คำพิพากษา (เรื่องเล่าจากจอแก้ว)
|
|
เรื่องเล่าจากจอแก้ว
คำพิพากษา
จอจาน
เขาเป็นชายร่างสันทัดวัยกลางคน อายุประมาณ ๔๐ ปีค่อนปลาย ๆ หน้าของเขาเฉยเมย ดวงตาภายใต้คิ้วดกดำหนา ส่อแววดุดันน่าเกรงขาม แต่อาชีพของเขาเป็นพียง ช่างตัดผม ในร้านเล็ก ๆ ของจังหวัดที่ไกลจากเมืองหลวงเท่านั้น
เขาเป็นช่างตัดผมคนหนึ่งของเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นช่างตัดผมเหมือนกัน เขาทำงานกันเพียงสองคน ทั้ง ๆ ที่มีเก้าอี้ตัดผมอยู่ในร้านถึงสามตัว ช่างตัดผมคนที่เป็นเจ้าของร้าน เป็นญาติข้างภรรยาของเขาด้วย
ภรรยาของเขามีวัยประมาณ ๔๐ ปีกว่านิดหน่อย เธอทำงานเป็นพนักงานผู้น้อย ในสาขาแห่งหนึ่งของเมืองนั้น เธอกับเขากำลังเบื่อหน่ายกันและกัน แต่ก็ต้องจำทนอยู่กันไปอย่างแกน ๆ เป็นเวลาหลายปีแล้ว
วันหนึ่งมีลูกค้าเข้ามาตัดผมในร้าน เป็นชายร่างอ้วนใหญ่ลงพุง ท่าทางเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจ เมื่อเขาจะลงมือตัดผม พ่อค้าผู้นั้นได้ถอดวิกผมที่สวมมาอย่างสนิทแนบเนียนออก เผยให้เห็นศีรษะอันล้านเลี่ยน แล้วจึงให้เขาตัดผมจริงที่ดกดำอยู่แถวท้ายทอยให้กลมกลืนกับวิกที่เขาสวมใส่อยู่นั้น
ระหว่างที่เขากำลังตัดผม พ่อค้าคนนี้ก็ได้พูดถึงกิจการของตนเอง ที่จะลงทุนเปิดร้านซักอบรีดเสื้อผ้า ซึ่งยังไม่มีใครดำเนินกิจการนี้มาก่อน เขาบรรยายถึงลู่ทางที่จะชักชวนให้พวกแม่บ้านที่เบื่อระอากับการซักและรีดผ้าด้วยมือ ที่จะมาใช้บริการของร้านของตนอย่างเนืองแน่น แต่ทว่ายังขาดผู้ร่วมหุ้นด้วยสักครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเงินมากพอใช้
ชายช่างตัดผมฟังแล้วก็เก็บเอามาคิด ด้วยความสนใจ หลังจากที่ลูกค้าออกจากร้านไป โดยบอกที่อยู่ไว้อย่างชัดเจน เขาอยากจะร่วมหุ้นกับพ่อค้ารายนี้ แต่เขาจะหาเงินจำนวนมากนั้นมาจากไหน และเชื่อได้อย่างไรว่าจะไม่โดนหลอกลวงต้มตุ๋น
จากนั้นอีกไม่กี่วัน เขาได้รับโทรศัพท์จากผู้จัดการธนาคารสาขาที่ภรรยาของเขาทำงานอยู่ ขอปรึกษาเรื่องธุระที่สำคัญบางอย่าง เขาจึงรีบเดินทางไปหาผู้จัดการที่บ้านพัก หลังจากที่ทั้งสองได้เลิกงานแล้ว ผู้จัดการได้บอกเขาว่า ภรรยาของเขาได้ทำบัญชีผิดพลาด เป็นเหตุให้เงินขาดหายไปหลายหมื่น ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ เพราะอยู่ในความรับผิดชอบของผู้จัดการเอง แต่อยากจะขอร้องให้เขาช่วยเหลือในเรื่องที่ตนได้รับหนังสือขู่เข็ญให้จ่ายเงินหนึ่งแสนบาท เพื่อปกปิดเรื่องไม่ดีของตน ในข้อที่เป็นชู้กับพนักงานหญิงในสาขาของตนเอง
เขาฟังเรื่องทั้งหมดแล้วก็บอกว่าไม่สามารถจะช่วยอย่างไรได้ เพราะเขาเป็นเพียงช่างตัดผมเล็ก ๆ เท่านั้น แต่เขาไม่ได้บอกว่า เขารู้เรื่องนี้อย่างเต็มอก เพราะเขาเป็นคนพิมพ์หนังสือขู่เข็ญฉบับนั้นด้วยตนเอง และหญิงที่เป็นชู้กับผู้จัดการ ก็คือภรรยาของเขาเอง
