เธอฆ่าผมตาย...แล้วหลายครั้ง
|
|
บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่ผี แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม อย่างน้อยผมก็แน่ใจว่าผมไม่ใช่ผี เพราะถ้าคนเราตายแล้วกลายเป็นภูตผีปีศาจ ผมคงต้องพบเพื่อนภูตผีมากมายก่ายกอง แต่นี่กลับไม่พบหรือสัมผัสถึงผีคน หรือผีหมาสักตัว
ผมอยากจะคิดว่าตัวเองน่าจะเป็น จิต มากกว่าเป็นผี มีความรู้สึกแต่ไร้ตัวตน เมื่อไร้ตัวตนก็ไม่มีอวัยวะรับรู้สัมผัสผ่านประสาททั้งหลาย ความรู้สึกจึงเหลือแค่ว่า ความคิด ดำรงอยู่เท่านั้น ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง มองไม่เห็น ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ฟังดูเหมือนจะดี แต่ความจริงแล้วตกอยู่ในความเงียบเหงาอ้างว้างจนน่ากลัว
อย่างไรก็ตามทุกสิ่งต้องมีจุดหมายในตัวของมัน ความรู้สึกของผมจะลอยไปมาแบบไร้จุดหมายไร้ทิศทางไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีแรงจูงใจ ซึ่งก็คือการติดตามหาใครสักคน และคนๆนั้นจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก กระทั่งก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ แล้วอะไรกันที่ทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจได้มากมายมหาศาลถ้าไม่ใช่ความรัก แน่นอนว่าพลังของมันมีทั้งการสร้างสรรค์และการทำลายล้าง
ผมคิดว่าเธอคนนั้นได้ฆ่าผมตายไปแล้ว ส่วนทำไม อย่างไรก็ยังนึกไม่ออก ที่แน่ๆ ผมต้องตามหาเธอให้เจอ
ประการแรกผมต้องมีสื่อหรืออะไรสักอย่างเป็นแนวทาง แล้วคุณคิดว่าอะไรล่ะจะเป็นสื่อครอบคลุมสังคมคนเราอย่างกว้างขวางสะดวกและรวดเร็วในยุคนี้
ใช่แล้ว ...ผมเริ่มนึกออก และกำหนดจิตของผมมุ่งมั่นไปยังสิ่งนั้นทันที โลกของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตยังไงล่ะครับ ยังจะมีอะไรบรรจุข้อมูลมหาศาล สะดวกและรวดเร็วมากกว่าสิ่งนี้ ผมจะใช้เจ้าสิ่งนี้ติดตามหาเธอไม่ว่าจะอยู่แสนไกลหรือบริเวณไหนของโลกมนุษย์ก็ตาม
ผมรู้ด้วยสภาวะทางจิตสัมผัสพิเศษว่าเธอเล่นอินเตอร์เน็ต จึงแทรกจิตเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แล้วเริ่มเดินทางเพ่นพ่านไปตามโลกอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง ไม่นานนักผมก็รู้ว่าเธอใช้คอมพิวเตอร์เครื่องไหนโดยอาศัยจิตเป็นตัวช่วยบวกกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ แล้วควรจะรู้เสียทีว่าเธอฆ่าผมอย่างไร
ผมรอเธอไม่นานนัก ในที่สุดก็สัญญาณแห่งความมีชีวิตของเธออยู่ใกล้นี่เอง คนเราแต่ละคนมีสัญญาณชีวิตแตกต่างกันเหมือนสถานีส่งคลื่นวิทยุโทรทรรศน์ ดังนั้นจึงแน่ใจว่าเป็นเธออย่างปราศจากข้อสงสัย ความพยายามของผมประสบผลสำเร็จ เธออยู่ข้างหน้าผมนี่เอง
แต่ทำไมผมมองไม่เห็นเธอ สิ่งที่ผมรับรู้ในตอนนี้คือข้อมูลในรูปของเลขฐานสองมากมายมหาศาลวิ่งผ่านไปราวพายุโหมกระหน่ำบ้างรวมตัวบ้างกระจายตัวเป็นรูปแบบต่างๆนานาราวกับเป็นอีกจักรวาลหนึ่ง
เพราะว่าไม่มีนัยน์ตาจะจ้องมองเธอนั่นเองเป็นสาเหตุทำให้มองไม่เห็นเธอ ก็แน่ละครับ... เมื่อไม่มีตัวตนแล้วจะสามารถจ้องมองผู้คนได้อย่างไร แต่แล้วคำตอบก็กระจ่างอยู่ตรงหน้า ในเมื่อผมอาศัยโลกของสายใยของคอมพิวเตอร์ แสดงว่าตอนนี้ผมก็ต้องอยู่ในรูปของโปรแกรมดีๆนี่เอง เพียงแต่เป็นโปรแกรมที่มีความรู้สึก แปลกดีไหมครับ และเมื่อเป็นโปรแกรมผมก็สามารถใช้พื้นฐานการคำนวณเหตุผลต่างๆ ด้วยความเร็วสูงเช่นกัน
ผมจัดการเขียนคำสั่งใหม่อย่างรวดเร็ว สร้างภาพดวงตาคู่หนึ่งขึ้นมาบจอมอนิเตอร์ แล้วอาศัยนัยน์ตาคู่นั้นเป็นตัวกลางจ้องมองออกไปยังใบหน้าของหญิงสาวผู้กำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่างซึ่งคร้านจะตรวจสอบ
เป็นเธอจริงๆ ผมจดจำเธอได้อย่างแม่นยำถึงจะจดจำเรื่องราวอื่นๆแทบไม่ได้เลยก็ตาม ตอนนี้เธอทำหน้าตาตื่นตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็เห็นภาพนัยน์ตาประหลาดปรากฏขึ้นมาบนจอแบบไม่มีสาเหตุและสายตาคงแพรวพราวไปด้วยประกายแห่งความสมหวัง
นี่มันอะไรกัน....
