Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
......ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๒๕.....  

ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๑ - ๒๔

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=07-2009&date=17&group=16&gblog=1
.....................................................................................................................................................




                                  บทที่ 25




“วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก วันไหนสำนึกแล้วเธอจะเสียใจ...”

ภาสกรครวญเป็นเพลงได้เชยสุดๆ แต่ก็สะใจดีพิลึก โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ที่พยายามลากเสียงแหลมปรี๊ด แต่ดันกลับกลายเป็นอีกเพลง

“...ทำไมถึงทำกับฉันได้!?!...”

“พอเลยภาส ขอร้องละ แค่นี้ก็กลุ้มจะตายอยู่แล้ว”

คนที่กระเซอะกระเซิงตามมาต้องร้องขอ เพราะยิ่งร้องอาจยิ่งสับสน และคนที่ทนไม่ได้ก็น่าจะเป็นตัวเธอเอง

“อย่ามาเยาะเย้ยกันนักเลย ได้ไหมล่ะ”

“แล้วอยู่ๆ นึกอะไรขึ้นมา ถึงไปเต้นแร้งเต้นกาให้ตำรวจจับ”

“เขาไม่ได้จับ แค่เข้ามาถาม”

“เออซิครับ นั่นละ ลองไปปรี๊ดๆ ใส่ด้วยสิ เขาจะได้เชิญให้ไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องกรง”

“ฉันไม่ผิด สองคนนั้นต่างหาก ไม่รู้จะวิ่งหนีไปทำไม”

“เป็นใครก็ต้องโกยละครับคุณผู้หญิง คนบ้าอะไรออกมาควงไม้ถูพื้นเย้วๆ อยู่กลางถนน...”

“ริมถนนย่ะ!”

“เออ! นั่นแหละ! นี่เห็นว่ารู้จักกันหรอกนะถึงเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย จะขอบอกขอบใจสักคำก็ไม่มี”

“งั้นก็...ขอบใจ แล้วก็หยุดพล่ามเสียที”

“แล้วคุณเธอจะเดิมตามมาฟังทำไมล่ะวะ”

“ก็จะให้ไปไหนได้ล่ะ รองท้งรองเท้าก็ยังอยู่ที่ร้าน”

นั่นละที่ทำให้ภาสกรต้องหันกลับมาเพ่งพิจารณาหญิงสาวอีกครั้ง ตอนนี้เห็นได้เต็มตา บัดนี้คนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นดาวสังคมไฮโซรุ่นใหม่ แทบไม่เหลือเค้าเหล่านั้นเลยสักนิด

ภาสกรแค่ยิ้มๆ จะเอ่ยปากหมิ่นแคลนให้มากไปกว่านี้ก็ใช่ที่ เพราะการถึงกับต้องมีตำรวจเดินเข้ามา ก็แสดงว่าเธอบ้าได้เข้าขั้น ทีแรกตั้งใจจะปล่อยให้เคลียร์เอาเอง แต่ด้วยความที่วารินทร์เคยเป็นแฟนเพื่อนสนิทของเขามาก่อน ภาสกรเลยจำเป็นต้องแสดงตัว

ทั้งที่ริมฝีปากก็ยังเจ็บๆ เพราะถูกปรมัตถ์แกล้งตบกดๆ เข้ามาตรงๆ ตอนที่วารินทร์ผลุนผลันออกไปจากร้านเรอดัง-รัก ดีที่เพื่อนรักยังไม่ได้กำหมัด ไม่อย่างนั้นปากคงแตก ด้วยข้อหา “กล่าวถ้อยวาจาหยามหมิ่นสตรีเพศ” เพราะผิดหลักจรรยาบรรณของมัน

ก็ดูเถอะ คนตรงหน้านี้มันควรจะให้ประณามยามหมิ่นน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ หากความเจ็บที่ริมฝีปาก ไม่ได้เตือนสติเอาไว้ ภาสกรคงได้มันปากกว่านี้อีกมากนัก

ลมแม่น้ำพัดผ่านมาจากก้นซอย ระเหยกลิ่นอับเอียนของซอยแคบให้บรรเทา บ่ายจัดทำให้ร่มเงาจากกำแพงสูงกันแดดเอาไว้ได้ทั้งหมด ไม่มีใครเดินแซงขึ้นไปหรือสวนทางกลับมา ตลอดซอยแคบๆ ที่ชื่ออุ่นไอรักในขณะนี้ จึงทั้งสงบทั้งเงียบเหงา

สองคนเดินตามกันเข้ามาเงียบๆ ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตน จนกระทั่ง...

