ความคิดเห็นที่ 1 |
“เอ้อ...” ชายหนุ่มเริ่มอึกอัก
“ตอบมาตามตรง โกงหรือไม่โกง”
“ข...ข้าไม่ได้โกงนะ ท่านพ่อ...ท่านพ่อต่างหากที่จัดการให้”
“แล้วเขาจัดการให้อย่างไร”
“คือ...ในคณะกรรมการตรวจข้อสอบมีคนที่สนิทกับท่านพ่ออยู่ ท่านพ่อเลยให้...ให้เขาตรวจข้อสอบของข้า แต่...แต่ข้าก็ต้องทำได้เองอยู่ไม่น้อยล่ะ”
หญิงสาวไม่พูดตอบ แต่ถามต่อไป
“แล้วเจ้าโกงจับฉลากการสอบแผนการรบหรือเปล่า”
“อ...อันนั้นข้าก็ไม่ได้โกง แต่ท่านพ่อ...ช่วยฝากคนจับฉลากให้...ให้ได้ที่ดีๆ”
เธอทำสีหน้าเหมือนกับเหยียดหยามเขาเต็มประดา จนชาลัวห์รู้สึกโมโหขึ้นมา
เขาไม่ได้ทำผิดอะไรมากมายสักหน่อย เรื่องทดสอบใครๆ ก็ฝากฝังคนรู้จักกันทั้งนั้น ใช่จะมีเขาคนเดียว
แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร คิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหนถึงได้ทำตัวเหมือนเป็นผู้พิพากษาเขาอย่างนี้ ลองได้เป็นนางกำนัลก็คงจะเป็นธิดาขุนนางสักคน แต่คงไม่มียศสูงมาก มิหนำซ้ำตัวเองยังลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับผู้ชายชาวทะเลทรายถึงขั้นพามันหนีจากคุกในวัง หากถูกจับกลับไปจะไม่ถูกลงโทษสถานหนักได้อย่างไร
แล้วถ้าตัวชายหนุ่มเองไม่ถูกมัดมือไว้เสียแน่นหนาอย่างนี้ แถมมือขวายังบาดเจ็บอยู่อีก เขาคงนึกอยากจะ ‘สั่งสอน’ เจ้าหล่อนให้หลาบจำเสียทีสองที ลองทอดตัวให้ไอ้คนทรายนั่นไปแล้ว...เธอก็ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าพวกผู้หญิงในย่านโคมแดงที่เขาคุ้นเคยนักหรอก
“ส่วนเรื่องโกงรอบที่สาม กับเรื่องสั่งฆ่าเฟลิม เจ้าก็บอกว่าตัวเองทำไปเพราะคนสวมผ้าคลุมนั่นเกลี้ยกล่อมสินะ”
“ใช่” เขาตอบห้วนๆ “แล้วเจ้าจะถามเรื่องทั้งหมดนี้ไปทำไม”
“ก็เพราะข้าอยากฟังกับหูของตัวเองน่ะสิ” เด็กสาวตอบด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “ว่าเจ้าทำเรื่องทุกอย่างจริงๆ ใช่ไหม”
“ถ้าอย่างนั้นก็รู้ไว้เสียด้วยว่าข้าไม่ได้ทำ! คนอื่นๆ ต่างหากที่มาทำให้ข้าโดยที่ข้าไม่ได้ขอ! เป็นอย่างนี้แล้วข้าผิดด้วยหรือ!”
คนฟังขมวดคิ้ว ใบหน้าดูบึ้งตึงขึ้น
“ถ้าอาเมียร์ไม่ได้อยากให้พ่อแม่เฟลิมเป็นคนตัดสินโทษของเจ้าเอง ข้าจะสั่งให้พวกราชมัลทรมานเจ้าให้หนักที่สุดก่อนจะสั่งประหารชีวิตเจ้าแน่ๆ ! ข้าไม่เคยเจอใครที่หน้าด้านขนาดเถียงข้างๆ คูๆ ได้ว่าตัวเองไม่ผิด แถมยังโยนความผิดให้พ่อได้หน้าตาเฉยอย่างเจ้าเลย!”
“ก็ข้าไม่ผิดจริงๆ จะให้ข้าพูดอะไรได้!” ชาลัวห์ย้ำ “แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ถึงจะได้มาตัดสินโทษของข้า! เจ้ามันก็แค่นางกำนัลโง่ๆ ที่ติดใจไอ้คนทรายนั่นจนพามันหนีออกมาเท่านั่นล่ะ! ถ้าถูกพวกทหารจับได้ก็ไม่พ้นโดนประหารเหมือนกัน! คิดดีอย่างไรถึงถือตัวมาตัดสินโทษของข้า!!”
