Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าสยองของข้าพเจ้า ตอน พวกเขามาลา  

ติดตามเรืองเล่าสยองตอนต้นๆได้ในบล็อคของมูนนี่นะคะ

ตอน เหตุระทึกในห้างดัง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9196872/W9196872.html

เรื่องที่ 56

พวกเขามาลา

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณของผู้เสียชีวิตที่ไปปรากฏตัวให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้องหรือคนรักเห็นเพื่อแจ้งว่าตนเองนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณเหล่านั้นอาจมาให้เห็นในแบบคนปรกติธรรมดา สภาพในขณะที่เขาตายหรือแม้แต่การกลายเป็นสัตว์บางชนิดเพื่อสื่อให้ผู้พบได้รู้ บางคนอาจจะเคยประสบเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเองมาแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งก็หมายถึงคุณแม่กับน้องสาวของพี่ด้วย

คุณแม่พี่พบกับวิญญาณของคนรู้จักมาร่ำลาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เล่าให้ลูกๆฟังทั้งหมด เท่าที่พอจะจำได้ก็มีเพียงไม่กี่คนซึ่งมาปรากฏตัวในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งมาเฉพาะเสียง มาให้เห็นแค่เงา ปรากฏตัวกันชัดๆแต่อยู่นอกรั้วบ้านหรือแม้แต่กลายเป็นสัตว์ไปนอนพาดขวางทางรถเอาไว้

รายแรกเกิดขึ้นนานหลายสิบปีมาแล้ว เป็นคนที่เข้ามาหาแม่ด้วยความนับถือจนถึงขนาดเรียกตัวเองเป็นลูก พี่เองก็ไม่ค่อยรู้จักเขามากนักเพราะตอนนั้นยังทำงานบริษัทแต่แม่ก็เล่าให้ฟังบ้างว่าเขาเป็นคนค่อนข้างดื้อ ชอบทำอะไรแผลงๆแต่ดวงไม่ค่อยดีนัก พี่ก็ได้แต่รับฟังเฉยๆมารู้ข่าวอีกทีก็ตอนเขาเสียชีวิตแล้ว

แม่บอกว่าเย็นวันหนึ่งตอนกำลังจะเข้าห้องสวดมนต์ตามปรกติก็ได้ยินเหมือนมีใครมากดกริ่งเรียก ความที่ถูกสอนมาทั้งครอบครัวว่าห้ามเอ่ยปากทักเลยแค่ชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นใครบางคนยืนหลบอยู่หลังพุ่มเฟื่องฟ้า พอออกไปดูก็ไม่มีใคร แม่เลยคิดว่าอาจเป็นเด็กแถวนั้นมากดเล่นก็เข้าห้องพระสวดมนต์ แต่ก็เหมือนมีใครมานั่งข้างหลังตลอดเวลาซึ่งคุณแม่ถือเป็นเรื่องปรกติไม่ได้ตกใจอะไร

รุ่งเช้าเพื่อนของผู้หญิงคนนี้มาหาแม่และบอกว่า พี่ขอเรียกว่าเอก็แล้วกันนะคะ เขาบอกว่าเอเสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุรถชนต้นไม้ พอถามเวลาปรากฏว่าเป็นช่วงเย็นเวลาเดียวกับที่แม่ได้ยินเสียงกริ่ง เลยคิดว่าเอคงมาลา

สาเหตุคือเอไปป่าช้าตามคำแนะนำของพวกร่างทรงเพื่อสะเดาะเคราะห์ เพื่อนบอกว่าหลังจากนั้นเขาก็ดูเหม่อลอยและหน้าดำมาก เขาคิดจะมาปรึกษาแม่แต่ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน แม่บอกว่าเอไม่ได้ดวงตกแต่ถึงฆาต พวกผีคงตามมารับไปอยู่ด้วย

ชะตาชีวิตคนไม่มีใครเปลี่ยนได้ กรรมคือการกระทำ ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลแบบนั้น จะช้าหรือเร็วก็ว่ากันไปตามแต่ผลบุญ ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีได้พ้น ไม่มีใครสามารถพลิกหรือแก้ไขอะไรได้ หากทำบุญกุศลมาบ้างอาจจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีผลกรรมที่ตนเองก่อไว้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติไหนก็ตาม การแก้กรรมเป็นเพียงจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเรารู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วคลื่นแห่งกรรมก็จะตามมาทัน จะเป็นระลอกเล็กๆหรือสึนามิก็แล้วแต่การกระทำของแต่ละบุคคล