ผู้จัดการจึงต้องนำเงินใส่ห่อไปทิ้งถังขยะในที่แห่งหนึ่ง ตามคำสั่งในจดหมาย และเขาก็แอบไปเอาเงินนั้นมาโดยไม่มีใครรู้เห็น
จากนั้นเขาก็ไปหาพ่อค้าอ้วน เพื่อมอบเงินให้เข้าร่วมทุนเปิดกิจการร้านซัก อบ รีด ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะถูกโกงหรือไม่
อีกหลายวันต่อมา หลังจากที่เขากับภรรยา ได้ไปเป็นแขกรับเชิญในงานแต่งงาน ของเพื่อนคนหนึ่ง ขากลับเขาขับรถพาภรรยาที่ดื่มเหล้าจนเมาหมดสติหลับมาตลอดทาง และเมื่อเขาประคองเธอเข้าห้องให้นอนบนเตียงแล้ว เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้จัดการ ให้ไปพบที่บ้านเดี๋ยวนั้น
เขาก็ไม่ได้รอช้า เปิดกระเป๋าหยิบกุญแจบ้านผู้จัดการ จากกระเป๋าถือของภรรยา กับมีดเล็ก ๆ ในกระเป๋านั้นไปด้วย เมื่อพบหน้าผู้จัดการในห้องทำงานที่บ้าน เขาก็ถูกผู้จัดการระเบิดคำพูดใส่หน้าว่า เขานั่นแหละเป็นตัวการร่วมมือกับใครอีกคนหนึ่ง ขู่กรรโชกเขาเรื่องที่ตนเป็นชู้กับภรรยาของเขา ซึ่งตนได้จัดการกับชายผู้นั้นไปแล้ว คราวนี้จะคิดบัญชีกับเขาบ้าง
และขณะที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้จัดการก็ลุกจากเก้าอี้ที่โต๊ะทำงาน เข้ามาปลุกปล้ำบีบคอเขาจนหน้าเขียว เพราะผู้จัดการตัวใหญ่กว่าเขามาก เขาจึงล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมชั้นนอก ได้มีดเล่มเล็กจิ้มเข้าที่ซอกคอผู้จัดการ เขาจึงรอดจากการหายใจไม่ออก ผู้จัดการล้มลงไปนอนคว่ำหน้า เลือดไหลนองออกจากบาดแผลที่เล็กนิดเดียว และสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้นเอง เขาจึงออกจากบ้านผู้จัดการ ขับรถกลับมาบ้านโดยไม่มีใครเห็นเลย
วันรุ่งขึ้นภรรยาของเขาก็ถูกตำรวจจับ ข้อหาฆ่าผู้จัดการ เพื่อนผู้เป็นช่างตัดผมเจ้าของร้าน ได้พยายามช่วยเหลือ จึงเอาร้านตัดผมไปจำนองค้ำประกันเงินกู้ เพื่อจ้างทนายความมาสู้คดี ให้ภรรยาของเขา เพราะเขาไม่มีเงินเลย และเมื่อติดต่อกับพ่อค้าที่ร่วมหุ้นกันนั้น ก็ได้ทราบว่าหายไปจากบ้านโดยไม่ได้จ่ายค่าเช่าด้วย
เมื่อเขาและทนายความเข้าไปเยี่ยม และปรึกษาการต่อสู้คดีในศาล ที่เชื่อว่าภรรยาของเขาไม่ได้ฆ่าผู้ตาย และแต่งเรื่องขึ้นสอนให้ภรรยาของเขาให้การให้พ้นผิด เขาก็บอกทนายว่า เขาเป็นผู้ฆ่าผู้จัดการด้วยมือของเขาเอง แต่ทนายความไม่เชื่อ และไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะทำให้ผู้พิพากษาเชื่อด้วย ดังนั้นทนายจึงยืนยันให้ภรรยาของเขา ให้การตามเรื่องที่เขาแต่งขึ้น
เมื่อถึงวันที่ศาลนัดพิจารณาคดีนี้ ทนายความและเขาพร้อมด้วยเจ้าของร้านตัดผม ก็ไปศาลตามเวลา แต่ตัวจำเลยไม่มา ศาลรออยู่นานจนสุดท้าย ก็มีเจ้าหน้าที่มารายงานต่อผู้พิพากษาว่า จำเลยได้ฆ่าตัวตายเสียแล้ว คดีเป็นอันสิ้นสุดลง ทนายความก็เก็บแฟ้มกลับไป โดยไม่ได้แสดงฝีมือ