ผมคิดว่าเธอคงร้องแบบนั้นโดยอาศัยการอ่านริมฝีปากของเธอ ก็แน่ล่ะครับ ผมมีแค่นัยน์ตาเท่านั้นในตอนนี้ยังไม่มีหูไว้ฟังเสียงแต่ก็ไม่เห็นจะยากอะไร ผมเริ่มต้นเขียนโปรแกรมสร้างรูปใบหูขึ้นมาบนจอคอมพิวเตอร์ในทันที
เอาล่ะ...ตอนนี้ก็พร้อมจะได้ยินเสียงของเธอแล้ว
ที่รัก มาดูนี่ ทำไมจอคอมพิวเตอร์มีภาพบ้าๆ แบบนี้
เธอไม่ได้พูดกับผม แต่เรียกใครบางคนให้เดินตรงมาหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างงุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องสงสัยว่านั่นจะไม่ใช่คนรักของเธอ ทั้งคู่พากันจ้องมองมาอย่างสนใจ
เราควรทักทายกันตามประสาคนรู้จักกันมาก่อน ผมคิดว่าจะสร้างภาพปากขึ้นมาพูดกับเธอ ไม่นานนักผมก็มีปากเป็นของตัวเองอยู่หน้าจอ แต่ทำไมต้องมีแค่ตา จมูก ปากเท่านั้น ทำไมไม่สร้างใบหน้าของผมขึ้นมาบนจอเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอด และเธอคงจะจำผมได้แน่นอน แต่ปัญหาตอนนี้คือตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรก็จำไม่ค่อยได้เสียแล้ว ตกลงตอนนี้เลยทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆไม่รู้จะพูดอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว
ขณะกำลังคิดอยู่นั่นเอง ผู้ชายคนนั้นก็เอื้อมมือมาจับเมาส์ลากไปมาครู่หนึ่งแล้วหันไปยิ้มและบอกเธออย่างมั่นอกมั่นใจว่า
มันต้องเป็นไวรัส ไม่เป็นไร ผมเพิ่งลงโปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวใหม่ ระดับสุดยอด ตายซะเถอะแก
ว่าพลางเขาก็กระแทกนิ้วชี้โครมลงตรงปุ่ม Delete บนแป้นคีย์บอร์ดอย่างอย่างสะใจ
อย่า......