นอกเรื่องไปไกล กลับมาเรื่องของวิญญาณกันดีกว่า

การร่ำลาของคนตายนอกจากจะมาในรูปร่างของมนุษย์แล้วยังมีอย่างอื่นอีกเช่น สุนัข แมว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้น อย่างรายที่คุณแม่เคยพบก็มาในรูปร่างของ งู

น้องสาวพี่มีเหตุต้องไปราชการต่างจังหวัด คุณแม่เลยตามไปด้วยเพราะความเป็นห่วง การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทั้งวันจนกระทั่งช่วงใกล้ค่ำซึ่งเราเรียกว่าเป็นเวลาตะวันชิงพลบ เส้นทางเป็นการวิ่งระหว่างป่าสลับกับขึ้นเขาซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว น้องสาวพี่ถึงจะขับรถค่อนข้างเร็วแต่เขาก็ระมัดระวัง ตอนช่วงที่ลงจากเขาก็ชะลอความเร็วรถ ตอนเข้าโค้งแรกก็ไม่มีอะไร พอวิ่งเข้าโค้งที่สองนั่นเองทั้งคุณแม่และน้องสาวก็ต้องตกใจเพราะมีงูตัวใหญ่เลื้อยปราดออกมานอนขวางกลางถนน จะหยุดก็ไม่ทันแล้วน้องพี่เลยตัดสินใจขับรถทับมันไปเลย

แรงกระดอนของรถทำให้รู้ว่างูนั้นตัวใหญ่มาก พอผ่านไปแล้วน้องสาวพี่เหลือบมองทางกระจกหลัง และใจหายวาบ

งูตัวนั้นหายไปแล้ว!

เขาหันบอกแม่ แม่เลยถามว่าสังเกตไหมว่าท้องงูตัวนั้นมันขาวผิดปรกติ น้องสาวพี่เห็นด้วยเพราะถึงจะเป็นช่วงใกล้ค่ำแต่ท้องของงูตัวนั้นมันขาวมากจนเห็นได้ชัด ทั้งคู่เลยนั่งเงียบกันมาตลอดทาง สมัยนั้นสัญญาณมือถือยังไม่ค่อยดีนัก โน้ตบุคก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย กว่าจะรู้เรื่องอะไรก็อีกสองวันหลังจากนั้น

กลับจากต่างจังหวัดแล้วแม่ไปร้านตามปรกติแต่แม่กลับใส่ชุดดำทั้งที่ไม่เคยชอบ พอไปถึงลูกสาวเจ้าของบ้านที่พี่เช่าทำร้านทักว่า ป้าใส่ดำมายังกับรู้เลยว่าพ่อของเขาตาย แม่ถามซ้อซึ่งเป็นภรรยาว่าก่อนเสียชีวิตคุณลุงเป็นยังไงบ้าง แกตอบว่านอนหงายหลับไปเฉยๆแต่ที่น่าแปลกคือท้องขาวผิดปรกติ

พวกเราเลยถึงบางอ้อว่า ที่แท้งูตัวนั้นก็คือลุงพิชัยนั่นเอง

ตอนมีชีวิตแกนับถือแม่มาก ขนาดตัวเองไม่ค่อยแข็งแรงนักแต่พอรู้ว่าแม่มีไข้ก็อุตส่าห์นั่งเรือข้ามฝั่งไปซื้อน้ำใบบัวบกมาให้ดื่ม แกมักจะบอกซ้อเสมอว่าแม่เป็นคนดีมีน้ำใจ ซึ่งทั้งซ้อและลุงพิชัยก็คอยดูแลแม่เป็นอย่างดีเสมอมา

เมื่อถึงเวลาตาย แกคงอยากไปบอกแม่ด้วยตนเอง

ส่วนซ้ออยู่เป็นเพื่อนแม่มาอีกหลายปี จนกระทั่งราวสามปีพี่จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาว แม่เลยเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างประเทศกับเพื่อนๆ ตอนกำลังจะออกจากร้ายอยู่ๆซ้อก็พูดว่า คงไม่ได้เจอแม่อีก ตอนนั้นแม่ไม่ได้เอะใจอะไรยังตอบกลับไปเลยว่า อะไรกันซ้อเดี๋ยววันจันทร์นี้ก็ได้เจอกันแล้ว

