 |
ความคิดเห็นที่ 3 |
ฉันนั่งมองวิวไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงหน้าวัด วัดนี้ฉันเคยมาตอนเด็กๆ พร้อมคุณยาย ซึ่งฉันจำได้รางๆ แต่เท่าที่มองอยู่ก็ไม่มีอะไรเหมือนในความทรงจำเลย พี่สายพาฉันเดินมายังศาลาปฏิบัติธรรม ฉันเพิ่งสังเกตของในมือพี่สาย นางถือถุงผ้าใบหนึ่งมาด้วย ครั้นเห็นฉันมองก็เลยอธิบาย
ของถวายเพลค่ะ นางว่าพลางชูถุงในมือให้เห็นชัดๆ ไปๆ คุณตาล ไปฟังเทศน์กันก่อนดีกว่า
พี่สายจูงฉันซึ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปในศาลา ในนั้นมีคนมากมายนั่งกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณ แทบทุกคนนุ่งขาวห่มขาว มีบ้างที่แต่งตัวธรรมดา แทบทุกคนมีหนังสือสวดมนต์ตั้งอยู่ข้างหน้า บางคนมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กวางอยู่ข้างๆด้วย พี่สายอธิบายว่า คนที่นุ่งขาวห่มขาวนั้นมาถือศีลอุโบสถที่นี่
ศีลอุโบสถ...ฉันจำได้ว่า สมัยก่อนคุณยายเคยบอกว่าจะมาถือศีลที่วัดนี่
พี่สายอธิบายว่า สมัยก่อนคุณยายก็มาถือศีลที่นี่ แต่คนไม่มากเหมือนสมัยนี้ ตอนนี้ วัดจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมขึ้นมา จัดที่พักให้พร้อมห้องน้ำ ทำให้สะดวกสบายมากขึ้น หลายคนจึงนิยมมาถือศีลกัน ฉันได้แต่พยักหน้าเหมือนเข้าใจ ก่อนจะกระซิบถามพี่สายอย่างอายๆว่า ศีลแปดคืออะไรหรือ คราวนี้พี่สายนิ่งไปสักพัก คงจะไม่เคยเจอคนห่างศาสนาเหมือนฉัน นางเดินหายไปทางพระประธานสักครู่ แล้วเอาหนังสือสวดมนต์ใส่มือฉัน ฉันเหลือบมองหน้าอาราธนาศีลอย่างตั้งใจ
ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองและไม่ใช่ให้ผู้อื่นฆ่า)
อทินนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการลัก ,ฉ้อ ของผู้อื่นด้วยตนเอง และไม่ใช่ให้ผู้อื่นลัก ฉ้อ)
อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากอสัทธรรม กรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์)
มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการพูดเท็จ คำไม่เป็นจริง และคำล่อลวง อำพรางผู้อื่น)
สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการดื่มสุรา เมรัย เครื่องดองของทำใจให้คลั่งไคล้ต่าง ๆ )
วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล)
นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากพูด ฟัง ฟ้อนรำ ขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีต่าง ๆ และดูการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล และทัดทรงตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับและดอกไม้ของหอม เครื่องทาเครื่องย้อม ผัดผิวให้งามต่าง ๆ)
อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากนั่ง นอน เหนือเตียง ตั่ง มีเท้าสูงเกินประมาณ และที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่ ภายในใส่นุ่นและสำลี อาสนะอันวิจิตรไปด้วยลดลายงามด้วยเงินทองต่าง ๆ)
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (ว่า 3 ครั้ง)
ฉันอ่านตามอย่างตั้งใจ พลางอ่านคำแปลไปด้วย พลางหันไปถามพี่สายว่า การถือศีลแปดต่างจากศีลธรรมดาอย่างไร ไอ้ศีลห้าน่ะฉันพอจะรู้ล่ะ แต่ศีลแปด เคยแต่ได้ยิน ไม่เคยรู้เรื่องสักที
ศีลแปดน่ะ เป็นศีลที่ใช้ฝึกให้รักษามากขึ้นน่ะค่ะ เป็นการฝึกตัว ส่วนมากแม่ขาวมักจะถือกัน
พี่สายว่าเช่นนั้น ฉันก็ได้แต่พยักหน้า ฟังรู้เรื่อง แต่ไม่เข้าใจหรอก จะได้ว่าการถือศีลนั่งสมาธิ เขาว่ากันว่าจะทำให้สงบจิตสงบใจ ถ้าฉันจะลองถือศีลแปดดูบ้างก็น่าจะดี เผื่อจะมองเห็นอะไรกระจ่างใจขึ้นมาบ้าง ในเมื่อช่วงนี้มีแต่เรื่องร้ายๆเข้ามาในชิวิต โชคดีที่วัดนี้ไม่เคร่งขนาดต้องนุ่งขาวห่มขาวไม่เช่นนั้น ฉันคงไม่สามารถถือศีลที่นี่ได้ ครั้นพออธิบายถึงสิ่งที่ตั้งใจให้พี่สายฟัง นางกลับท้วงขึ้นมา
คุณตาลไม่ได้เตรียมตัวมา จะค้างได้ยังไงคะ
ฉันมองกำหนดการในมือ ช่วงเช้าสวดมนต์ ฟังเทศน์ ถวายเพล พักกลางวัน พอบ่ายสองก็มีสวดมนต์อีกครั้งแล้วก็พักตอนเย็น ก่อนจะทำวัตรเย็นตอนเกือบทุ่ม ช่วงเย็นมีเวลาว่างพอที่ฉันจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านได้
เดี๋ยวตาลอยู่ถึงเย็น สักห้าโมง พี่สายมารับตาลไปอาบน้ำที่บ้าน แล้วตาลก็มาสวดมนต์ต่อไงคะ
สายว่าเอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ คุณตาลก็สวดมนต์ไหว้พระเสียที่นี่ แล้วตอนเย็นก็กลับไปค้างที่บ้านดีกว่า ตอนสักตีสาม คุณตาลค่อยขอลาศีลที่บ้านก็ได้ค่ะ คุณไม่เคยมาแถวนี้ สายจะทิ้งให้อยู่คนเดียวก็เป็นห่วง
แต่...
เอาแบบนี้ก่อนแล้วกันค่ะ ไว้ครั้งหน้าค่อยมาค้างวัดนะคะ แต่ว่าคุณตาลจะอดข้าวเย็นไหวเหรอคะ คนไม่เคยมาก่อน
ฉันพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็จริงของพี่สาย ฉันไม่เคยมาอยู่แถวนี้เลย เพิ่งจะมาครั้งแรกก็ริจะค้างวัดเสียแล้ว เอาเถอะ ไว้ครั้งหน้าฉันค่อยลองมาอยู่แบบทั้งคืนดูบ้าง แต่ก่อนจะพูดคุยกันต่อ พระท่านก็เข้ามาในโบสถ์เพื่อทำวัดเช้าเสียก่อน ฉันกับพี่สายนำเสื่อมาปูพร้อมเบาะที่ทางวัดจัดเตรียมให้สำหรับนั่งสมาธิ หลังจากสวดมนต์เสร็จ ฉันก็สวดสมาทานศีลตั้งใจรักษาตลอดหนึ่งราตรี
ฉันก็ได้นั่งสมาธิเป็นจริงเป็นจังเป็นครั้งแรก การนั่งนั้นต้องใช้ขาขวาทับขาซ้าย มือประสานกันบนตัก หลังตรง พยายามนั่งให้สบายที่สุด คุณย่าคุณยายบางคนอายุมากแล้ว นั่งขัดสมาธิไม่ไหว ทางวัดก็อนุโลมให้นั่งบนเก้าอี้พลาสติกได้ เมื่อหลับตา โลกทั้งโลกก็สงบลง ฉันได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของทุกคน หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ ...พุทโธ พุทโธ พุทโธ
