Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เราคนไทย…เคยรักกันไม่ใช่เหรอครับ?  

ผมเปิดดูทีวีตอนเช้า  เพื่อดูข่าวตามปกติ  
“ ฆ่ามัน !! ฆ่ามัน!! ”  เสียงตะโกนเย้วๆ   ดังกึกก้องสมรภูมิรบ   ระคนกับเสียงปืน เสียงระเบิดดังเข้ามาเป็นระยะ  ภาพและจากกล้องที่สั่นไหว  เหมือนว่าคนถ่ายกำลังวิ่งอยู่

หากดูเผินๆ   ผมอาจจะคิดว่านี่เป็นฉากในหนังสงครามซักเรื่อง  

…ผิดแผกแปลกไปก็แต่ว่า  ฉากสมรภูมิในหนังเรื่องนี้ ….มันคือสถานที่ผมเคยไปเดินเที่ยวอยู่บ่อยๆ    นั่นก็ตึกที่ผมเคยไปเรียนพิเศษ   ริมถนนตรงนั้นผมก็เคยไปเดินช็อปปิ้งกับแฟน
คนที่ตะโกนเย้วๆนั้น   เขาก็เป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกับผม  อาจจะเคยเดินสวนกันบนรถไฟฟ้าหรือสะพานลอยซักแห่ง

………..
แต่ที่น่าเศร้าที่สุด….    
“มัน” ที่เขากำลังประกาศฆ่า   …..เค้าก็เป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกันกับเขา (และผม)เองมิใช่หรือ??
===========================
ตั้งแต่ผมเกิดมาจนโตป่านนี้  ผมไม่เคยเลยซักครั้งที่จะได้ยิน  เสียงประกาศจะฆ่าจะแกงกัน  และมุ่งหมายจะเอาชีวิตกันเกลื่อนเมืองเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็น คนขับแท็กซี่  สื่อ วิทยุโทรทัศน์  เฟซบุค หรือ MSN
“ ไอ้พวกนั้นมันสมควรตายแล้ว ”  
“ จะเอาเลือดหัวไอ้นั่นมาล้างตีนพวกกรู ”
“ ตายๆไปซะให้หมดก็ดี  ไอ้พวกหนักแผ่นดิน ”
…….ไม่เว้นแม้แต่นักวิชาการ ผู้มีการศึกษาสูง  ก็ยังมาพูดสนับสนุนให้กำจัดฝ่ายที่คิดต่างจากตนไปเสีย


นี่เกิดอะไรกันขึ้นครับ!!
……..ที่นี่เมืองไทย    
พวกเราคนไทย ……..เคยรักกันไม่ใช่เหรอครับ??    

ยังจำกันได้มั้ยครับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว    ในวันที่ประเทศเราโดนภัยธรรมชาติครั้งยิ่งใหญ่ สึนามิ

เหตุการณ์ครั้งนั้นผมยังจำได้ดีและยังคงซาบซึ้งใจจนถึงทุกวันนี้ว่า     น้ำใจคนไทยนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน  

ในตอนนั้น  เมื่อเราทุกคนได้ทราบข่าว  อาสาสมัครจากทั่วประเทศ  ทุกสาขาอาชีพ

ไม่ว่าจะเป็น หมอ พยาบาล  ตำรวจ ทหาร  นักศึกษา  กุ๊ก  นักข่าว นักเขียน  นักกีฬา   (บางคนถึงกับหนีงานมาก็มี)
ต่างหลั่งไหลกันมาที่เกิดเหตุ   และร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย  

นักศึกษาและเหล่าอาสาสมัคร ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันตลอดทั้งวัน      
หมอบางคนอยู่รักษาผู้ป่วยติดต่อกัน 48 ชั่วโมง  ไม่หลับไม่นอน    เพื่อช่วยชีวิตคนเจ็บให้ได้มากที่สุด
ชาวบ้านท้องถิ่นที่ไม่มีความรู้อะไร   บ้างก็ช่วยกันทำอาหารเลี้ยงบ้าง   ช่วยกันแบกหามลำเลียงศพคนตาย
เหล่าแม่บ้านช่วยกันตัดต้นไม้ถางหญ้า  เพื่อให้เฮลิคอปเตอร์ได้มีที่ลงจอด  
…แม้กระทั่งยายแก่ๆ เดินเหินไม่คล่อง  แกก็ยังอุตส่าห์มีจิตเอื้อเฟื้อช่วยซักผ้าให้    

บางแห่งที่รถผู้ช่วยเหลือเข้าไปไม่ถึง….   เพราะมีต้นไม้ใหญ่ล้มระเนระนาดขวางทาง  
ก็ยังอุตส่าห์มีผู้มีน้ำใจขนช้างมาจากปางช้างอยุธยา  บรรทุกใส่รถบรรทุกคันใหญ่  ลำเลียงมาตามเส้นทางอันยาวไกล มายังที่เกิดเหตุ    
….เพียงเพื่อเอาช้างเหล่านั้นมาลากซุงให้!!

