค่ะที่สำคัญ เพราะดิฉันยังใหม่มากกับตลาดที่โน่น กับยังต้องนำเข้าส่งออก นักเรียนพวกนั้นคุณพ่อคุณแม่เขาก็มีธุรกิจต่างๆ กัน ภพสรวงจะช่วยวิ่งเต้นเชื่อมโยงให้ได้น่ะค่ะ”

ฟังๆ ไปเหตุผลของคนตรงหน้าก็เข้าเค้า แต่บางอย่างยังติดใจคุณอัปสร

“ที่จริงเขาก็น่าเอ็นดู หัวอ่อนเข้ากับใครก็ได้ แต่จะอ่อนไปในทางธุรกิจหรือเปล่าล่ะคะ”

แม้ปากจะถามไปทางนั้น แต่ใจนึกไปอีกทางเสียมากกว่า ก็ข่าวสังคมทุกวันนี้ตีพิมพ์กันออกหรา ไฮโซสาวใหญ่เลี้ยงต้อยหนุ่มวัยกระเตาะ ใช้โซ่ทองคล้องแขนขาล่ามไว้บนเตียง มีหน้าที่กินกับนอน แล้วแต่ว่าคนชุบเลี้ยง จะสั่งให้นอนท่าไหน หรือกินของสดของคาวอะไรก่อนหลัง

“ภพสรวงเขาสุภาพ น้ำใจดี คงต้องสอนเรื่องชั้นเชิงกันอีกพอสมควร แต่พื้นฐานเขาดีอยู่แล้ว จะรับอะไรเข้าไปก็ไม่ยาก”

“แต่เขากลับมาเสียก่อนจะเรียนจบ ไม่ทราบว่ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าคะ”

นั่นอย่างไรที่ขัดใจ พอนึกได้หางเสียงของคุณอัปสรก็เข้มขึ้นเล็กน้อย และท่าทางอีกฝ่ายก็คงจะจับน้ำเสียงนั้นได้ จึงต้องรีบไล่เรียงลำดับเรื่องราวให้ฟัง

“คืออย่างนี้นะคะ ดิฉันพบกับภพสรวงเมื่อหลายเดือนก่อน คุยกันถูกอัธยาศัย ก็เลยให้เขามาช่วยดูแลงานที่ร้าน เพราะดิฉันยังต้องบินไปๆ มาๆ เขาก็ดูแลได้ไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะเรื่องของความซื่อสัตย์...”

คุณวิชชุลดาหยุดนิดหนึ่ง เพื่อให้คำสุดท้ายได้ทำหน้าที่ของมันได้นานพอ

“นั่นละค่ะ จะว่าดิฉันลองใจก็ได้ แต่ก็ได้เห็นกันแล้วว่า เขาไว้ใจได้ ก็เลยตกลงทำสัญญากัน คุยกันได้ประมาณหนึ่งแล้ว พอดิฉันรู้ว่าเขาเป็นห่วงเรื่องทางบ้าน ก็เลยจัดให้เขามาดูงานทางเมืองไทยเสียด้วยเลย ส่วนเรื่องทางครอบครัวนี่ก็ตกลงกันว่าจะทำเป็นสัญญาอีก...”

“แต่ภพสรวงเขาไม่ได้มาเล่าให้ฟังอย่างนี้นี่คะ”

แม้เสียงแทรกขัดขึ้นจะสุภาพที่สุด ทว่าคนพูดค้างยังใจหายวาบ

มีเรื่องไหนประโยคไหนอีกละหรือ ที่แฟนหนุ่มยังไม่ได้เล่าให้ตนฟังก่อนจะต้องออกมาถึงที่นี่




แม้จะงามจับตา แต่พอก้าวเข้ามาในลิฟท์ ก็เรียกได้ว่าพรสวรรค์สามารถทิ้งสุภาพสตรีผู้นั้นไว้ได้ตั้งแต่ที่เดินชนกัน เพราะในใจยังมีเรื่องให้กังวลอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องตรงหน้า ระหว่างพ่อกับพี่ชาย ที่ไม่รู้ไปโกรธเคืองตัดเป็นตัดตายกันตั้งแต่เมื่อไร นั่นยิ่งทำให้ต้องคิดหนัก

