 |
ความคิดเห็นที่ 1 |
ย้อนเวลากลับไปตอนที่สามีของแกรับฝากไว้นั้น เพื่อนของสามีและสามีของแกทั้งคู่ก็อายุกว่าหกสิบปีแล้ว เมื่อรับเอกสารสัญญากู้เงินดังกล่าวมา ก็วางไว้ที่ตู้ดังกล่าวและไม่เคยเปิดออกมาดูอีกเลย จนเวลาล่วงเลยมากว่ายี่สิบห้าปี ต่อมาอีกราวห้าหกปีหลังจากการรับฝากสัญญากู้เงินไว้ เพื่อนสนิททั้งคู่ก็ถึงแก่กรรมไปตามวัย เหลือแต่แกอยู่ต่อมาเพื่อรักษาความลับดังกล่าวไว้
เมื่อแกเกิดนึกถึงและระลึกขึ้นมาได้ก็เลยให้ค้นหามาให้เจอ แล้วก็จัดการฌาปนกิจสัญญากู้เงินทั้งหมด เพราะผู้ให้กู้ก็ตายไปแล้ว ส่วนคนที่กู้เงินทั้งหลายทั้งปวง ผู้กู้บางคนก็อายุไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบปีขึ้นไปแล้ว บางคนก็ตายไปแล้ว บางคนแกก็รู้จักบ้าง บางคนแกก็ไม่รู้จักเลย ถ้าอยู่จนถึงทุกวันนี้หลายรายคงจะไม่มีปัญญาจ่าย หรือจำไม่ได้แล้วว่ากู้เงินมาจริงหรือไม่
อีกอย่างถ้ารื้อออกมาแล้วเอาสัญญากู้เงินไปให้ลูกชายของเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย(เจ้าหนี้) ก็จะกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตอีก เพราะคงลำดับความเป็นมาความเป็นไปอีกมากมาย รวมทั้งประจักษ์พยานหลักฐานว่า มีการจ่ายเงินแล้วหรือยังก็ยังไม่แน่ใจว่า มีสำเนาอีกชุดหรือไม่ว่ามีการจ่ายเงินกันแล้วหรือไม่ เวลาล่วงเลยมากว่ายี่สิบกว่าปีแล้ว หนี้ก็คงจะเพิ่มพูนกันบานตะไท ในยอดหนี้ดอกเบี้ยกับเงินต้นดังกล่าว
กอปรกับลูกหนี้เองหรือลูกหลานของลูกหนี้ ในตอนนี้ก็คงไม่อยากรับผิดชอบอีกในหนี้เหล่านี้อีก เพราะดอกเบี้ยสมัยนั้นคิดกันในอัตราแบบรับซื้อลดเช็ค คือคิดเป็นรายวัน หมื่นละเจ็ดบาทต่อวันสำหรับรายนอก (หรือประมาณร้อยละ 25.55 ต่อปี) เอา 72 ตั้งแล้วหารด้วยอัตราดอกเบี้ย (เป็นสูตรมหัศจรรย์) ก็จะใช้เวลาเพียง 2.8 ปี ดอกเบี้ยก็เท่ากับเงินต้นแล้ว เช่น กู้เงิน 100,000.-บาท ครบกำหนด 2.8 ปี ดอกเบี้ยก็จะเท่ากับ 100,000.-บาท ถ้ามีการคิดแบบดอกเบี้ยทบต้นเหมือนบัญชีเดินสะพัด หรือบัญชีกู้เบิกเงินเกินบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ก็จะมีเงินต้นกับดอกเบี้ยบานตะไทเลย (ถ้าเป็นเงินฝากประจำก็ถือว่าโชคดีมากเช่นกัน) ส่วนในรายทีสนิทสนมกันกับเจ้าหนี้ ก็คิดดอกเบี้ยกันในอัตราหมื่นละห้าบาทต่อวัน (หรือประมาณร้อยละ 18.25 ต่อปี) หรือใช้เวลาเพียง 3.9 ปีดอกเบี้ยก็เท่ากับเงินต้นแล้ว
ดังนั้นมารดาของเพื่อนก็เลยตัดสินใจว่า เผาสัญญากู้เงินทั้งหมดทิ้งไปเลยจะดีกว่า ถือว่าเป็นการทำบุญให้กับเจ้าหนี้และลูกหนี้ทั้งหลายไปเลย เพราะเรื่องราวที่ผ่านมาก็ควรจะจบกันได้แล้ว ระยะเวลาก็ล่วงเลยมากว่ายี่สิบห้าปีแล้ว รวมทั้งแกก็ไม่มีส่วนได้เสียอะไรในเรื่องนี้ด้วย ยิ่งถ้าแกนำสัญญากู้เงินชุดนี้ไปคืน ให้กับลูกชายเจ้าหนี้ไปดำเนินการเรียกร้องหนี้ต่อไปอีก ยิ่งรื้อเรื่องราวในอดีตออกมา ก็จะยิ่งจะมีผู้เสียหายและผู้ออกมาโวยวายมากมาย ตามเหตุผลข้างต้นที่กล่าวไว้แล้ว
อีกอย่างแนวคิดของแกที่ได้รับการอบรมสั่งสอน มาจากพ่อบุญธรรมของแกที่เมืองจีน (พ่อและแม่แท้ ๆ ของแกเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ช่วงยังเป็นเด็กมาก แกเลยมาอยู่กินและเติบโตขึ้นกับพี่สาวของแม่) พ่อบุญธรรมมักจะบอกหรือสอนว่า การให้กู้เงินที่คิดดอกเบี้ยเป็นบาป อย่าทำเลยไม่ดีในเรื่องนี้ เห็นมานักต่อนักแล้วว่า คนที่หากินกับดอกเบี้ย มักเจริญไม่นานหรือลูกหลานมักรับกรรมต่อไปภายหลัง เพราะเมืองจีนสมัยก่อนนั้น การคิดดอกเบี้ยก็คิดกันโหดมากกว่าเมืองไทย เรื่องนี้ยังมีอยู่ในทัศนะของคนจีนรุ่นเก่า ๆ ที่บางกลุ่มชนยังถืออยู่ในเรื่องนี้ รวมทั้งทางศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์บางส่วน เรื่องเลยจบกันแบบเช่นนี้เอง
เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ ก่อนที่จะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลาที่กลืนกินทุกอย่าง
แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 53 09:49:14
จากคุณ |
:
ravio
|
เขียนเมื่อ |
:
4 พ.ค. 53 12:45:48
|
|
|
|
 |