เสียงเทศน์ของท่านแว่วลอยมาตามสายลม ท่านเอ่ยถึงกรรมดี กรรมชั่ว เรื่องที่ท่านเทศน์นั้นผ่านหูไปเรื่อยๆ เหมือนสายน้ำไหล ฉันใจจดจ่ออยู่กับสมาธิจนแทบไม่ได้ใส่ใจฟัง จนท่านเอ่ยถึงเรื่องการระเริงในกรรมดีที่เคยสร้างสมมา
การทำกรรมดีมาแต่ชาติก่อนนั้นเป็นสิ่งที่ส่งผลให้ชาตินี้เราสุขสบาย แต่ก็ทำให้เราหลงกับความสบายไปได้ง่าย ยิ่งเราสบายมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งหลงติดไปกับความสุขไปเรื่อยๆ จนลืมนึกไปว่า กรรมดีนั้นสร้างได้ก็หมดได้ ถ้าเราใช้ไปเรื่อยๆโดยไม่เติม เหมือนเราขับรถ ถ้าขับไปเรื่อยๆโดยไม่เติมน้ำมันเลย วันหนึ่งน้ำมันหมด เราจะขับต่อไปได้ไหม มันก็หยุดนิ่ง กรรมดีก็เหมือนกัน หากเราเอาแต่ใช้โดยไม่เติม สักวันก็มีวันหมด
ฉันนิ่งฟังแล้วก็ฉุกคิดถึงชีวิตตัวเอง ใช่ ฉันมัวแต่ใช้ชีวิตอยู่กับการหาความสุขใส่ตัวเอง ประมาท ไม่ได้ทำกรรมดีเพิ่มเติมอะไรเลย มาถึงตอนนี้ ถึงได้เพิ่งคิดได้ว่า ชีวิตที่ผ่านมา มันช่างว่างเปล่า
ส่วนการทำกรรมดี ลบล้างกรรมชั่วได้ไหม ไม่ได้หรอก...กรรมดีก็ส่วนกรรมดี กรรมชั่วก็ส่วนกรรมชั่ว หักล้างกันไม่ได้ เพียงแต่ถ้าเราทำกรรมดีมากๆ กรรมชั่วมันก็ตามเราไม่ทัน เหมือนพระพุทธองค์ ท่านทำกรรมดีมาเรื่อยๆ เหมือนท่านขับจรวดอยู่ ส่วนกรรมชั่วที่กำลังนั่งรถตามมา ก็ตามมาไม่ทัน เพราะท่านไปไกลแล้ว ดังนั้น ถ้าเราอยากให้กรรมชั่วที่เคย ตามไม่ทัน เราก็ต้องทำความดีมากๆ เอ้า ลืมตาได้
ฉันลืมตาขึ้นมา แล้วก้มลงกราบท่าน ขานั้นเป็นเหน็บด้วยความที่ไม่เคยนั่ง ฉันขยับตัวพลิกไปมาเพื่อให้คลายเมื่อย ถึงฉันจะไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านเทศน์มาสักเท่าไหร่ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า จะทำกรรมดีให้มาก กรรมชั่วที่เคยทำไว้จะได้ตามมาไม่ทัน ประกายแห่งชีวิตที่เหมือนจะมอดไปหลายเดิน ได้ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากถวายเพลเสร็จแล้ว ฉันก็หยิบเงินติดกัณฑ์เทศน์ไปหนึ่งร้อยบาท ท่านยิ้มให้ฉันอย่างมีเมตตา ฉันก้มลงกราบท่านอีกครั้ง ก่อนจะถอยมาให้คนอื่นได้ประเคนของบ้าง เมื่อท่านให้ศีลให้พร สวดมนต์ แผ่เมตตาเสร็จ ใจที่เคยร้อนรุ่มก็สงบลงไปได้ไม่น้อย นี่สินะ ที่เขาว่า ถ้าไม่ทุกข์ก็ไม่ซึ้งถึงธรรม
ฉันเดินเล่นอยู่ในวัดเพื่อฆ่าเวลารอการทำวัตรเย็น บางคนก็นั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่ในศาลา บางคนก็ลากลับไปถือศีลต่อที่บ้าน ส่วนฉัน...ถ้าจะให้นั่งสมาธิต่อก็คงไม่รอด ใจฉันว้าวุ่นเกินไป ฉันจึงเดินเล่นรอบวัดเพื่อสงบจิตใจแทน ไม่นานเสียงออดรอบบ่ายก็ดังขึ้น การทำวัตรเย็นเริ่มต้น พิธีกรรมก็เหมือนตอนเช้า มีการสวดมนต์บทต่างๆ นั่งสมาธิ แต่มีการเพิ่มเติมคือการเดินจงกรม ซ้ายหนอ ขวาหนอ ซ้ายหนอ...
