 |
ความคิดเห็นที่ 4 |
|
วันก่อนเขียนเรื่องวินัยในการใช้เงินว่าไม่ควรใช้จ่ายเกินตัว ยิ่งไม่ควรกดเงินสดจากบัตรเครดิตเพื่อไปใช้จ่ายหรือเอาไปโป๊ะหนี้บัตรใบอื่นเพราะว่าดอกเบี้ยมันแพง
ข้าพเจ้ายังเล่าให้คุณฟังว่า ข้าพเจ้าใช้เงินเก็บเพื่อปลูกบ้านและซื้อรถโดยไม่ได้ไปผ่อนกับธนาคารแต่อย่างใด ถามว่าเงินของข้าพเจ้ามาจากไหน ข้าพเจ้าไปถูกหวยหรือรวยหุ้นมาหรืออย่างไร เปล่าเลย เงินทั้งหมดนี้เป็นเงินที่ได้มาอย่างบริสุทธิ์ จากน้ำพักน้ำแรงหยาดเหงื่อ (อาจมีน้ำตาแทรกเป็นระยะ) แหล่งที่มาของเงินทั้งหมดนั้นมาจากบุญคุณของคุณพ่อ-คุณแม่ของข้าพเจ้า บุญคุณที่ท่านทั้งสองได้ปลูกฝังวินัยในการออมเงินให้กับเราสองคนพี่น้องตั้งแต่ในวัยเยาว์
เริ่มจากเมื่อข้าพเจ้าอายุประมาณ 7 ขวบ ที่เช้าวันเสาร์คุณพ่อ-คุณแม่ พาข้าพเจ้ากับพี่ชายไปที่ธนาคารออมสินสาขาบางลำพู มาเปิดบัญชีเงินฝาก โดยเปิดบัญชีให้คนละ 20 บาท ทางธนาคารจะมี การ์ดสะสมสำหรับเด็กเป็นเครื่องจูงใจให้เด็กๆอย่างข้าพเจ้าให้อยากฝากเงินอย่างต่อเนื่อง เพราะอยากได้การ์ดสะสมให้ครบชุด
นับเป็นวิสัยทัศน์ที่น่าชื่นชมของทางธนาคาร เพราะไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องอย่างไรข้าพเจ้ากับพี่ชายก็จะตะกายไปฝากเงินจนได้ ตอนแรกๆก็เป็นเงินของคุณพ่อ-คุณแม่จนเมื่อข้าพเจ้าเริ่มติดใจเจ้าการ์ดสะสมและได้เงินค่าขนมเป็นรายอาทิตย์ ตอนนั้นข้าพเจ้าจะกันเงินเอาไว้เพื่อฝากเงินในแต่ละอาทิตย์เสมอก่อนที่จะใช้เงิน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นคงไม่มีเงินเหลือเพราะข้าพเจ้าใช้เงินเก่งไม่หยอก
จนเมื่อข้าพเจ้าเติบโตขึ้นการ์ดแบบเด็กๆไม่สามารถจูงใจข้าพเจ้าได้อีกต่อไป แต่น่าแปลกที่ว่านิสัยที่ต้องออมเงินทุกครั้งก่อนใช้เงินในแต่ละเดือนกลับติดจนกลายเป็นสันดาน คงคล้ายๆกับการออกกำลังกายถ้าทำจนชินถ้าไม่ได้ทำมันหงุดหงิดอย่างไรชอบกล
จนวันที่ข้าพเจ้าเข้าสู่วัยทำงาน ตอนนั้นธนาคารกรุงเทพฯมีโครงการณ์รับฝากเงินรายเดือนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยสามารถให้ธนาคารหักจากบัญชีออมทรัพย์ได้โดยอัตโนมัติ ที่สำคัญเงินฝากประเภทนี้ไม่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ข้าพเจ้าเรียกเงินฝากประเภทนี้ว่า เงินฝากแบบจิกหัวเก็บ เพราะแลกกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราเงินฝากประจำ 12 เดือนข้าพเจ้าต้องมีวินัยในการออมที่จะต้องเก็บเงินทุกเดือน
ข้าพเจ้าเลือกเก็บเงินในอัตราสูงสุดที่กฎหมายยอมให้ออมได้ซึ่งเป็นอัตราร้อยละ 30 ของเงินได้ของข้าพเจ้าในแต่ละเดือน มันเป็นการกำหนดตัวเองให้มีน้อยใช้น้อย คิดใคร่ครวญว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ครบ 2 ปี เงินต้น 600,000 บาท ดอกเบี้ยที่ได้ประมาณ 70,000 บาท ข้าพเจ้าโอนเงินทั้งหมดเข้าบัญชีเงินฝากประจำแบบเก็บลืมไปเลย ลืมซะว่าเรามีเงินก้อนนี้ และเริ่มจิกหัวเก็บเงินใหม่ แม้เมื่อจะยิ่งฝากดอกเบี้ยจะเริ่มต่ำเตี้ยลงตามลำดับแต่ข้าพเจ้าก็คงเก็บเงินต่อไปเพราะมันชินซะแล้ว ........เจ้าเงินพวกนี้เองเป็นที่มาของบ้านและรถของข้าพเจ้าในปัจจุบัน