ผมสังเคราะห์เสียงผ่านลำโพงคอมพิวเตอร์สุดเสียงจนดังลั่นไปทั่วห้อง ทำเอาพวกเขาพากันสะดุ้งอย่างตกใจแต่สายเกินไปเสียแล้ว โปรแกรมของผมแตกสลายลงในพริบตาประสาทตา ปาก จมูก สูญหายสภาพการรับรู้ไปอย่างสิ้นเชิง
ครั้งนี้เธอไม่ได้ฆ่าผมกับมือ แต่เหมือนยืมมือคนอื่นมาฆ่า จิตของผมรำพึงอย่างเจ็บปวดรวดร้าวขณะหลุดลอยออกจากระบบคอมพิวเตอร์แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในห้องนั้นนั่นเองไม่ยอมไปไหน พลางอดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่เป็นผีแบบมาตรฐานไปเลยจะได้หลอกทั้งสองให้สาสมใจ แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น อย่างไรผมก็ยังรักเธอเสมอ ตัดใจหลอกไม่ลง และคงทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอถูกหลอกจนจับไข้หัวโกร๋น มันคงน่าเกลียดพิลึก จู่ๆผู้หญิงหน้าตาดีก็มาหัวโล้นแบบเฉียบพลัน ผมไม่อยากทำกับเธอแบบนั้น นึกภาพแล้วดูไม่จืด
ส่วนคนรักของเธอผมก็คงไม่อยากหลอกให้จับไข้หัวโกร๋นเช่นกันเพราะไม่อยากให้เธอมีปมด้อยว่ามีแฟนเป็นคนหัวเหม่งไม่ว่าจะยังไงเหมอนี่ก็ช่วยดูแลเธอแทนผมมานานและเราไม่รู้จักกันเสียด้วยซ้ำ ในแง่เของเหตุผลผมน่าจะขอบคุณเขามากกว่า และทั้งคู่ก็ดูสมกันดี
ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆเธอเท่านั้น
และแล้วผมก็เริ่มรู้สึกว่าในห้องยังมีบางสิ่งซึ่งมีชีวิต ทำไมเราโง่ไปใช้สิ่งไร้ชีวิตจิตใจแบบคอมพิวเตอร์มาเป็นตัวกลาง ในเมื่อการใช้สิ่งมีชีวิตน่าจะดีกว่าเป็นไหนๆ เพราะมีระบบรับรู้ตอบสนอง ตอนแรกผมว่าจะแทรกจิตลงไปในร่างของหนุ่มคนนั้นแต่ก็คิดแล้วอายตัวเอง มันเหมือนกับเป็นการก่ออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง แต่ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ มันผิดกฎธรรมชาติในการแทรกจิตเข้าสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน ผมไม่ใช่ผีจะได้เข้าสิงใครต่อใคร แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นล่ะก็ไม่แน่ บางทีมันอาจเป็นกฎระเบียบของธรรมชาติซึ่งยากต่อการเข้าใจ
หลังจากตั้งหลักครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่แตกกระจายเริ่มรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ผมกำหนดจิตลงไปยังเจ้าสิ่งนั้นทันที
เอาล่ะ...ทีนี้ก็ไม่ต้องเขียนต้องสังเคราะห์โปรแกรมให้ยุ่งยากอีกต่อไป ผมมองเห็นเธอแล้ว ผมรู้สึกว่ามีมือมีเท้ามีหูมีตาขึ้นมาในพริบตา ความมีชีวิตมันดีแบบนี้นี่เอง ตอนนี้ทั้งสองคนนั้นกำลังพูดคุยกันถึงเปรากฎการณ์อันน่าพิศวงเมื่อครู่นี้ ไวรัสบ้าบออะไรพอโดนทำลายก็ร้องเสียงหลงซะลั่นบ้านแบบนั้น
พวกเขาไม่รู้ว่าผมแอบมองอยู่ด้านข้างอย่างไม่ต้องกังวลใจเพราะผมอยู่ในร่างเผ่าพันธุ์อื่นซึ่งไม่ใช่มนุษย์
ไม่ว่าจะมองด้านหน้าหรือด้านข้างเธอก็ยังดูสวยจนอยากเข้าใกล้ให้มากกว่านี้ ความจริงผมน่าจะฉุกใจคิดว่าทำไมภาพมันเอียงๆชอบกล และรู้สึกว่ามือกับเท้าของผมทำไมมันเหมือนกัน ไม่รู้ไม่สนล่ะ ผมกระโจนไปกอดเธอเอาดื้อๆอย่างหน้าไม่อาย
กรี๊ด......!!!!!