ฉันก็เพิ่งเคยเดินจงกรมครั้งแรกอีกเช่นกัน การเดินช่วยให้ฉันนิ่งได้มากขึ้น สมาธิจดจ่ออยู่กับการเดิน ปัญญาเริ่มเปิด แม้จะมีเรื่องต่างๆเข้ามาแทรกทำให้ฟุ้งอยู่เป็นระยะ การเดินจงกรมใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนจะฟังเทศน์รอบบ่ายและสวดมนต์แผ่เมตตา ครั้งนี้ ฉันก้มลงกราบอย่างซาบซึ้ง ธรรมะเริ่มซึมเข้าสู่ความคิดของฉันบ้าง พี่สายมารับฉันกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้าน ฉันกลับมองบ้านนี้ด้วยความรู้สึกต่างไปจากเดิม จากในตอนแรกเพียงจะมาดูว่า จะขายได้ราคาเท่าไหร่ ฉันกลับรู้สึกว่า ไม่อยากจะขายมันเสียแล้ว ที่นี่มีความเย็นใจแบบที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสมานาน หลังทำความสะอาดร่างกาย ตัวเย็น สมองเย็น และใจเย็นลงตามสายน้ำแล้ว ฉันก็ลองทบทวนทุกอย่างในชีวิต เมื่อตรองดูก็พบว่า ความจริงแล้ว ฉันเองไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขายอะไรเลยด้วยซ้ำ เงินทองที่มีอยู่ทุกเดือน ถ้าไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ตัดรายจ่ายไร้สาระออกไป ฉันก็พออยู่ได้สบายมาก อีกทั้งฉันยังสามารถหางานพิเศษทำเพิ่มเติมได้อีก คิดได้ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจเก็บบ้านหลังนี้ไว้
ฉันเข้านอนเมื่อเวลาสองทุ่มเศษ สำหรับสาวกรุงอย่างฉัน มันเป็นเวลาที่หัวค่ำมาก บางวันฉันยังไม่ได้กลับบ้านเลยด้วยซ้ำ แถมอาการท้องร้องเพราะไม่ได้กินข้าวเย็น ทำให้ฉันรู้สึกกระสับกระส่าย แต่ก็พยายามจะหลับให้ได้ ฉันพลิกซ้ายขวา จนหลับไปเมื่อใดก็ไม่รู้ พี่สายมาปลุกฉันตอนตีสาม ฉันงัวเงียลุกขึ้นมาอย่างงงๆ โดยมีพี่สายมองแล้วส่ายหน้าอย่างกลุ้มใจ
ก็พี่บอกคุณตาลแล้วว่าจะไม่ไหวเอา พี่สายบ่นอุบ มาทางนี้ค่ะคุณตาล มาไหว้พระกันก่อน
พี่สายพาฉันออกมาที่ลานกลางบ้าน ชี้ให้หันหน้าไปทางพระอุโบสถ บ้านนี้ไม่มีคนอยู่มานาน พระพุทธรูปทั้งหลายของคุณยาย คุณแม่ก็เชิญกลับไปไว้บ้านที่กรุงเทพฯหมด ฉันจึงต้องตั้งจิตอธิษฐานไปทางวัดแทน ฉันสวดมนต์บทยาวตามหนังสือสวดมนต์ที่ขอยืมมาจากวัด และเอ่ยคำลาศีล
ความจริงแล้ว ฉันต้องลาศีลกับพระภิกษุที่วัดด้วยซ้ำ หรือบางคนที่ไม่เคร่งมากก็ลากับพระประธานในโบสถ์ จึงจะครบถ้วนกระบวนความ แต่พี่สายอุบเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมบอกฉัน เพราะกลัวว่าจะดื้อแพ่งนอนวัดไม่ยอมกลับบ้าน พี่สายว่าที่วัดนั้น มีทั้งยุงทั้งแมลง คนแพ้ง่ายอย่างฉันจะเจ็บป่วยไปเสียเปล่าๆ คนเราจะทำอะไรต้องประมาณตนเอง ส่วนเรื่องพิธีกรรมนั้น มันก็เป็นแค่เปลือก จะรักษาศีลได้หรือไม่ ไม่ได้ดูที่พิธี แต่ดูที่ความตั้งใจต่างหาก ฉันเพิ่งรู้ความจริงเรื่องนี้ได้ไม่นานนี้เอง ตอนที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แต่รุ่งเช้าของวันนั้น ฉันไปยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าบ้าน แสงทองที่สาดเข้ามาหน้าบ้านนั้นเหมือนแสงของวันใหม่ในชีวิตฉัน แม้ฉันจะยังมีความทุกข์ใจมากมายเหลืออยู่ แต่ฉันก็พอมองเห็นหนทางที่จะเดินไปบ้าง ไม่ใช่มืดมนมองไม่เห็นสิ่งใดเหมือนตอนขามา ฉันอาจจะยังไม่ซึ้งไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอนนัก แต่ฉันก็ตั้งใจที่จะเรียนรู้ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขให้จงได้
ทุกวันนี้ ฉันสงบจิตสงบใจได้มากขึ้น เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ปล่อยวางได้มากขึ้น แม้จะไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ชีวิตในกรุงเทพมีสิ่งยั่วยุมากมาย ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับคนที่ไหวได้ง่ายอย่างฉัน
แต่เอาเถอะ...อย่างน้อย ฉันก็เริ่มเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันได้แล้ว แม้จะไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มอะไรเลย บางครั้ง ฉันก็อดคิดไม่ได้ หากฉันไม่ได้กลับบ้านคุณยายในคราวนั้น ชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ....
************************
ที่มาของศีลแปด : http://www.larnbuddhism.com/grammathan/siil8.html
***********************
คุยหลังอ่าน
เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากการไปถือศีลอุโบสถที่วัดมาค่ะ จากที่คุยกับเพื่อนๆหลายคน พบว่า แต่ละคนยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมากเกินไป จนบางครั้ง ลืมดูแลรักษาใจตัวเอง วันๆเอาแต่ทำงานหาเงิน ก็เลยลองเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ แต่จะให้เขียนธรรมะหนักๆ ก็ไม่สันทัดสักเท่าไหร่
ตัวเองก็ไม่ค่อยต่างจาก "ฉัน" ในเรื่องสักเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ยังศึกษาเรื่องนี้อยู่ค่ะ ^^
รบกวนขอคำแนะนำ กับคะแนนให้เรื่องนี้ด้วยนะคะ (เต็มสิบค่ะ)
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 53 12:01:45
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 53 11:42:42
จากคุณ |
:
piccy
|
เขียนเมื่อ |
:
10 พ.ค. 53 11:42:17
|
|
|
|
 |