มีมหาเศษฐีท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า เงินที่พร้อมจะนำมาใช้ได้ตลอดเวลา (ขออนุญาตอธิบายความว่าเช่นเงินที่อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่เบิกง่ายๆด้วยการใช้บัตร ATM) เป็นเงินของคนอื่นเพราะพร้อมจะใช้จ่ายไปได้ตลอดเวลา มีแต่เงินออมเท่านั้น (เงินที่ถูกเก็บในบัญชีเงินฝากประจำหรือแบบจิกหัวเก็บ) จึงจะใช่เงินของเราอย่างแท้จริง
มีคนบอกว่าการออมเงินไม่ใช่เรื่องง่ายเลยลองพยายามหลายครั้งแล้วไม่สำเร็จเสียที่ ข้าพเจ้ามีเคล็ดลับมาบอกดังนี้
1. หาแรงจูงใจที่อยากออมเงินเช่นตั้งเป้าหมายว่าถ้าออมครบแล้วจะเอาไปทำอะไร เริ่มจากเป้าหมายที่ไม่ยากเกินไปเช่นถ้าออมครบ 6 เดือน แล้วจะเอาเงินครึ่งหนึ่งไปเที่ยวที่ๆเราอยากไป (อีกครึ่งเก็บแบบลืม)
2. กันเงินไว้ตั้งแต่ต้นเดือน แยกฝากไว้อีกบัญชีหนึ่งแล้วอย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าคุณไม่มีเวลาให้ธนาคารช่วยหักเงินให้ทุกๆเดือนก็สะดวกดี
3. จำนวนเงินที่คุณจะออมไม่ควรทำให้ชีวิตคุณลำบากเพราะจะทำให้คุณหมดกำลังใจในการออมได้โดยง่าย อาจเริ่มจาก 5% ของรายได้ก็ได้ ไม่ต้องมากแต่ขอให้สม่ำเสมอเป็นใช้ได้
4. วัยที่เริ่มออมมีส่วนกับ % การออมเพราะถ้าคุณเริ่มต้นออมตอนอายุ 40 ปี % ของเงินออมน่าจะไม่น้อยกว่า 20% ของรายได้เพราะระยะเวลาที่คุณจะหารายได้มีอีกแค่ 20 ปีเท่านั้น ยิ่งตอนนี้อัตราดอกเบี้ยยิ่งต่ำเตี้ยเรี่ยดิน โอกาสให้เงินทำงานไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน
5. ลองหาแหล่งออมเงินอื่นที่ความเสี่ยงน้อยแต่ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำเช่นซื้อหน่วยลงทุนที่เลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ข้าพเจ้าเลือกเล่นแชร์กับกลุ่มคนคุ้นเคยประวัติดีไม่มีหนี ดอกเบี้ยที่ได้ก็พอจะซื้อกับข้าวได้หนึ่งอาทิตย์สบายๆ แต่นั่นต้องหมายความว่าคุณต้องรอเปียแชร์เป็นมือท้ายๆหรือรอบ๊วย (เลือกเปียแชร์เป็นคนสุดท้าย) คนที่ร้อนเงินไม่แนะวิธีนี้นะจ้ะ
6. ถ้าคุณจะฝึกลูกๆให้เริ่มออมเงินอาจมีแรงเสริมโดยที่คุณออมเงินสมทบเท่ากับเงินที่ลูกออมได้ เขาจะมีกำลังใจที่จะเริ่มออมเงิน เมื่อออมจนครบกำหนดต้องมีรางวัลเป็นแรงจูงใจ จนเขาเริ่มออมจนเป็นนิสัยพอถึงตอนนั้นถึงคุณไม่สมทบเขาก็อยากจะออมเงินด้วยตัวเองแล้ว บอกแล้วไงว่ามันยากตอนแรกเท่านั้นแหละ
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านที่จะเริ่มออมเงินตั้งแต่วันนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเราอาจมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ถ้าคุณมีเงินออมคุณจะมีความมั่นใจในทุกย่างก้าวของชีวิต
จากคุณ |
:
กาปอมซ่า
|
เขียนเมื่อ |
:
19 เม.ย. 53 11:56:21
|
|
|
|
 |