…….คงไม่มีที่ไหนในโลกนี้อีกแล้ว   ที่ทำแบบนี้ได้

อีกทั้งของบริจาคทั้งหลายที่พรั่งพรูกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย   จนศูนย์บางแห่งถึงกับต้องขอยุติการรับบริจาค    เพราะไม่รู้จะไปเก็บที่ไหน      
เหตุการณ์ครั้งนั้นเราแทบไม่ต้องไปขอร้องให้องค์กรจากประเทศไหนมาช่วย    ลำพังแค่ความช่วยเหลือของคนไทยและน้ำใจของเรานั้นก็เหลือจะพอ      (ในขณะที่ประเทศเฮติ    คนของเค้ายังแย่งของกินยังอยู่เลย)

แม้กระทั่งพระมหากษัตริย์ของเราก็ไม่ทรงนิ่งดูดาย   บริจาคทรัพย์สินส่วนพระองค์ให้ผู้ประสบภัย  
.....ในขณะที่เงินบริจาคจากหน่วยงานอื่นๆ  ยังมาไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ

…….คงไม่มีที่ไหนในโลกนี้อีกแล้ว   ที่ทำแบบนี้ได้


ความเจ็บปวดของผู้ประสบภัยในครั้งนั้น……    
…..เราร่วมกันเจ็บด้วยกันทั้งแผ่นดิน

น้ำตาพี่น้องชาวใต้ในครานั้น…….    
…….เราช่วยกันซับด้วยกันทั้งแผ่นดิน  

เราเคยนั่งดื่มกาแฟด้วยกันในสภากาแฟ   คุยฟุ้งกันเรื่องการเมือง
ตาคนนู้นชอบพรรคประชาธิปัตย์   ลุงคนโน้นชอบพรรคชาติไทย  
เรานั่งคุยกันอย่างออกรส  เถียงกันบ้าง  แซวกันบ้าง    
หนักหน่อย .. ก็อาจจะมีถกเครียดกันบ้าง

….แต่พอสภา(กาแฟ)เลิก    เราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
เรื่องวันนี้เราก็ทิ้งไว้ที่นี่   ไม่เก็บไปคิดให้รกสมอง  
….ไม่มีใครคิดอาฆาต   ไม่มีใครคิดฆ่าใคร
ในตอนนั้น…..แม้ว่าเราจะเห็นต่าง……… แต่เราก็คุยกันได้
แม้ศาสนาเราอาจจะต่าง…….     แต่เราก็อยู่ร่วมกันได้
แม้เชื้อชาติเราอาจจะต่าง…….   แต่เราก็ยังรักกันได้…..ไม่ใช่เหรอครับ ??

แล้วทำไมล่ะครับ  ในตอนนี้
เพียงแค่ ‘สี’ เราต่าง     แนวความคิดเราต่าง….
…………..เราจำเป็นต้องเข่นฆ่ากันด้วยหรือ ?  

วันนั้น….เราบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน    เราก็ยังประคองเดินไปด้วยกัน

แล้วทำไมวันนี้      วันที่เราต้องมาเจ็บปวดร่วมกันอีกครั้ง   แม้จะไม่เจ็บเท่าครั้งก่อน    
แม้จะต้องมีใครต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปมากเท่ากับครั้งนั้น
…แต่เรากลับเจ็บกันเพียงลำพัง   ..ไม่มีใครคอยประคอง   มีแต่คอยจะผลักกันให้ล้มลง

เจ็บครั้งนี้  แผลที่กายอาจจะไม่ฉกรรจ์นัก        
แต่แผลที่ใจ……มันลึกเกินจะเยียวยา

………………….…………
ผมเปลี่ยนช่องทีวี    ไปยังอีกช่อง    มันเป็นมิวสิควีดีโอเพลงอะไรซักอย่างที่คุ้นหู

ภาพในมิวสิคนั้น  เป็นบ้านเมืองที่เละเทะระเนระนาด……ควันดำที่พวยพุ่งมาจากในเมือง….  ผู้คนที่วิ่งหนีกันอย่างชุลมุน
คลอไปกับเสียงเพลงช้าๆ เนิบๆ  ..…ทว่าจับขั้วหัวใจ
ผมดูตามไปจนจบเพลง

……และภาพสุดท้ายที่ผมยังคงจำติดตา…มันจับไปที่ ภาพธงชาติไทยที่ยังโบกสะบัดอยู่ในมือของ”คนไทย”คนหนึ่ง    โดยถ่ายลอดออกมาจากกระจกรถประจำทางคันหนึ่งซึ่งสภาพยับเยิน    …..ท่ามกลางบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความโกลาหลและควันไฟ  

ถึงตอนนี้   ……น้ำตาผมมันก็เริ่มคลอออกมาโดยไม่รู้ตัว

..........


ปล. บทความนี้ผมเขียนขึ้นมาด้วยความรู้สึกส่วนตัว   หากมีข้อมูลตรงไหนบกพร่อง  รบกวนช่วยแก้ด้วยนะครับ

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 16:51:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com