ค่ะ ซ้อไม่ได้อยู่เจอแม่อีกครั้งจริงๆเพราะวันรุ่งขึ้นขณะที่แกกำลังใส่บาตรอยู่นั้นก็หยุดยืนนิ่งไปเฉยๆ กว่าทุกคนจะรู้ว่าแกช็อคและพาส่งโรงพยาบาลก็สายเกินไป

แม่ได้เจอกับซ้ออีกครั้งก็จริงแต่แกอยู่ในสภาพที่ไม่รับรู้อะไรแล้ว พี่น้ำตาร่วงเลยพอเห็นแม่แตะมือซ้อแล้วบอกว่า กลับมาแล้วนะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเห็นแกยิ้ม และซ้อก็จากไปอย่างสงบในวันนั้น

*/*/*/*/*

มูนนี่มีข่าวมาแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าได้ส่งเรื่องเล่าสยองไปที่สนพ.กังหันผลิใบ อาจจะไม่คุ้นหูแต่ที่นี่มีผลงานนักเขียนดังหลายคนเช่นคุณตารกา คุณฟองฟางออกมาแล้ว ที่ตัดสินใจส่งสนพ.นี้เพราะเวลานี้สนพ.ส่วนใหญ่เน้นรับแนวรักมากกว่าเรื่องสยอง อีกอย่างจำนวนหน้ายังน้อยไป มูนนี่ต้องเขียนเพิ่มอีกประมาณ 20 หน้าค่ะ  

ปัญหาก็คือระยะแรกคงต้องสั่งซื้อทางเน็ตก่อนเท่านั้น ต่อไปทางสนพ.อาจจะใช้วิธีฝากขายในงานหนังสือซึ่งทางบก.กำลังดำเนินการอยู่ค่ะ หากมีข่าวคืบหน้าหรือหน้าปกเสร็จเรียบร้อยแล้วมูนนี่จะรีบนำมาบอกให้ทราบกันอีกครั้งนะคะ

ขอบคุณผูอ่านทุกท่านที่กรุณาติดตามชุดเรื่องเล่านี้มาโดยตลอดค่ะ

ตอบคำถามกัน

อ่านทีแรกแล้ว งงเล็กน้อยค่ะ ตรงคำว่าหม้อแกงระเบิด พออ่านไปเรื่อยๆ ถึงเข้าใจ อ้อ เป็นเช่นนี้เอง
โชคดีของคุณแม่พี่มูนนี่ค่ะ ที่เจอชายใจดีคนนั้น แสดงว่าในสังคมเมือง คำว่าน้ำใจ ยังคงมีเหลืออยู่  แล้วคุณแม่พี่ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ ยังปวดขาอยู่ไหมเอ่ย ยังไงก็ขอให้หายเร็วๆ นะคะ
จากคุณ : อินทรายุธ  
- ตอนแรกพี่ก็งงค่ะ พอถามน้องสาวถึงได้รู้ว่าเป็นหม้อแปลง ไม่ใช่หม้อแกง

จริงค่ะ บ้านเราขาดการฝึกฝนเรื่องพวกนี้อย่างจริงจัง
บางทีรู้ว่ามีซ้อมหนีไฟ ก็ไม่ขึ้นตึกซะงั้น
จากคุณ : scottie  
-ถึงฝึกก็ทำเป็นเล่นกันค่ะ พอเกิดเหตุการณ์จริงถึงได้ขาดสติไงคะ

ขอให้แม่พี่หายเร็วๆๆ นะงับ

โชคยังดีนะนี่ แม่พี่คงทำบุญมาดีงับถึงได้เจอคนดีมีน้ำใจ

ข้าเจ้าเคยเจอคนตีกันตอนเด็กๆ พ่อพาไปเที่ยวเมืองกรุงวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วกลับไปเป็นปกติ 555+ เห็นว่ามีอาวุธด้วย แต่ตอนนั้นเรายัง6-7ขวบเอง เลยไม่กลัวมั้งงับ
ขออย่าให้เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นอีกเลยงับ _/\_
จากคุณ : เหมันต์ใบไม้ผลิ  
-ขอบคุณค่ะ เหตุการณ์คนตีกันเคยเจอค่ะ แต่เมื่อก่อนยังแค่มีดพอหลบได้ เดี๋ยวนี้คนมันกล้าหาญขึ้นมากใช้ปืนลอบยิงกัน ก็ไม่รู้ว่าว่าจะหลบยังไงดีแล้ว