และก็รู้สึกว่าเหมือนฟ้าจะถล่ม เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก แล้วเงยขึ้นมาเห็นรัชพลยิ้มร่าหน้าบาน มันช่างไม่เข้ากันกับอารมณ์ของเธอที่เป็นอยู่ขณะนี้เลยจนนิดเดียว นี่ละที่ทั้งน่าหมั่นไส้ทั้งน่ารำคาญ คนอะไรไม่เคยมาถูกกาละเทศ ไม่เคยดูตาม้าตาเรือ กระทั่งจะรู้จักสำรวจอารมณ์ของคนที่ตนกำลังเพียรขายขนมจีบ สักนิดก็ไม่มี

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณแจ๋ม”

เสียงระรื่นไม่ทุกข์ร้อน ยิ่งทำให้เครียดจัด พรสวรรค์เลิกนึกถึงมรรยาท เดินผ่านคนทักทายไป ราวกับอยากจะเลี่ยงผู้ป่วยระยะแพร่เชื้อ

คนไม่ละความพยายามยังตามติด พยักพเยิดให้คนสองข้างทาง เป็นท่าทางให้รู้ว่าคู่ตุนาหงันเขากำลังงอนง้อกันเป็นการส่วนตัว

“ผมตั้งใจจะมา...”

“คุณพ่ออยู่ข้างบน อยากจะขึ้นไปเยี่ยมก็เชิญ”

น้ำเสียงตัดรอนจริงแท้ แต่อีกฝ่ายจะแยแสก็หาไม่

“ผมตั้งใจจะมาชวนคุณไปทานข้าวกลางวัน”

พรสวรรค์ยังเดินตรงไปอย่างไม่ไยดี รู้สึกว่าเสียงเรียกหาคนไข้ให้ไปที่ช่องจ่ายยาแล้วรับเงิน หรือช่องจ่ายเงินแล้วรับยานั่น น่าสนใจกว่าหลายเท่า

“ตรงศรีย่านมีร้านอร่อย เป็นร้านริมแม่น้ำ ถัดจากนี่ไปไม่ไกล”

คนก้าวฉับๆ จำเป็นต้องหยุด ไม่ใช่เพราะสนใจข้อเสนออะไรนั่น แต่เป็นเพราะมาถึงสุดริมทางเท้า แล้วพรสวรรค์ก็หันไปจ้องหน้าคนเดินตามติด ว่าอย่าได้คิดจะเข้ามาใกล้ชิดกว่านี้

พอรัชพลหยุด พรสวรรค์ก็หันกลับไปเตรียมจะข้ามถนน ระวังตัวว่าแค่ถนนพอโล่งก็ต้องรีบข้าม เพราะทางม้าลายเมืองไทยเป็นแค่เครื่องหมาย “ระวังรถ” มิได้หมายถึง ให้คนขับหยุดรถเมื่อมีคนก้าวมายืนรอบนเครื่องหมายนั้น ตามหลักสากลนิยม

พอได้จังหวะปุ๊บหญิงสาวก็วิ่งข้ามไปได้ปั๊บ ทิ้งให้ชายหนุ่มในสูทชุดสวยยังละล้าละลังอยู่กลางแดดเปรี้ยง ท่าทางเงอะงะเงยแหงนนั้น คงจะมองหาสัญญาณไฟให้ข้ามได้ พรสวรรค์เห็นแล้วก็นึกเวทนาระคนอดสูใจอยู่ไม่น้อย ก็ถนนแค่สามสี่เลน วิ่งปรู๊ดเดียวก็ผ่านพ้น แต่คนใจเสาะยังไม่กล้า

หรือเธอต้องข้ามไปรับ...