เสียงของเธอกรีดร้องจนสะท้านดวงจิต เงามืดผ่านวูบเข้ามาราวฟ้าถล่มทลาย ผมรู้สึกว่าโลกทั้งโลกหมุนติ้วเป็นกังหันก่อนปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างแบบสุดแรงเกิดจนจิตแตกกระจัดกระจาย
จิ้งจกบ้าอะไรอยู่ดีๆ ก็มากระโดดเกาะต้นแขน เสียงของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ผมไม่ให้เห็นสีหน้าท่าทางของเธอหรอกเพราะกำลังดิ้นกระแด่วอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร คราวนี้โดนเธอปัดเข้าให้อย่างสุดแรงจนกระเด็นไปอัดข้างผนังแล้วต่อมาโลกก็กลับมาดำมืดอีกครั้ง
น่า...ผมพยายามมองโลกในแง่ดี อย่างน้อยคราวนี้ก็ตายด้วยมือของเธอ แบบนี้ค่อยตายอย่างสบายใจหน่อย สงสารแต่เจ้าจิ้งจกตัวนั้นที่ช้ำในตายไปด้วยแบบตัวมันเองก็คงงงไม่หายว่าตายด้วยสาเหตุอันใด เธอเป็นคนเกลียดกลัวสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์พวกจิ้งจกตุ๊กแกอย่างที่สุด ทำไมเพิ่งนึกออกก็ไม่รู้ ก็อยากที่บอกล่ะครับ ผมเพียงแค่อยากอยู่ใกล้ๆเธอเท่านั้น แม้จะแลกกับการแตกสลายก็ยอม ดังนั้นความรู้สึกของผมจึงไม่ได้ล่องลอยหนีหายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอนั่นเองพยายามนึกหาหนทางต่อไป หรือว่าจะเข้าไปอยู่ในเสื้อผ้าของเธอคงจะดีเป็นแน่แท้ จะได้อยู่ใกล้ชิดเธอแนบแน่นเนิ่นนานแต่เสื้อผ้าไม่มีอวัยวะใดรับสัมผัสได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร แถมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอุบาทว์ยังไงชอบกล
ปัญหาต้องมีทางออกสักอย่าง ผมยังไม่ยอมละเลิกความคิดจะอยู่ใกล้เธอ ใช่แล้ว ....เสื้อผ้าไม่มีการรับรู้ประสาทสัมผัสอะไร แต่เชื้อโรคตามเสื้อผ้าจะต้องมีระบบแห่งการรับรู้บ้างไม่มากก็น้อย สภาวะทางจิตสามารถย่อหรือขยายได้ตามต้องการอยู่แล้ว ผมจะเอาระบบตอบสนองของจุลินทรีย์มาปรับเปลี่ยนเป็นการสัมผัสใกล้ชิดเธอคงจะดีเป็นแน่แท้
คิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องก่อนกำหนดจิตตรงไปยังเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่แบบเขินอายเล็กน้อย เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวทั้งหลายแต่ยังไม่ทันทำอะไรก็รู้สึกว่าถูกกระแทกอย่างรุนแรงอีกครั้งจนควงจิตกระดอนกระเด็นออกมาอย่างไม่เป็นท่า
ผมลืมนึกไปว่าจะแทรกจิตเพื่ออาศัยตัวกลางบริเวณใกล้ๆกับมนุษย์ไม่ได้ มันเป็นกฎต้องห้าม รังสีแห่งความเป็นคนป้องกันเธอเอาไว้ ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำอะไรตามต้องการไปได้หมดทุกอย่าง กฎทุกข้อมีข้อยกเว้น
แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก เรื่องนี้ต้องมีทางออก จะต้องกำหนดจิตหาเสื้อผ้าของเธอที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งอาจวางบนเตียงรอการหยิบมาสวมใส่ อยู่นอกกฎต้องห้ามและมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรตราบใดที่มีแรงบันดาลใจสูงขนาดนี้ ผมสัมผัสได้ถึงเสื้อผ้าของเธอห่างออกไปไม่มากนัก จึงไม่รีรอแม้แต่น้อย ตั้งใจกำหนดจิตตรงไปทันทีและสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตมากมายของบรรดาสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ซึ่งอาศัยอยู่ตามเสื้อผ้า ผมยิ้มในใจอย่างคนสมหวังความ พยายามเป็นผลสำเร็จ ผมสามารถใช้ระบบตอบสนองของจุลินทรีย์ทั้งหลายได้อย่างคิดไว้จริงๆ และขยายรูปแบบของการรับรู้ออกไปเต็มพิกัด
มันก็เหมือนการเปลี่ยนรูปแบบของพลังงานนั่นเอง ตอนนี้ผมควบคุมสิ่งมีชีวิตเล็กๆจำนวนมากมายระบบแห่งการตอบสนองพวกมันถูกปรับเปลี่ยนไปสู่การฟังเสียงการมองเห็นได้ไม่ยากเหมือนพลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนเป็นพลังงานกลหรือพลังงานในรูปอื่น ตอนนี้ก็แค่รอเวลาให้เธอหยิบไปสวมใส่ แล้วเราก็จะได้อิงแอบแนบชิดกัน จะได้ปกป้องปกปิดเธออย่างหวงแหนดังที่เคยหวังเอาไว้ แค่คิดก็ดีใจปางตาย
จากคุณ |
:
Psycho man
|
เขียนเมื่อ |
:
วันมหาสงกรานต์ 53 15:36:07
|
|
|
|