“ปอเขาไม่ได้ไปเขียนโบสถ์อะไรนั่นหรอกใช่ไหมล่ะภาส”

อยู่ๆ วารินทร์ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

คนถูกถามไม่ได้ให้คำตอบ ไม่ได้เดินให้เร็วขึ้นหรือช้าลง และก็ไม่ได้แสดงอาการว่ารับรู้ถึงคำถามนั้น

“วาเป็นคนที่แย่ขนาดนั้นเลยหรือภาส เลวขนาดที่ผู้ชายจะต้องใช้อุบายเพื่อจะหนีไปจากชีวิต ขนาดนั้นเลยเชียวหรือ”

คนเดินตามคงได้สติขึ้นมาบ้างแล้วกระมัง แต่ก็คงยังสับสน เพราะยังมองไม่เห็นว่าที่ผ่านมา ตัวเองแสดงบทบาทร้ายแรงไว้แค่ไหน

“ทุกคนมีชีวิตของตัวเองนะวา และทุกชีวิตก็มีจังหวะเวลาของมัน ถ้าวากลับเข้ามาช้าหรือเร็วกว่านี้ วาอาจจะไม่ต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้ก็ได้”

ภาสกรได้แต่ระบายลมหายใจก่อนจะหันมาตอบคำ ใจหนึ่งก็สงสารวารินทร์หนักหนา กับชะตาชีวิตของตัวเธอ ที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงเพื่อนมากกว่า หากจะยอมอ่อนข้อให้กับวารินทร์ ยอมให้เธอได้แก้ตัวใหม่ ชีวิตของใครต่อใครคงได้ยุ่งเหยิงไม่รู้จบ

“บอกวาหน่อยได้ไหม ว่าปอเขาไปหลบอยู่ที่ไหน...”




พอตั้งสติได้ พรสวรรค์ก็เลยต้องนึกเสียว่าเป็นวิบากกรรม กับการกระทำที่แกล้งให้วารินทร์ร้อนอกร้อนใจเมื่อสักครู่ ที่แกล้งทำเป็นสนิทสนมกลมเกลียวกับรัชพล ทำท่ายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเขากำลังเข้ามาจีบและเธอเองก็ไม่ปฏิเสธ

มันคงเป็นกรรมติดจรวดด้วยกระมัง ที่พรวดเดียวก็ทำให้เธอต้องมานั่งติดอยู่กับเขาตรงนี้

และเหมือนรัชพลเรียกสติคืนมาได้ก่อนเธอด้วยซ้ำ เพราะพอเลี้ยวพ้นมุมถนนมาแล้ว เขาก็เริ่มชวนคุย

“วารินทร์เขาคงรักพี่ปอมาก”

“หรือไม่ก็คงรักคุณมาก... จอดรถเถอะค่ะ ขอบคุณที่ช่วย”

ประโยคแรกของพรสวรรค์ค้างอยู่แค่ครึ่ง พอนึกได้ว่าถ้าพูดมากไปก็จะเข้าตัวเสียเปล่าๆ ก็เลยรีบหาทางเอาตัวรอด ให้พ้นไปจากสายตาของรัชพลเสียที

“ผมอยากจะพาคุณไปที่บ้าน”

“อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ นะ ฉันกระโดดลงจริงๆ ด้วย”

พร้อมกับที่พูด คนพูดก็ต้องนึกในใจไปพร้อมกันด้วย นี่อย่างไร พอพ้นหน้าสิ่วหน้าขวานมาได้ ลายก็ออก หางก็โผล่มาทันที

“คุณแม่บอกว่าถ้าคุณไม่เชื่อใจผม ก็ให้ไปคุยกับคุณแม่ เรื่อง... เรื่องที่ว่าผมจะช่วยเรื่องร้านกับเรื่องค่ารักษาคุณพ่อคุณน่ะ”

แม้เสียงจะซื่อๆ แววตาที่มองมาจะใสๆ แต่คนฟังก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี

“ฉันบอกแล้วว่ามันเรื่องส่วนตัว ไม่ได้ต้องการความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือจากใคร”

ไม่รู้ว่ารัชพลขับซิกแซกไปทางไหน เผลอนิดเดียวรถถึงได้แล่นขึ้นมาถึงบนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วพรสวรรค์ก็ต้องยิ่งใจหาย เพราะข้างหน้ากลายเป็นทางยกระดับทอดยาวไปไกลลิบลับ

“ขับลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้เลยนะ นี่ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรด้วย คุณมันพวกเห็นแก่ตัว!”

คนวี้ดใส่ต้องทุบคนขับเข้าให้ที่ต้นแขน เพื่อระบายความแค้นที่เสียรู้

“นี่คงวางแผนให้วารินทร์กลายเป็นบ้าเป็นบอ สติแตกไล่กวดออกมาละสิคนอย่างคุณมันก็แค่คนบาปในคราบนักบุญ ไม่มีทางจะเป็นพระเอกหรือเป็นคนดีในสายตาใครๆ ได้หรอกน่ะ”

พรสวรรค์อดไม่ได้ที่จะต้องนึกว่าเป็นแผนการของเขากับผู้หญิงคนนั้น เพราะก่อนหน้าที่วารินทร์จะบ้าได้อย่างวันนี้ ก็เห็นสนิทสนมกลมเกลียวกันดีอยู่กับรัชพลไม่ใช่ละหรือ

“นั่นมันละครน้ำเน่าแล้วมั้งครับ คนอย่างวารินทร์น่ะนะ ที่ผมจะไปยุ่งเกี่ยวด้วย อย่ามัวพูดถึงคนอื่นอยู่เลย เรามาเจรจากันดีๆ ดีกว่า ว่าจะไปพบคุณแม่กับผมไหม”