อีกไม่กี่วันต่อมา ขณะที่เขาทำงานอยู่ในร้านตัดผม ก็มีชายผู้หนึ่งเข้ามาหา ขอเชิญไปคุยกันที่ร้านกาแฟ ชายผู้นั้นแนะนำตนเองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพผู้ที่ตายในเรือนจำ ชายคนนั้นได้อ้ำอึ้งอยู่นานกว่าจะบอกเขาว่า ตนได้พิสูจน์ศพภรรยาของเขาแล้ว ปรากฏว่าเธอตั้งครรภ์ได้ประมาณสามเดือน เขานิ่งฟังอย่างเงียบเฉย แล้วก็บอกว่า เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับภรรยามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่งที่บ้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เขาเคยมาที่บ้านเพื่อนคนนี้บ่อย ๆ ตั้งแต่เมื่อเขาจะหาทนายให้ไปว่าความสู้คดีของภรรยาเขา แต่เพื่อนเป็นทนายความคดีแพ่งจึงแนะนำทนายความคนที่ผ่านมานั้น แต่เขาก็ยังมาที่บ้านนี้บ่อย ๆ หลังจากภรรยาตาย เพราะเขาชอบฟังเสียงเปียนโนเพลงคลาสสิค ที่บุตรสาววัยรุ่นของเพื่อนเป็นผู้บรรเลง
เขาเห็นแววนักดนตรีของเด็กสาว ก็อยากจะส่งเสริมให้ได้เรียน กับครูดนตรีที่มีชื่อเสียง เพื่ออนาคตของเด็ก เขาจึงพาเด็กคนนี้ไปหาครูดนตรีท่านหนึ่ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธว่า เด็กสาวไม่ได้มีใจรักดนตรีอย่างแท้จริง ไม่สามารถจะสอนให้เรียนรู้ถึงคนตรีขั้นสูงได้ เขาจึงผิดหวังอย่างรุนแรง แต่ตัวเด็กเองกลับไม่รู้สึกเสียใจ และเมื่อนั่งรถกลับจากบ้านครูดนตรี ก็เกิดอุบัติเหตุ หลบรถคันอื่นจนพลิกคว่ำ ตัวเขาบาดเจ็บสาหัส แต่เด็กหญิงกระดูกไหปลาร้าหัก ซึ่งหมอบอกว่าไม่ถึงขีดอันตรายรักษาไม่นานก็จะหายเป็นปกติ
เมื่อเขาฟื้นขึ้นจากอาการสลบ ก็มีเจ้าหน้าที่สองคนมารับตัวเขาจากโรงพยาบาล ไปรักษาต่อในเรือนจำ เพราะเขาตกเป็นจำเลยในคดีฆ่าพ่อค้าคนที่หายตัวไป ตั้งแต่ภรรยาของเขาต้องคดีฆ่าผู้จัดการ เมื่อเขาหายดีแล้วจึงทราบว่า มีเด็กคนหนึ่งไปเล่นน้ำในบึงใหญ่ของจังหวัดนั้น และดำน้ำลงไปพบพ่อค้านอนตายอยู่ในรถเก๋งส่วนตัว ตามร่างกายมีบาดแผลถูกซ้อมจนน่วม ในกระเป๋าเอกสารของพ่อค้า มีใบสัญญาร่วมทุนร้านซัก อบ รีด ที่เขาเซ็นชื่อไว้ เจ้าหน้าที่จึงส่งฟ้องศาลในข้อหาฆ่าพ่อค้าโดยเจตนา
เขาจึงระลึกได้ว่า ผู้จัดการสาขาธนาคารที่ตาย ได้บอกกับเขาว่า ได้จัดการกับผู้ร่วมมือกับเขาขู่เข็นรีดเงินไป แล้วจึงมาจัดการกับเขาจนเขาต้องป้องกันตัว และผู้จัดการได้ตายด้วยน้ำมือเขานั่นเอง
เมื่อขึ้นศาลเพื่อนเจ้าของร้านตัดผม ฟังคำฟ้องของอัยการผู้เป็นโจทก์แล้ว ก็โกรธเขามากจนลุแก่โทสะ ลงมือต่อยเขาโดยไม่กลัวอำนาจศาล เพราะแค้นที่ทำให้เสียญาติ ที่เป็นภรรยาของเขา และเสียร้านตัดผมที่เอาไปจำนอง เพื่อเอาเงินมาจ้างทนายว่าความด้วย
ส่วนตัวเขาเอง ต้องเสียภรรยา และเสียเพื่อนที่ดีไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ชีวิตอันว่างเปล่า ที่รอคำพิพากษาอยู่เท่านั้น.
###########
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
17 เม.ย. 53 06:13:05
|
|
|
|