คราวนี้เด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเธอพลันแดงก่ำขึ้น
“เจ้าต่างหาก...คิดดีอย่างไรถึงพูดกับข้าอย่างนี้! ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเรื่องชั่วๆ ทั้งหมดที่เจ้าทำลงไปเป็นเพราะหวังจะครอบครองตัวข้าทั้งนั้น! เจ้าคิดแต่จะให้ได้ข้ามาครองทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำหรือว่าข้ามีหน้าตาเป็นอย่างไร...คิดอย่างไร...นิสัยใจคอเป็นอย่างไร!”
ชาลัวห์เริ่มงุนงงจนกะพริบตาปริบๆ
“ม...หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าคนเลว!” เด็กสาวผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะชี้ปลายมีดสั้นในฝักมาทางเขา “รู้ไว้เสียตอนนี้...ว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับเจ้าหญิงแอชลีนน์ เอริน อลาชตาร์แห่งธีร์ดีเร!!”
ชายหนุ่มอ้าปากค้าง...ยิ่งแทบอ้ากว้างจนกรามค้างขึ้นไปอีกเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์บนฝักมีดสั้น แม้จะอยู่ไกล แต่ตราทองคำรูปไม้กางเขน ซึ่งมีรัศมีวงกลมขนาดใหญ่วงหนึ่งล้อมรอบปลายเส้นที่ด้านบนทั้งสามเส้นนั้น คือตราประจำพระราชวงศ์อลาชตาร์แน่นอน
เด็กสาวตัวเล็กนิดเดียว หน้าตาก็น่ารักอยู่แต่ท่าทางเอาเรื่องคนนี้น่ะหรือคือเจ้าหญิงแอชลีนน์?
ในความคิดของชาลัวห์...เขาเคยจินตนาการว่าเจ้าหญิงย่อมสูงส่งสง่างาม มีพระจริยาวัตรงดงามเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี และที่สำคัญที่สุดคือ...มีพระสิริโฉมงดงามเลิศล้ำ หากให้เทียบตามลักษณะที่กวีมักจะขับลำนำชมโฉมไว้คือมี ‘เกศาทองดั่งแสงภาณุมาศ เนตรสาดสีฟ้าชลาใส’ ทั้งพระเศียรจรดพระบาทาย่อมงามเหนือหญิงอื่นๆ
แล้วพ่อก็บอกว่าหากได้อภิเษกกับเจ้าหญิง ชาลัวห์จะเป็นราชาที่มีอำนาจเหนือใครในแผ่นดิน ตระกูลชอร์ซาของเขาย่อมรุ่งเรืองขึ้นมาก ได้ทั้งหญิงงาม อำนาจ และชื่อเสียง...เช่นนี้แล้วใครกันจะไม่อยากแต่งงานกับเจ้าหญิงแอชลีนน์
ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักได้ว่าตั้งแต่ตอนที่ได้ข่าวพระราชา ราชินี และเจ้าชายรัชทายาทถูกลอบปลงพระชนม์ เขาก็ยึดมั่นกับความคิดนี้มาตลอด...โดยไม่แม้แต่จะตั้งคำถามด้วยซ้ำว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์เป็นคนงามจริงหรือ เขาเคยเห็นเจ้าหญิงจากที่ไกลๆ เพียงไม่กี่ครั้ง อย่างในงานประลอง และในห้องไต่สวน ในทั้งสองโอกาสนั้น พระองค์ประทับอยู่ไกล และเขาก็จดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นจนไม่ทันสังเกตจริงๆ ด้วยซ้ำว่าทรงมีพระสิริโฉมเป็นเช่นไร
“ฝ...ฝ่าบาท...กระหม่อมไม่ได้...ไม่ได้ตั้งใจจะ...กระหม่อมก็แค่ไม่ทราบว่าพระองค์คือพระองค์...” ชาลัวห์รีบพูดตะกุกตะกัก
“อ้อ! ใช่สิ” เจ้าหญิงแอชลีนน์รับ “เจ้าไม่เคยมองข้าตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เจ้าก็แค่อยากแต่งงานกับใครก็ตามที่มีฐานะเป็นเจ้าหญิงแห่งธีร์ดีเรเพื่ออำนาจ...ถึงจะต้องโกงหรือฆ่าคนอื่นเท่านั้นเอง!”