นี่ถ้าไม่กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง มีหวังพรสวรรค์ต้องจับหัวเขาโขกกับกระจกสักสองสามเปรี้ยง ไม่รู้ว่าอีตานี่ซื่อ หรือโง่ หรือเจ้าเล่ห์เพทุบายนักหนากันแน่ ก็ตัวขับรถเลยมาถึงนี่แล้ว ยังจะให้ปฏิเสธได้ยังไงอีกล่ะ

“ผมไม่อยากให้คุณแม่ว่า ว่าชอบขืนใจผู้หญิง”

รัชพลยังมีหน้ามาทำตาซื่อใส่อีกคำรบ

“จะขืนใจผู้หญิงหรือเอาแต่ใจตัวเอง มันก็...พอกัน”

“ผมก็อยากจะตามใจคุณ แต่คุณแจ๋มไม่เคยเปิดใจกับผมเลย”

แน่ะ! แถมยังจะมีอาการตัดพ้อให้เห็นเสียด้วย

“นั่น ข้างหน้านั่น ทางลงใช่ไหม ขับลงไปเดี๋ยวนี้นะ”

พรสวรรค์ไม่อยากจะพูดจา ไม่อยากจะตอบโต้อะไรอีกแล้ว พอเห็นทางลงจากถนนลอยฟ้านี่ได้ ก็รีบชี้ให้ชิดซ้าย

“พอลงไปปุ๊ป ก็ถึงทางเลี้ยวเข้าหมู่บ้านของคุณแม่ผมพอดี นะครับคุณแจ๋ม เข้าไปพบท่านสักนิด อย่างที่เราเคยคุยกันเรื่องรชาตา ผมมาเล่าให้คุณแม่ฟังแล้ว ท่านก็อยากจะพบคุณ ถึงคุณแจ๋มไม่อยากจะคุยเรื่องเงินทอง อย่างน้อยเข้าไปพูดกับคุณแม่เรื่องที่น้องสาวผมจะไปเรียนต่อสักนิดก็ยังดีนะครับ”

บทจะหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสุภาพคมคาย รัชพลก็ทำได้ไม่เลวเลย นี่ถ้าหากไม่เห็นกันมาตั้งแต่ต้น คงไม่ยากที่พรสวรรค์จะใจอ่อน

ระหว่างกำลังชั่งใจ รัชพลก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นต่อสายไปถึงคุณวิชชุลดาทันที

“ฮัลโหล คุณแม่นะครับ พลกำลังเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน คุณแม่อยู่บ้านใช่ไหมครับ พอดีคุณแจ๋มเธอว่าง ผมเลยพามา... ครับ... ใช่ครับ ...ที่ว่าจะคุยกันเรื่องที่เรียนของรชานั่นละครับ กับ... เอ่อ... แล้วเรื่องที่ ครับ กำลังจะถึงอยู่แล้วละครับ ครับแล้วคุยกันครับคุณแม่”

พอวางสาย เขาก็หันมายิ้มหน้าบาน

“คุณแม่ดีใจใหญ่เลยครับ ที่จริงท่านอยากจะเจอคุณแจ๋มให้เร็วกว่านี้ด้วยซ้ำไป”

พรสวรรค์ต้องถอนหายใจแรงๆ แสดงให้เห็นชัดๆ ว่าเอือมระอากับเขาเต็มที แต่ก็ต้องจำใจ เพราะรถเลี้ยวเข้ามาแล้ว หมู่บ้านกว้างใหญ่นี้ก็ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวนัก ป้อมยามก็มีให้เห็นเป็นระยะ ผู้คนที่อุ้มลูกจูงหลานเดินเล่นอยู่ตามริมทางกับริมทะเลสาบก็มีไม่ใช่น้อย

“คงพอเอาตัวรอดได้หรอกน่า...”

เธอพึมพำให้กำลังใจตัวเองเบาๆ ตอนรถเลี้ยวสู่บริเวณคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ มโหฬารกว่าที่คิดไว้หลายเท่านัก




ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาลนั้น คุณวิชชุลดารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองแห้งแล้งลงไปอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

หนทางที่หาทางไปเจรจากับบิดามารดาของภพสรวง บัดนี้ก็แทบจะปิดตาย เพราะสองคนนั่นระแคะระคายเสียแล้วว่า คู่ของตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างไร

พอได้รับสายจากรัชพล ใจจึงชื่นขึ้นมาอีกนิด เพราะหากไม่โชคร้ายจนเกินไป ก็น่าจะมีหนทางช่วยเหลือเรื่องการผ่าตัดของคุณสุเทพ คนที่จะดื้อรั้นอย่างไรก็เป็นบิดาของภพสรวง สามีหนุ่มรุ่นลูกที่คุณวิชชุลดารักนักหนา