มัวแต่คิดว่าเป็นเรื่องสยองขวัญของคุณมูนี่ อ่านไปๆ คิดว่าเดี๋ยวเถอะ ผู้ชายที่มาช่วยคุณแม่จะต้องหายตัวไป หรือพอเรื่องสงบลงแล้วไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร หรือมีคนมาช่วยคุณแม่จริงๆ หรือเปล่าเพราะไม่มีใครเห็นเลย เหอะๆ คิดไปโน่นเลยค่ะ
จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin)
-ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สยองสุดๆเลยล่ะค่ะ = ="

คื่น..ระทึกขวัญจริงๆ และก็ทำให้ได้สัมผัสถึงสิ่งดัๆงดงาม เช่นกัน
นึกภาพอยู่ในรถเมล์คนแน่นๆ เกิดมีคนตะโกน "ระเบิด" ดังๆ สภาพคงดูไม่จืดเหมือนกัน แต่คนตะโกนสุดท้ายอาจไม่รอด ^__^....
จากคุณ : Psycho man  
-ที่เหยียบกันตายก็ตรงนี้แหละค่ะ และที่เละส่วนใหญ่ก็เป็น เด็ก สตรีและคนชราน่ะแหละ พอเหตุการสงบคุณแม่บอกว่ารองเท้าส้นสูงเกลื่อนห้างเลย

หวังว่าคุณย่าหายตกใจเร็วๆ นะครับ
จากคุณ : โก้ (เซโก้4)
-หายตกใจแล้วค่ะ ขาหายเจ็บแล้วด้วย ขอบคุณมากๆค่ะ

อันนี้ระทึกขวัญของจริง
จากคุณ : beautystone
-ระยะนี้เลยเป็นโรคกลัวห้างไปแล้วค่ะ แหะๆ

ระลึกขวัญเหมือนกันถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้

ที่หน่วยงานแม้ว่าจะแจ้งล่วงหน้าว่า
จะมีการซ้อมหนีไฟ
มีการเปิดหวอ เปิดเสียงเรียกตามสาย
ก็ปรากฎว่าบางคนยังนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนและไม่สนใจ
แม้ว่ามีข้อตกลงให้ไปรวมตัวกันที่สนามหญ้า
ก็ยังมีคำถามว่ารวมตัวกันทำไม
จริง ๆ ต้องการตรวจสอบว่าใครหายไปบ้าง
หรือใครยังติดอยู่ในตัวอาคาร
ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า
ถ้าเกิดเหตุการณ์จริงจะวิ่งหนีทันหรือไม่
จากคุณ : ravio  
-นอกจากไม่ให้ความร่วมมือแล้วยังเห็นเป็นเรื่องสนุก น่ารำคาญและไม่ให้ความสำคัญ ไม่เคยศึกษาว่าทางฉุกเฉินไปทางไหน บันไดหนีไฟอยู่ตรงไหน เปิดยังไง ทางเดินก็ไม่มีแถบแสงสะท้อน พอเกิดเหตุการณ์จริงๆได้แต่กรีดร้องราวกับคนเสียสติ

ตายกันก็ตรงนี้แหละค่ะ

ระทึกจริง ๆ ด้วย

หม้อแกงระเบิด  น้ำแกงต้องกระจายเปื้อนเต็มไปหมดเลยแน่ ๆ ครับ  อย่างนี้ต้องวิ่งหลบก่อนดีกว่า
อิอิ
จากคุณ : อาคุงกล่อง  
-ตอนหลานเล่าทีแรกยังคิดแบบนี้เหมือนกันเลยค่ะ แหะๆ

มันก็น่าระทึกขวัญจริงๆแหละครับ ยิ่งสถานการณ์ช่วงนี้เป็นอย่างนี้บ้าง มันก็ทำให้เกิดการตื่นตูมและโกลาหล กันได้ง่าย  ซึ่งทุกคนก็น่าจะทราบกันดีว่า ต้องใช้สติ  แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือความรวดเร็วในการนำสติขึ้นมาใช้แหละเนอะครับ^^
จากคุณ : ZoXigEn_TonG_x_Zhi  
-ใช่เลยค่ะ นอกจากมีสติแล้วยังต้องคิดเร็ว หูไวตาไวอีกด้วย

อ่านตอนแรกแล้วงง "หม้อแกงระเบิด" เหอๆ
จากคุณ : The dark Empire  
-เหอะๆ ฟังทีแรกยังขำเลยค่ะ

สุดท้ายนี้มูนนี่ขอฝากเรื่องเล่าที่กำลังจะออกมาเป็นรูปเล่มเร็วๆนี้ด้วยนะคะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 10:31:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com