ก็จะต้องไปรับทำไมเล่า ในเมื่ออยากจะหนีเขาไปเสียให้พ้นๆ

แต่มนุษยธรรมในใจก็ยังเตือน ถ้านายบื้อนั่นต้องบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาเพราะติดตามเธอ ผู้เห็นเหตุการณ์แถวนี้คงไม่ยอมให้อภัย

“จะบ้าเหรอคุณ! มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นสิ”

พรสวรรค์ต้องตะโกนข้ามถนนกลับไป

“ก็ผมจะไปกับคุณ”

ฝ่ายโน้นตะโกนกลับมา ตอนนี้เหงื่อเริ่มชุ่มหน้า พอถอดสูทตัวนอกออก เธอก็ได้เห็นว่าเสื้อตัวในก็ชุ่มน้ำไม่แพ้กัน

“ฉันจะไปตาย จะไปด้วยหรือยังไง”

คนรำคาญจัดก็เริ่มร้อน เลยประชดประชันแดกดันกลับไปสุดเสียง

“อย่านะ อย่าคิดสั้น เรื่องแค่นี้เอง”

“ปั๊ดโธ่เว้ย! ผู้หญิงเค้ารังเกียจตัวเองน่ะรู้บ้างไหม”

รัชพลได้ยินคำนี้คงจะดี แต่รถเมล์เจ้ากรรมดันตะบึงเข้ามาบังเสียได้

“คุณว่าอะไรนะ”

พอรถประจำทางคันใหญ่ติดโฆษณาพราวทั้งคันเคลื่อนพ้นไป เขาก็ตะโกนถามมาทันที แต่คนอีกฝั่งถอดใจ ไม่อยากจะเจรจาด้วยเสียแล้ว เลยไม่ตอบโต้

ถ้าเป็นปรมัตถ์เขาคงตามเธอมาติดๆ รายนั้นไม่ได้สำอางเหมือนรายนี้ เผลอๆ จะวิ่งไปยืนกั้นรถ ทำเป็นสุภาพบุรุษกลางถนนให้เสียอีก

แต่ตาน้องชายยังข้ามมาไม่ได้ ดูเถอะ สักแต่ว่าร่ำรวย แค่ทักษะชีวิตขั้นพื้นฐาน สักนิดก็หามีไม่ การวิ่งข้ามทางม้าลายบนถนนสายแคบๆ นี่ เด็กกรุงเทพเขาต้องฝึกกันตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาล

ส่วนแท็กซี่เจ้ากรรมนั้น เวลาต้องการจริงๆ กลับไม่ค่อยจะมีคันที่ว่างๆ ให้โบก อาจเพราะเป็นเวลาพักเที่ยง ในหลายคันจึงมีหลายคนนั่งอัดๆ กันผ่านไป

จนคนกลุ่มใหญ่พากันข้ามมาโดยไม่กลัวรถ รัชพลจึงอาศัยเกาะกลุ่มคนพวกนั้นมาได้

“คุณแจ๋มใจร้ายกับผม”

“ฉันไม่เคยใจดีกับใคร”

พอเห็นความพยายามแล้ว ก็จำเป็นต้องคุยด้วย แต่ขนาดคิดว่าพูดตรงๆ ไปขนาดหนัก ยังถูกรัชพลย้อนเอาได้อีก

“ทีกับพี่ปอล่ะ”

พรสวรรค์หน้าร้อนวูบ ยิ่งพอได้ยินประโยคถัดมา ยิ่งชาไปถึงใบหู

“เมื่อคืนยังยอมให้มาด้วย”

“คุณไปเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่...”

เธอค่อนข้างแน่ใจ รัชพลต้องถูกนภากับภาสกรรั้งเอาไว้แน่ๆ

“แล้วอีกอย่าง ถึงฉันจะยอมใจดีกับใคร มันไปเกี่ยวอะไรกับคุณ”

ตอนพูดคำนี้ พรสวรรค์ยังนึกไปถึงตอนที่ตนเอาแก้มไปชนกับจมูกของปรมัตถ์ นั่นอาจจะถือว่าเป็นการปรานี หรือจะถือว่าเป็นการใจดีก็ได้กระมัง ที่ไม่โวยด่าให้เปิดเปิงไปตั้งแต่เดี๋ยวนั้น

“ก็เมื่อกี้คุณว่าไม่เคยใจดีกับใคร”

คราวนี้รัชพลยิ้มอย่างผู้มีชัย ที่จับการกลับคำของหญิงสาวเอาไว้ได้

“รู้แล้วละ ว่าทำไมผู้หญิงคนไหนๆ ก็จะไม่สนใจคุณ ก็เพราะไอ้การคอยจ้องจะจับผิดนิดผิดหน่อยนี่น่ะ ขนาดผู้หญิงด้วยกันเขายังไม่ทำด้วยซ้ำ”

พรสวรรค์ไม่รู้ว่าหมิ่นประมาทน้ำใจกันขนาดนี้แล้ว รัชพลยังจะทนสู้หน้าอยู่ได้อย่างไร เป็นเธอเสียอีกที่รู้สึกละอายแก่ใจแทน จึงตัดสินใจกระโจนเข้าไปในแท็กซี่คันหนึ่งที่ชะลอลง เพราะมือที่เธอยังคอยโบกเรียกไม่ได้หยุด

แล้วก็ล็อกประตูทันที เพราะกลัวว่ารายนี้จะบ้าบิ่นเหมือนอย่างที่ปรมัตถ์เคยกระทำ

พรสวรรค์หันกลับไปมองเพียงนิดเดียว แล้วก็เลิกสนใจ

พอผ่านเรื่องไร้สาระกับนายรัชพลมาได้ ความกลัดกลุ้มต่างๆ นานาก็ประดังเข้ามาอีกครั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะนายคนที่ชอบอวดรวยนั่นก็ได้ ที่ทำให้พรสวรรค์ต้องหวนคิด นอกจากเขาแล้วจะมีใคร ที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องสำคัญ

เมื่อคืน ที่อีตาบ้านั่นกระโดดขึ้นมานั่งเคียง ยังไม่ทันจะได้พูดจามีแก่นสารอะไร ก็มีเหตุให้ต้องพลอยเลิกมองหน้ากันไปเสียก่อน เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าปรมัตถ์พูดอะไรออกมาบ้างตอนอยู่บนรถ

คลับคล้ายวจะมีคำขอโทษ หรือจะมีคำอะไรอื่นอีกก็สุดจะจดจำ

เพราะแก้มที่เกือบช้ำนี่ยังรู้สึก ความทรงจำตรงนั้นทั้งหมดคงหดหาย ด้วยว่าอยากจะลืมเรื่องราวเมื่อคืนมันเสียให้หมดสิ้น

ส่วนอีกคนที่เป็นตัวปัญหา ก็พี่ชายตัวดีนั่นไง มีหน้ามาคุยว่าจะดูแลค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด แต่ป่านนี้ยังไม่โผล่มาให้เห็น บ้านก็อยู่ตรงนั้น ร้านก็อยู่ตรงนี้ นอกจากจะไม่กลับไปที่บ้านแล้ว กระทั่งที่ร้านยังไม่ไปเหลียวแล

นึกไปก็น่าน้อยใจไม่ใช่เล่น แล้วเธอจะยุดยื้ออยู่คนเดียวไปเพื่ออะไร

ทางคุณพ่อคุณแม่ก็ตัดใจแล้วแท้ๆ ว่าถ้าจำเป็นก็ต้องขาย แม้จะขายไม่ได้ราคา ก็ดีว่าจะให้หนี้สินมันทับถม ให้เงินทองมันจมอยู่กับทรัพย์สินอันตกอยู่ในที่อับสัญจรเช่นนั้น

พรสวรรค์นึกท้อขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เพราะก็บอกตัวเองได้บ้างแล้วแท้ๆ ว่าสามารถรักษาร้านเทิร์นนิ่งพ้อยท์ไว้ได้ แต่บิดาก็ดันมาล้มเจ็บ แถมยังลามเลยไปจนถึงต้องผ่าตัดใหญ่ ต้องใช้เงินอีกเป็นจำนวนไม่ใช่น้อยๆ แล้วจะไปหามาจากไหน

ไม่อยากจะนึกไปถึงปรมัตถ์เลยสักนิด เพราะคิดขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นต้องได้รู้สึกร้อนผ่าวที่ข้างแก้ม แต่อีตานั่นก็... คนอื่นเขาล้วนยกให้เป็นทายาทมหาเศรษฐี ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำท่าเหมือนอย่างกับคนมั่งมีทั่วไป ถ้าคิดจะไปขอความช่วยเหลือกันก็คงยาก อย่าว่าแต่จะใส่ใจเรื่องการเงินการงานของคนอื่นเลย ขนาดสมบัติของตัวเองแท้ๆ ยังไม่ค่อยหืออือ