เจ้าของคฤหาสน์ใหญ่โต ที่เวลานี้มีคู่รักอายุอ่อนกว่าเกือบสองรอบมาร่วมชายคาอยู่ด้วย เธอให้เกียรติกับความเป็นอยู่ในฐานะคนพิเศษของเขาอย่างเต็มที่ บรรดาคนร่วมบ้าน ทั้งคนรับใช้คนทำสวน แม่บ้านหรือคนขับรถ ต่างต้องยอมรับในสถานะของภพสรวงโดยไม่ต้องมีการซักถามให้มากความ อีกเพียงสองสามคนเท่านั้นที่คุณวิชชุลดายังลำบากใจนักที่จะเปิดเผยความจริง

สองสามคนที่ว่านั่น ก็คือลูกชายลูกสาวของตน และอีกคนคือปรมัตถ์ลูกติดของสามีมหาเศรษฐีนั่นเอง

ให้ไปเปิดเผยความจริงเรื่องนี้กับคนอื่นเสียยังจะง่ายกว่า

ความคิดเช่นนั้นทำให้คุณวิชชุลดาตั้งใจจะใช้แผนการอะไรบางอย่าง ที่น่าจะเป็นผลดีกับทุกผ่าย พอคิดได้ ก็รีบเรียกให้สาวใช้ไปรอบอกลูกชาย ให้ไปคุยกันที่ศาลาริมบึง

แล้วก็หันไปบอกกับภพสรวงว่าให้รออยู่บนเรือนใหญ่ อีกสักพักจะกลับขึ้นมาบอกข่าวดีเรื่องวิธีที่คุณสุเทพจะยอมรับเงินค่าผ่าตัด

คุณวิชชุลดาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้วตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน เวลานี้เธอสวมชุดกระโปรงยาวเบาพลิ้ว แขนเสื้อเป็นระบาย แลคล้ายทั้งชุดเป็นแค่ผ้าผืนเดียวพับทบ แล้วคว้านคอแขนให้โผล่พ้นออกมาได้เพียงเท่านั้น ทั้งชุดเป็นสีออกส้มอมชมพูเจือจางราวกับแสงอาทิตย์ยามเย็น

เวลานี้ หลังกลับจากข้างนอก ผิวหน้าที่ล้างเครื่องสำอางออกทั้งหมด ยังดูเปล่งปลั่งชุ่มชื่น เพราะผ่านการดูแลรักษามาอย่างดีสม่ำเสมอ เพียงแต้มสีสดใสให้ริมฝีปากเพิ่มเข้าไปนิดหน่อย ผมที่ปล่อยก็ติดกิ๊บเฉพาะตรงไม่ให้ลงระกับใบหน้า เท่านี้คุณวิชชุลดาก็พร้อมรับแขก ด้วยท่วงทีสบายๆ

สองหนุ่มสาวที่นั่งรออยู่ก่อนลุกขึ้นยกมือไหว้ เมื่อเจ้าของบ้านเดินเข้ามาถึงร่มศาลา

พรสวรรค์เผลอเพิ่งพิศ เพราะคุ้นหน้านัก จนถูกคนเพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยทักจึงค่อยๆ สำรวมกิริยา

“ชื่อพรสวรรค์หรือคะ ชื่อเพราะจริงเชียว เห็นรัชพลคุยให้ฟังว่าเก่งมาก”

คุณวิชชุลดาพูดเรื่อยๆ ขณะเดินผ่านเข้าไปนั่งเก้าอี้ด้านใน

“เชิญนั่งก่อนนะคะ พอดีน้ามีเรื่องอยากจะรบกวน”

พรสวรรค์ได้แต่ยิ้มๆ เพราะยังเวียนนึกว่าเคยเจอกับสุภาพสตรีคนนี้ที่ไหนมาก่อน

“หนูเรียนอยู่ที่โน่นหรือคะ”

“คะ... ค่ะ พอดีทางนี้ยุ่งๆ เลยกลับมาสักพักแล้วละค่ะ... เอ่อ... แจ๋มเคยพบคุณ... เราเคยเจอกันมาก่อนไหมคะคุณน้า”

ในที่สุดพรสวรรค์ก็ต้องถามออกมา

“หือ! หรือคะ... ก็อาจจะเคยๆ เห็นหน้ากันบ้างละ เรื่องเรียน... ที่จริงน้าอยากให้รชาเขาไปทางยุโรป”

“ทางนั้นค่าครองชีพสูงค่ะ แต่ถ้าเลือกได้ก็น่าจะไปที่นั่น”

“เห็นไหมล่ะพล นี่ละคนที่เขารู้จริง”

คำนี้คุณวิชชุลดาหันไปพยักพเยิดกับบุตรชาย

“น้าว่าทางยุโรป ก็อังกฤษนั่นละ อย่างไรเสียภาษาเขาก็มาตรฐาน ไปอยู่ที่นั่นก่อนสักปีสองปี ให้เชี่ยวชาญภาษาเสียก่อน แล้วจะขยับขยายมาทางฝั่งยุโรป จะเรียนอะไรก็มีให้เลือกมากมาย จริงไหมคะ”