“ก...กระหม่อม...กระหม่อมไม่ได้...”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” เด็กสาวเอ่ยเสียงแข็ง “ข้าเห็นธาตุแท้ของเจ้าชัดเจนหมดแล้ว และข้าจะบอกอาเมียร์เรื่องที่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแน่นอน”
“ย...อย่านะ!!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง “มัน...มันต้องฆ่าข้าแน่ๆ ได้โปรดเถอะ!”
“แล้วตอนที่เจ้าคิดจะฆ่าเฟลิมกับอาเมียร์...เจ้าเคยคิดย้อนอย่างนี้บ้างหรือเปล่า ไม่เคยมีใครสั่งสอนหลักของนักรบหรืออย่างไร ว่า ‘ถ้าพร้อมที่จะฆ่า ก็ต้องพร้อมที่จะถูกฆ่าด้วย’ กระทั่งข้าเป็นหญิงแท้ๆ ยังได้เรียนมาเลย!”
“ต...แต่ข้าไม่ใช่นักรบนี่...ข้า...ข้าเป็นนายอำเภอ—“
“เถียงข้างๆ คูๆ อีกแล้ว!!” เจ้าหญิงขึ้นเสียง
เสียงโซ่ที่ดังกุกกักอยู่หน้าประตูทำให้ทั้งสองเงียบไปทันควัน
ผู้ที่เข้ามาสวมหมวกฟางปีกกว้าง ถือถุงผ้าใบใหญ่ที่ดูพองด้วยข้าวของข้างใน และแต่งตัวเหมือนพวกคนระดับล่างซึ่งปกติชาลัวห์ไม่ใคร่ใส่ใจจะมองนัก
พอเขาปิดประตูลงและถอดหมวกฟางออก ชายหนุ่มก็เห็นว่านั่นคือเจ้าคนทรายจริงๆ แม้จะยังสวมช้องผมสีน้ำตาลอยู่และโกนหนวดแล้วก็ตาม
“เรียบร้อยแล้ว” เด็กหนุ่มหันไปบอกเจ้าหญิงแอชลีนน์ ก่อนจะถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนถือมีดสั้นนิ่งอยู่ “มีอะไรหรือ”
ชาลัวห์กลืนน้ำลายฝืดๆ ขณะที่ท้ายทอยเริ่มร้อนวูบวาบ เกิดเจ้าหญิงเอ่ยปากเรื่องนั้นขึ้นมาละก็...
“เอ่อ ม...ไม่มีอะไร” เด็กสาวกลับตอบไปเช่นนั้น ก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่าย
ดูเหมือนเจ้าคนทะเลทรายจะไม่สังเกตพิรุธอะไร เขาวางถุงใบใหญ่ลงบนลังที่เจ้าหญิงแอชลีนน์เคยนั่ง ก่อนจะล้วงเข้าไปในถุงแล้วหยิบผ้าสองสามพับขึ้นมา พร้อมกับช้องผมสั้นสีน้ำตาลอีกอัน
“เดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อในนี้นะ ข้าจะพาเจ้านี่ไปล้างแผลข้างนอก”
ชาลัวห์ไม่รู้จะนึกขอบคุณเจ้าหญิงที่เงียบไว้ หรือขอบคุณเจ้าคนทะเลทรายที่อุตส่าห์มีแก่ใจนึกถึงแผลของเขาดีหรือเปล่า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือก เด็กหนุ่มค้นของจากในถุงใบใหญ่ ย้ายมาใส่ถุงผ้าใบเล็กอีกใบ ในของพวกนั้นชายหนุ่มเห็นเสื้อผ้าสองสามพับคล้ายกัน ม้วนผ้าสีขาว กับขวดแก้วใบใหญ่สีเข้มใบหนึ่ง
เด็กหนุ่มถือถุงใบเล็กติดมือมาแก้เชือกที่มัดเสาไว้ แต่ยังไม่ยอมแก้เชือกที่มัดแขนของเขาไพล่หลัง แล้วก็พาเขาออกไปนอกโกดัง ก่อนจะไปอยู่ใต้ชายคาโกดังอีกหลัง