พรสวรรค์ต้องพยายามทบทวนให้ดี ไม่ยอมให้อารมณ์ผ่าวร้อนในตอนนั้นเข้ามาครอบงำจนมึนมัว ค่อยๆ ไล่เรียงไปจนได้เค้าเลือนๆ ปรมัตถ์บอกว่ามีเรื่องจะพูดด้วย เรื่องอะไรสักอย่างที่จะต้องสำคัญ

“เรื่องร้านไงล่ะ!”

พอนึกออกเธอก็โพล่งออกมา จนคนขับถึงกับหันมามองอย่างเคืองๆ

“เฮอะ!... มีหรือที่คุณพรสวรรค์คนนี้จะยอมเสียฟอร์ม ไม่มีซะละที่จะซุกซุนไปหา ให้เหมือนนกกาที่ไร้ไม้ใหญ่ให้พึ่งพิง”

พอนึกถึงเทียบไปถึงวิหคนกกา พรสวรรค์ก็พลันนึกถึงนางนกต่อตัวใหญ่ขึ้นมาได้

พี่นภานั่นไง

เจ้ากี้เจ้าการจะสานสัมพันธ์กันดีนัก

เห็นทีจะต้องยัดเยียดตำแหน่งทูตสันถวไมตรีให้สักหน่อย




ตั้งแต่คืนแรกนั่นแล้ว ที่วารินทร์ไม่เคยเยี่ยมกรายเข้าไปหาปรมัตถ์ถึงในห้องอีกเลย กระทั่งวันนี้ แม้ห้องพักของปรมัตถ์จะอยู่แค่ฝั่งตรงกันข้าม แต่วารินทร์ก็ยังทำเหมือนใจแข็ง นัดให้เขาออกมาพบเธอที่ร้านนี้

วารินทร์ยิ้มเนือยๆ ให้กับ “ป๋า” เจ้าของร้านเรอดังรัก แล้วก็แทบจะหุบยิ้มเสียในทันทีที่มองไปเห็นปรมัตถ์กำลังนั่งรออยู่แล้ว

คนมาก่อนลุกขึ้นเชื้อเชิญ แต่เธอกลับรู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมด

ปรมัตถ์แต่งตัวสุภาพด้วยเสื้อโปโลสีจืด แม้กางเกงยีนสีเข้มจะแน่นเนื้อ แต่ก็ไม่ได้ชวนมองเสียแล้วในความรู้สึก ไม่ใช่เพราะเธอตระเวนไปพบเจอใครต่อใครตามคำแนะนำของรัชพลมาหลายคืนติดๆ กัน แต่ก็อธิบายได้ไม่แน่ชัด ว่าเหตุไรจึงรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับผู้ชายรูปงามตรงหน้าได้ถึงขนาดนี้

“กินอะไรมาหรือยัง สั่งเลยนะวา”

คนถามส่งเสียงซื่อ ดวงตาไร้วี่แววของเล่ห์กล ไม่เหลือความกลิ้งกลอกแพรวพราวเหมือนอย่างตอนที่คบหากันใหม่ๆ

“เก็บเงินไว้เลี้ยงตัวเองไม่ดีกว่าหรือคะ หรือมื้อนี้จะให้วาเลี้ยงก็ได้”

วารินทร์ประชดเข้าให้ เพราะยังขัดใจกับเรื่องมรดก

“มื้อนี้ผมเลี้ยงวาก่อนก็แล้วกัน ไว้มื้อหน้าวาค่อยเลี้ยงไง”

ดูเถอะ เหมือนเขาจะยอมรับกลายๆ ด้วยซ้ำ ว่าตัวเองยากจนลงในชั่วเวลาข้ามคืน

แล้วปรมัตถ์ก็สั่งเมนูโปรดมาให้วารินทร์รับประทาน ทั้งน้ำส้มคั้นสดที่เจือแอลกอฮอล์ไว้นิดหน่อย สลัดน้ำใสจานเล็กๆ กับซุปใสๆ อีกถ้วย แล้วก็สั่งข้าวผัดไก่ให้กับตัวเอง

วารินทร์ตาวาวกับเมนูเหล่านั้น โดยเฉพาะแค่ข้าวผัดหนึ่งจาน ในร้านเรอดังรักเนี่ยนะ!