คนพูดราวกับคิดหาลู่ทางและเหตุผลรองรับไว้เสร็จสรรพ จนคนถูกเชิญมาพูดเรื่องที่เรียนที่ออสเตรเลีย ต้องชำเลืองไปค้อนให้กับรัชพล

“ไหนเขาบอกว่าน้อง... เอ่อ... น้องรชาอยากไปเรียนที่ออสเตรเลียนี่คะ”

“นั่นละที่น้าคิดไม่ตก ไม่ใช่ว่าที่นั่นไม่ดีหรอกนะคะ ที่นั่งอยู่นี่น้าก็เห็นแล้วว่าที่โน่นเขาขัดเกลาอะไรให้ได้บ้าง แต่ยังไงน้าก็อยากจะให้ไปทางยุโรป เลยอยากให้หนูช่วยแนะนำ”

“แนะนำว่าอย่าไปเรียนที่ออสเตรเลียเลย น่ะหรือคะ”

ที่พรสวรรค์ต้องถาม เพราะออกจะงงในเจตนาของการพูดจากันครั้งนี้

“แนะนำว่าให้ไปเรียนเอาภาษาที่อังกฤษเสียก่อนน่ะค่ะ”

คุณวิชชุลดาจึงต้องช่วยแก้ถ้อยคำให้ถูกต้อง

พอเห็นพรสวรรค์นิ่งไปอีกอึดใจหนึ่ง คนที่เชี่ยวชาญเรื่องการเจรจาต่อรองยิ่งกว่า ก็เริ่มตะล่อมเข้าสู่ประเด็นที่แท้จริงของตนเอง

ผู้เป็นมารดาเกือบจะไล่ลูกชายให้ไปที่อื่นเสียก่อน ดีแต่ยั้งปากไว้ทัน ไม่อย่างนั้นหากรัชพลไถลขึ้นไปบนเรือนใหญ่จะยิ่งยุ่ง เลยต้องชวนให้พรสวรรค์ปลีกตัวออกมาแทน

“เห็นพลเขามาขอเสน่ห์จันทร์แดงไปให้ ต้นนั้นสวยนะคะ แต่น้ามีที่สวยๆ กว่านั้นจะให้ดู ถ้าชอบจะยกให้ ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจที่อุตส่าห์มาพบ”

ที่ต้องเดินตามออกมา ก็เพราะพอจะจับทางได้ว่า สุภาพสตรีที่เดินนำอยากจะพูดอะไรกับตนเป็นการเฉพาะ มากกว่าการจะอยากดูต้นไม้ที่คุณวิชชุลดาเชิญชวน

“แต่เห็นรัชพลเขาว่าซื้อ...”

“อย่าไปใส่ใจคำพูดของลูกชายน้าให้มากนักเลยค่ะ ก็พูดไปเรื่อยนั่นละ ดีหน่อยตรงที่เขารู้จักพยายาม ก็ช่วยเหลือน้าได้มาก”

“แล้วอีกคน...”

คนถามนึกเสียใจขึ้นมาทันที ที่ไม่น่าจะละลาบละล้วงถึงเพียงนี้

“รายนั้นเขาเก่งค่ะ ฝีมือดี แต่ไม่ชอบทางธุรกิจ ปรมัตถ์เขาก็ไปของเขาถูกทาง น้าก็มีหน้าที่แค่คอยสนับสนุนกับคอยเอาใจช่วย”

คุณวิชชุลดาเดินมาหยุดตรงสวนหย่อม ที่ไกลพอจะพูดคุยให้ได้ยินกันได้เฉพาะสองคนจริงๆ

ตรงนี้จัดเป็นสวนไม้ประดับใบสวย มีทรงพุ่มและสีก้านต่างๆ กันนับชนิดไม่ถ้วน ทั้งหมดจัดไว้ได้อย่างสวยงามกลมกลืน ให้สีอ่อนแก่และสีอื่นของใบไม้รูปทรงต่างๆ นั่นได้อวดโฉมของมันอย่างเต็มที่และเหมาะเจาะ ที่พื้นโรยไว้ด้วยกรวดสีขาวก้อนจิ๋ว มีต้นไม้คลุมดินต้นเล็กๆ ปลูกแซมไว้อย่างได้จังหวะน่ามอง

พรสวรรค์มัวชมเพลินจนไม่ได้ยิน ว่าคุณวิชชุลดาพูดอะไรออกมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว

“เรื่องที่คุณพ่อหนูจะผ่าตัดนั่น”

“เรื่องนั้นแจ๋มไม่รบกวนหรอกค่ะ ที่มานี่ก็พอดีเห็นว่าคุณน้าอยากจะพบ”

“แต่น้าเต็มใจ คือ... ถ้าจะพูดกันตรงๆ เรื่องของคุณพ่อ ไม่เกี่ยวกับพลเขาหรอกนะ แต่เป็นน้าเองที่อยากจะช่วย”

“นึกออกแล้ว แจ๋มพบคุณน้าที่โรงพยาบาลเมื่อเช้า ที่เราเดินชนกัน”

“น้าคงเหม่อไปหน่อย ต้องขอโทษหนูด้วย”

“ไม่ใช่ค่ะ... หมายความว่า ที่ว่าคุณน้าพูดถึงเรื่องคุณพ่อ ที่โรงพยาบาลนั่นคุณน้าต้องไปพบกับคุณพ่อมาแล้วแน่ๆ เลย ใช่ไหมคะ”

พอพรสวรรค์ถามคำถามนี้ คุณวิชชุลดาก็มีสีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แล้วยังอึกอักอยู่อีกอึดใจ ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้

“คือ... อย่างนี้นะคะ น้าน่ะ... น้ารู้จักกับภพสรวง เราเจอกันที่โน่น แล้วก็... จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ คือเขามาปรึกษาเรื่องคุณพ่อ...”