พอวางถุงใบเล็กลงบนถังไม้ใกล้ๆ แล้ว เจ้าคนทรายก็ขยุ้มผ้าอะไรไม่รู้ผืนหนึ่งมายัดปากเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อารามตกใจ ชายหนุ่มพยายามดิ้นและส่งเสียงร้อง...แต่ก็ทำได้เพียงครางอู้อี้
อีกฝ่ายแกะผ้าพันแผลของเขาโดยไม่บอกอะไรเช่นเคย ปลายนิ้วแต่ละนิ้วของเขายิ่งเจ็บแปลบเมื่อสัมผัสอากาศโดยตรง ก่อนที่ชาลัวห์จะได้ยินเสียงเปิดจุกขวด และได้กลิ่นบางอย่างโชยมาเข้าจมูกนอกจากกลิ่นทะเล
นั่นเป็นกลิ่นที่เขารู้จัก...กลิ่นเหล้าอย่างแรงทีเดียว
ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อของเหลวนั้นราดรดแผล ปวดแสบที่สุดในชีวิต...แทบพอๆ กับตอนที่ถูกบีบนิ้วสดๆ ความเจ็บปวดแล่นเป็นริ้วๆ ไปตามแต่ละปลายนิ้วจนน้ำตาเล็ดออกมาอีกครั้ง และอยากกรีดร้องให้สุดเสียง
เขารู้แล้วว่าทำไมเด็กหนุ่มต้องเอาผ้ามาอุดปากตนเองไว้ แถมยังต้องใช้อีกมือดึงเชือกที่มัดเขาอยู่แน่นหนาขนาดนี้
ชาลัวห์ไม่กล้าปริปากถาม แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องใช้เหล้า กระทั่งน้ำเปล่ากับน้ำสมุนไพรล้างแผลที่ราชมัลกับหมอนำมาล้างให้เขาในคุกกรงน้ำยังไม่ทำให้ปวดแสบได้ถึงเพียงนี้เลย
แผ่นหลังของชายหนุ่มเย็นวาบไปโดยทั่ว ขณะที่เจ้าคนทะเลทรายพูดขึ้นเรียบๆ ราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา หลังจากรอให้เหล้านั้นแห้งไปและเขาหยุดดิ้นรนไปเองเพราะความเหนื่อยอ่อน
“เหล้าเป็นยาฆ่าเชื้อที่ถูกและหาง่ายที่สุดแล้ว และตอนที่เฟลิมตาย...เขาต้องเจ็บปวดมากกว่านี้อีกสักกี่เท่า เจ้าคิดดูก็แล้วกัน”
จะแย้งว่าเขาไม่ใช่คนผิดทั้งหมดอีกเสียหน่อยก็กลัวมันจะโกรธและฆ่าเขาทิ้งเสียตรงนี้ และถึงอย่างไรเขาก็มีผ้าอุดคาอยู่ในปากจนส่งเสียงแทบไม่ได้อยู่แล้ว
ชาลัวห์เริ่มนึกกลัวขึ้นมาอีกครั้งว่านี่คือทางรอดของตนแน่แล้วหรือ กระนั้น...เขาก็ไม่เห็นหนทางอื่นอีกแล้ว หากอยู่ในคุกกรงน้ำหรือถูกจับได้ในตอนนี้ก็มีแต่ความตายรออยู่
...ทางเดียวที่อาจช่วยให้ผู้หลบหนีคนนี้รอดชีวิตก็มีเพียงทำตามคำสั่งของคนร่วมทางอีกสองคน และภาวนาให้พวกเขาไปถึงที่ที่ปลอดภัยในที่สุดเท่านั้น...
...จากนั้น...ท่านพ่อจะต้องหาทางช่วยเขาออกไปได้แน่ๆ เขาเชื่อเช่นนั้น...
* * * * *
ท้ายตอนกับคนเขียน
ยังจำกะหลั่วจอมกร่างกันได้มั้ยนะ (ไม่สิ ที่จริงต้องถามว่าจำพระเอก นางเอก และตัวประกอบอดทนทุกตัวได้หรือเปล่าด้วยซ้ำ ^^a)
รู้สึกเหมือนตอนปกติที่ผมเคยลง จะราวๆ 8-12 หน้า ตอนนี้เริ่มสงสัยว่ามันยาวไปหรือเปล่า เลยลองทอนลงเป็น 4-6 หน้าต่อตอนดู คิดว่าความยาวขนาดไหนกำลังเหมาะกว่าก็บอกได้นะครับ
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
24 พ.ค. 53 20:07:15
|
|
|
|