“เรื่อง... เรื่องที่คุณคุยกับพล วาไม่เห็นด้วยเลยนะคะ”

กระทั่งตัววารินทร์เองยังรู้สึก ว่ายากจะพูดจาให้น้ำเสียงอ่อนหวานเหมือนเช่นเคย

“ทำไมล่ะคะปอ ถึงไม่ได้อยากจะเอาทรัพย์สินนั่นมาหมุนเวียนลงทุนอะไร แต่แค่ปล่อยให้อยู่ในธนาคารเฉยๆ ดอกเบี้ยที่ได้ก็ใช้แทบไม่ทันอยู่แล้ว”

“นั่นละ ผมถึงอยากคืนเขาไปให้หมด อยู่กับผม มีชื่อผมค้ำอยู่ มันก็ไม่ได้เจริญงอกงามอะไร ผมมีอยู่มีกิน สบายดีอยู่แล้ว”

สีหน้าของปรมัตถ์ยังเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น

“แล้ว... โธ่ปอ!  วาก็สู้ดั้นด้นกลับมาหาคุณนะคะ”

จนวารินทร์ต้องเป็นฝ่ายแสดงความน้อยอกน้อยใจขนาดหนักเสียเอง

“กลับมานี่ ก็หวังจะได้กลับมาหา...”

“ผมอาจจะไม่เหมือนก่อนแล้วก็ได้นะวา ตอนนั้นมันทรมาน นานอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ผ่านไปแล้ว”

“แต่วาไม่เคยลืม”

“ผมก็ไม่”

เสียงของปรมัตถ์หนักแน่น พอจะทำให้วารินทร์ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“วา... วาเพียงแต่อยากให้ปอนึกถึงอนาคตของเราสองคน”

“งั้นวารอผมได้ไหม”

“อะไรนะคะ”

“งานแนวผมกำลังได้รับความนิยม มีชื่อผมติดอันดับด้วยนะ รับรองว่าในสี่ห้าปี ผมจะต้องสร้างเนื้อสร้างตัวได้แน่”

วารินทร์หน้าแห้งลง เข้าใจความหมายของคนตรงหน้าทะลุปรุโปร่ง

“ถ้าวาจะรอ ผมขอเวลาสักสี่ห้าปีสำหรับสร้างอนาคต”

ส่วนสีหน้าและแววตาของปรมัตถ์กลับมั่นคงนัก มันเป็นท่าทางของคนที่มีความเชื่อมันในตนเองอย่างแรงกล้า แต่สำหรับตอนนี้ ในสายตาของวารินทร์ เขากลับกลายเป็นเพียงผู้ชายโง่ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ที่ยอมทิ้งมรดกกองโตไปตามล่าหาฝันบ้าๆ บอๆ

“ทำไมจะต้องลำบาก ปอเอาเงินเข้าไปต่อเงินไม่ง่ายกว่าหรือคะ”

เธอยังแข็งใจหว่านล้อมต่อไป

“วาไม่เชื่อฝีมือผมหรือ”

“วาเชื่อค่ะ แต่คนเราจะไปเอาแน่เอานอนอะไรกับอนาคต สู้เราอยู่กับสิ่งที่เรามีเราเป็นอยู่แล้วไม่ดีกว่าหรือคะปอ”

“ก็นี่ไง ที่ผมมี ที่ผมเป็น ฝีมือผมก็มี ตอนนี้ก็มีหลายรายเข้ามาติดต่อ”

“มันเสียเวลา ปอเข้าใจไหม”

“บางอย่างมันก็ต้องการเวลานะวา”

“แต่วาเสียเวลามามากแล้ว!”