“ตอนนี้พี่จ๋อมก็อยู่ที่เมืองไทยนะคะคุณน้า”

พรสวรรค์ออกจะงง เพราะเริ่มจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก

“แล้วเรื่องอย่างนี้ พี่จ๋อมก็ไม่น่า...”

“แต่น้าเต็มใจนะคะ เต็มใจจะช่วยดูแล ตั้งใจว่าจะให้ย้ายไป ไม่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพก็บำรุงราษฎร์”

“ไม่ไหวหรอกค่ะ สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหวแน่ๆ”

“แต่เราคนกันเองนะคะ จะว่าเป็นครอบครัวเดียวกันก็อาจจะได้”




วารินทร์แสนจะเบื่อหน่ายยิ่งนัก ไม่รู้ว่าปรมัตถ์จะบ้าไปถึงไหน ดูเถอะ ตรงร้านกาแฟบ้าๆ นั่น ทางเข้าก็อึดอัดคับแคบจะแย่ ครั้นพอจะรับงานทั้งที ก็กลับหนีไม่พ้นทำเลเดิมๆ คือในสุดของตรอกแคบๆ บ้านเก่าติดแม่น้ำ แม้หลังนี้จะใหญ่โตกว่า แต่ใครล่ะมันจะหลงเข้ามาได้ชมความงาม

กว่าจะตีหน้าเศร้าเล่าความหลัง ทั้งเท้าความในความผิด ทั้งดัดจริตทำเป็นนางร้ายผู้อาภัพอยากกลับใจ กับภาสกรอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะรู้ที่อยู่ตรงนี้ แล้วดูสิ ทั้งเปลี่ยวทั้งร้าง เผลอๆ นายจ้างอาจจะโกงค่าแรงเอาด้วยซ้ำ

นี่เพราะเงินตัวเดียวเท่านั้นหรอกที่เธอยังยอมทน บากหน้ามาหาเขาอีกครั้ง ต้องลองเกลี้ยกล่อมกันอีกสักตั้ง คราวนี้ปรมัตถ์น่าจะยอมฟังเธอบ้าง เพราะถูกจับได้เสียแล้วว่าโกหก เรื่องที่ว่าไปรับงานเขียนโบสถ์วัดต่างจังหวัดเอาไว้

“แหม!... วัดของปอนี่หน้าตาแปลกๆ นะคะ”

วารินทร์ส่งเสียงนำเข้าไปก่อน เมื่อเห็นว่าเป็นปรมัตถ์ที่ก้มๆ เคยๆ ลงสีพื้นอยู่ตรงผนังด้านหนึ่ง

“วา... มายังไง”

คนถูกทักตกใจนิดๆ แต่ก็รีบรวมสติ ทักทายกลับไปด้วยท่าทางปกติที่สุด

“ไหนบอกว่าได้งานที่ต่างจังหวัด”

“ก็ใช่... แต่ต้องหลังจากงานนี้”

“ปอไม่เห็นบอกเลยว่าได้งานที่นี่ด้วย”

“ก็... วาหายไปตั้งหลายวัน งานนี้เค้าเร่ง ผมก็มัวมาขลุกอยู่ที่นี่”

“นั่นละค่ะ ปอถึงไม่เห็นว่าวาเทียวไปหาที่ห้องไม่รู้กี่ครั้ง”

วารินทร์เดินใกล้เข้ามาจนชิด ก่อนจะมาที่นี่เธอแวะกลับไปที่พัก อาบน้ำแต่งตัวใหม่จนเรี่ยมไปทั้งตัว น้ำหอมกลิ่นคุ้น ที่วันนี้ปรมัตถ์กลับรู้สึกฉุนบอกไม่ถูก ทำให้เขาต้องถอยห่างออกมา

แต่วารินทร์ยังตามติด และเป็นฝ่ายดึงปรมัตถ์เข้ามาเบียดให้แนบชิด เมื่อเอื้อมมือคว้าเขาเอาไว้ได้ คนที่รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกข่มขืน ต้องรีบปลดวงแขนของหญิงสาวออกเป็นพัลวัน

“ล้อเล่นแค่นี้ ก็ทำเป็นจริงจังไปได้ ยังไงล่ะคะ หรือลืมวาเสียแล้ว ตั้งแต่ไปได้ดมกลิ่นขนมนมเนยของเด็กคนนั้น”

ในสายตาของวารินทร์ยังมองพรสวรรค์เป็นแค่เด็กไร้เดียงสาอยู่ไม่รู้วาย

“อย่าไปพูดถึงคนอื่นเลยวา ว่าแต่ที่มาถึงนี่ มีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ดูพูดเข้า เดี๋ยวนี้ต้องมีธุระเชียวหรือคะ ถึงจะได้เจอกัน”

“ก็... ผมกำลังยุ่ง”

“มัวแต่ยุ่งอยู่อย่างนี้ละค่ะ เดี๋ยววาก็หาแฟนใหม่เสียเลย”

วารินทร์คิดว่ามุกนี้ต้องเจ็บปวด แต่ปรมัตถ์กลับแค่มองมาเฉยๆ

“อ๋อ! ลืมไปว่าปอมีนังนั่นแล้ว แล้วรู้ไหมล่ะคะ ว่านังหน้าสวยที่ดัดนิสัยให้ไร้เดียงสาต่อหน้าคุณน่ะ ตอนนี้มันกระโดดขึ้นรถน้องชายคุณไปแล้ว ไม่รู้ป่านนี้พากันไปขับไปขี่ถึงสวรรค์ชั้นไหน”

คราวนี้ปรมัตถ์ร้อนวูบขึ้นมาเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำเฉยเสีย เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด

“ตกลง ที่วามาถึงนี่เพราะมีเรื่องจะบอกผมแค่นี้น่ะหรือ”

วารินทร์จึงเริ่มเดือด ขัดใจนักที่ไม่ว่าจะยุแหย่ท่าไหน เขาก็ยังเฉยอยู่ได้

“เรายังคุยกันไม่จบนะคะ แต่ไอ้เพื่อนปากสุนัขของคุณมันดันมาแทรก”

“ตกลงวาจะไปงานเขียนโบสถ์ด้วยกันจริงๆ หรือ”

“เลิกมาทำเป็นเนียน รับงานที่นั่นที่นี่เถอะค่ะ บอกมาตรงๆ ได้ไหมว่าทำไมต้องโกหกวากันด้วย”

ที่จริงปรมัตถ์ก็รู้สึกผิด ที่ยอมสมรู้ร่วมคิดกับภาสกรในเรื่องนี้ เขาไม่กล้าสบตากับวารินทร์ตรงๆ จึงเดินเลี่ยงไปทางริมน้ำ

“แล้วก็เรื่องทรัพย์สินมรดกอะไรนั่นอีก ทำไมอยู่ๆ ถึงไม่อยากจะรับมันขึ้นมาล่ะค่ะ ตลอดมาวาก็เห็นปออยู่สุขสบายกับมันดี”

แล้วเขาก็เข้าใจเจตนาของวารินทร์ทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้เอง

“ปีกว่าที่ผ่านมา ทำให้ผมคิดอะไรได้เยอะเหมือนกันนะวา คนอย่างผมไปรับมรดกใครเขาไม่ได้หรอก มีแต่จะพาให้ล่มจมมากกว่าจะงอกเงย”

“แล้วมันเดือดร้อนตรงไหนล่ะคะที่จะรับ”

พอปรมัตถ์พาออกมาคุยเรื่องนี้ วารินทร์ก็เหมือนลืมสนิทว่าก่อนหน้า กำลังพูดกันถึงว่าทำไมต้องโกหก

“แล้วอย่างนั้นวาจะเดือดร้อนอะไรด้วยเล่า”

“ก็...” วารินทร์หน้าชาจนแทบพูดไม่ออก “...ก็ อนาคตของเรา...”

“ผมบอกไปแล้วว่าขอเวลาหน่อย ถ้าวารอได้”

“แต่วารอไม่ได้!”

“นั่นสิ แล้วจะให้ผมทำยังไง”

“ก็ปอจะไปปฏิเสธมรดกนั่นทำไมล่ะคะ”

ทั้งน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางของวารินทร์ตอนนี้ เกือบจะเหมือนกำลังเซ้าซี้อย่างไร้สาระที่สุด

“คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง เรื่องนี้ผมตัดสินใจไปแล้ว แล้วก็บอกกับคุณแล้วว่าเรื่องของเราจะเอาอย่างไรต่อไป”

พอปรมัตถ์เริ่มเปลี่ยนสรรพนาม วารินทร์ก็ยิ่งแค้น

“จะให้รออีกตั้งสี่ห้าปีน่ะหรือคะ”

“ผมพูดไปแล้ว”

และเสียงของปรมัตถ์ก็ห้วนลงเรื่อยๆ เขาเดินหนีจากเธออีกครั้ง กลับมาตรวจดูความเรียบร้อยของสีผนังที่ทาเสร็จไปแล้วด้านหนึ่ง

“วารอไม่ไหว ปีนี้วาอายุเท่าไหร่ อีกสี่ห้าปีก็แก่กันพอดี แล้ว... แล้วใครจะรู้ว่าอีกสี่ห้าปีนั่นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปอไม่น่าเห็นแก่ตัวขนาดนี้นะคะ”