แล้ววารินทร์ก็ต้องยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง โกรธทั้งคนตรงหน้าที่ยิ่งพูดยิ่งเหมือนคนโง่ดักดาน โกรธทั้งตัวเองที่ผลีผลามพูดจารุนแรง

แต่ปรมัตถ์ยังมองเธอนิ่งๆ จนคนถูกมองอ่านไม่ออกว่าในสายตานั้นจะเคลือบแฝงไว้ด้วยความหมายอันใด

“คุณยังมีอนาคตที่ดีนะวา”

“แต่...”

“ผมก็มองเห็นอนาคตของผม”

วารินทร์ต้องค่อยๆ เรียบเรียง... แล้วอนาคตของเรา... มันหายไปไหน

“ผมรับงานเขียนโบสถ์ไว้ที่ต่างจังหวัด ไปด้วยกันไหมล่ะวา ถือว่าไปพักผ่อนตากอากาศ เผื่อว่าเราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น”

ระหว่างเธอยังอึกอักกับคำชวน เสียงโหวกเหวกทักทายก็ดังมาจากหน้าร้าน วารินทร์ยิ่งเครียด เพราะตัวมารอย่างภาสกร ช่างเข้ามาผจญได้ถูกจังหวะเหลือเกิน

“สวัสดีวา ไปเที่ยวด้วยกันไหมล่ะ งานนี้งานใหญ่ได้อยู่กันยาวแน่ๆ”

เสียงภาสกรเริงรื่น คำชวนบอกชัด ว่ารู้ความเป็นไปในชีวิตของปรมัตถ์ขนาดไหน

“ไม่ได้ไปเที่ยวไอ้ภาส ข้าไปทำงาน ที่ชวนเอ็ง เพราะจะได้มีคนช่วยต่อนั่งร้าน”

สีหน้าของปรมัตถ์ก็เบิกบานขึ้นทันทีที่เพื่อนสนิทตามมาสมทบได้ทันใจ

“เออ! กูแถมผสมสีให้ด้วยก็ยังได้ หรือจะให้ตัดเส้น ปิดทอง ก็แล้วแต่เอ็งจะบัญชาการ”

“ยังหรอกวะ ต้องไปตกลงกับหลวงพ่อท่านก่อน ว่าจะเอารูปอะไรบ้าง คงจะต้องไปช่วยร่างแบบให้ท่านดู เรื่องปะเหลาะพระเอ็งเก่งอยู่แล้วนี่”

แล้วก็ดูเหมือนสองหนุ่มจะเพลิดเพลินเจริญใจกับงานชิ้นใหญ่ชิ้นใหม่ที่ได้รับ จนลืมไปเลยว่ายังมีเธอนั่งอยู่ตรงนี้อีกคน

“เชิญ! จะไปร่วมหัวจมท้าย วาดสวรรค์วาดวิมานอะไรกันก็เชิญเลย”

“แล้ววาไม่ไปด้วยกันหรือจ๊ะ”

คำชวนของภาสกรยังหวานหยด จนวารินทร์แทบจะกรี๊ดใส่หน้า

“ไปกันเองเถอะ จะไปวาดนรกกี่ขุมๆ ก็เชิญตามสบาย”

“เอ๋! รู้ได้ไง อุตส่าห์จะไปบอกที่โน่น ว่าจะให้วาช่วยเป็นนางแบบ”

ปรมัตถ์ก็งง ที่อยู่ๆ ภาสกรก็เหมือนจะเปลี่ยนเรื่องพูด ทั้งที่นัยน์ตายังพราวไปด้วยเลศนัย

“ไหนบอกว่าจะไปวาดรูปให้วัดกันไม่ใช่เรอะ ยังจะมาชวนให้เป็นนางแบบอะไรอีกล่ะ”

แล้ววารินทร์ก็เสียทีให้กับคนอย่างภาสกรเข้าอีกจนได้ เพราะประโยคที่ตอบกลับมานั้น เจ็บแสบไปถึงขั้วหัวใจ

“ก็นั่นละ มีนรกตั้งหลายขุม ที่วาน่าจะไปเป็นนางแบบ...”



                                        ********************

แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 13:18:46

แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 13:15:38

แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 13:04:14

แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 12:56:52

แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 11:57:37

จากคุณ : SONG982
เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 11:55:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com