“รอไม่ไหวก็ไม่ต้องรอสิคุณ ผมรู้หรอกน่ะว่าไอ้การรอคอยนี่มันทรมานสักแค่ไหน แค่ปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี่นะ ผมรู้ซึ้งกับมันดี”

“แสดงว่าปอยังโกรธว่าเรื่องนั้น”

“ผมจะไปโกรธคุณทำไม ชีวิตใครก็ชีวิตมัน”

“ปอ... ทำไมปอพูดอย่างนี้ ทำไมพูดเหมือนไม่มีเยื่อใยอะไรกันอีกแล้ว”

วารินทร์ถึงกับต้องใช้ไม้เด็ด เมื่อเห็นว่าอย่างไรเสียปรมัตถ์ก็คงจะเลิกสนใจตนแล้ว เธอรินน้ำตาออกมาได้สองสามหยดจริงๆ จนปรมัตถ์ต้องหันมามองให้แน่ใจ

“ถ้าอย่างนั้น ผมถามจริงๆ เลยนะ ว่าที่คุณกลับมาเนี่ย คุณต้องการอะไร ความรักของผม ตัวผม หรือว่าทรัพย์สินเงินทองของผมกันแน่”

“นี่ปอเห็นวาเป็นคนยังไง”

“ไม่ยังไงหรอก แค่ถามตรงๆ”

พอปรมัตถ์ยังย้ำคำถาม วารินทร์ก็มีอันต้องอึ้งไปอีก น้ำตาเจ้ากรรมที่เค้นออกมาก็ดันเหือดแห้งไปเสียทันที

“จำไม่ได้หรือคะ ผู้ชายอย่างปอ เมื่อก่อนมีมาจีบวาตั้งหลายคน แต่วาก็เลือกปอ”

“แล้วคุณก็ทิ้งผมไปไง อ้างว่าไปเรียนต่อ คุณรู้บ้างไหมว่าความเป็นไปของคนที่โน่นน่ะ คนไทยทางนี้เขาก็รับรู้ทุกอย่าง ใครจะเกิดจะตาย ใครจะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับใคร”

วารินทร์รู้สึกว่าตัวเองหน้าซีดลงด้วยคำนี้ แต่ก็ยังฝืนยิ้ม

“โธ่! ปอคะ ข่าวก็คือข่าว เราก็เป็นข่าวกันบ่อยไป ข่าวพวกนั้นเขาก็ใส่สีตีไข่กันเรื่อยไป จะเอาอะไรกับไอ้พวกหากินบนความทุกข์ของคนอื่นกันล่ะคะ”

“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผม”

แต่ปรมัตถ์ยังย้ำ จนวารินทร์ก็แทบจะเหลืออด

“ก็เพราะปอเป็นคนอย่างนี้ไงล่ะ ย้ำคิดย้ำทำอยู่อย่างนี้ ไม่มีซะละที่จะมองให้เห็นอนาคต คิดบ้างไหมล่ะคะว่าที่รักกันอยู่ดีๆ แล้วทำไมวาถึงต้องไป”

“เพราะไอ้คนที่คุณตามไปนั่น มันทำท่าจะรวยกว่าผมน่ะสิ”

“นี่ปอกำลังกล่าวหาว่าวาคอยแต่จะเกาะผู้ชายรวยๆ งั้นหรือคะ”

“หรือมันไม่จริง”

คำย้อนของปรมัตถ์นั้นเย็นเยียบ และความเย็นนั้นก็เสียดแทงเข้าไปถึงขั้วหัวใจของวารินทร์ได้ทันที

“พอกันที ถ้าปอคิดว่าวาเป็นคนอย่างนี้ก็จบกัน เราจบกัน ที่ผ่านมาก็คิดซะว่าให้หมามันกิน พอ! ถึงชีวิตวาจะทำเรื่องโง่ๆ มามาก แต่เรื่องที่จะกลับมาคืนดีกับปอนี่ละ ที่วารู้สึกว่าตัวเองโง่ที่สุด!!!”

วารินทร์ต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย คือแสร้งทำอาการทั้งเสียอกเสียใจทั้งคับแค้น ทั้งที่จริงก็เพราะไม่รู้จะหาถ้อยคำใดมาคัดง้างกับความจริงที่ผ่านมาได้ เธอต้องทำเป็นเดือดดาลขึ้นมา และชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ ด้วยการประกาศบอกเลิกกับเขาเสียก่อน

แล้วเธอก็ยืนรอ รอให้ปรมัตถ์พูดงอนง้ออะไรออกมาสักคำ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ยิ่งบอบช้ำหนัก เพราะพอเขาเงยหน้าขึ้นมาจากการล้างแปรงทาสีนั่นอีกครั้ง ก็พูดขึ้นมาเหมือนแปลกใจว่า

“หมดธุระแล้วก็เชิญสิครับ ยืนอยู่ทำไม ผมจะทำงาน”


                                  *************

แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 53 08:11:52

แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 53 07:54:18

แก้ไขเมื่อ 15 เม.ย. 53 01:53:21

จากคุณ : SONG982
เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 01:51:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com