 |
ความคิดเห็นที่ 2 |
|
**** มาอ่านกันต่อค่ะ
เพียงมองเห็นรถของลูกเลี้ยงสาวแล่นมาตามถนนโรยกรวดที่ทอดตรงมาสู่ตัวบ้าน สาวใหญ่ร่างท้วมที่รออยู่ก่อนแล้ว ก็รีบลุกจากโต๊ะเล็กที่จัดวางไว้บนระเบียงหน้าบ้าน เดินลงบันไดเตี้ยๆ มาต้อนรับ ด้วยท่าทีประหนึ่งเจ้าของบ้านมาต้อนรับแขกผู้มาเยือน ทั้งๆ ที่เจ้าของบ้านตัวจริงคือหญิงสาวที่กำลังก้าวลงมาจากรถ อจิราภาชักสีหน้าไม่ชอบใจนัก เมื่อเห็นกิริยาท่าทางของแม่เลี้ยงที่แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะเวลานี้สิ่งที่เธอพึงให้ความสนใจคือพ่อต่างหาก แต่เมื่อสังเกตเห็นสีเสื้อผ้าที่อารดีสวมอยู่ อจิราภาถึงกับใจหายวาบ แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจรับมาก่อนแล้วก็ตาม สีดำสนิทของเสื้อผ้านั้น มากพอแล้วสำหรับการบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด พ่อจากเธอไปแล้วจริงๆ พ่ออยู่ที่ไหน แม้จะโศกเศร้าอาดูรต่อการจากไปของพ่อก็ตาม แต่อจิราภานึกดีใจอยู่นิดหนึ่งว่า เสียงของเธอที่เอ่ยปากถามอารดีออกไปนั้นไม่สั่นเลย และนึกชมตัวเองที่ไม่ร้องไห้ออกมาให้ผู้หญิงคนนี้เห็นน้ำตา บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อวานนี้เธอร้องไห้ไปจนไม่เหลือน้ำตาให้ร้องอีกแล้วก็เป็นได้ อยู่ที่บ้านนี่ล่ะจ้ะ น้อง เอ่อ คุณภาเข้าไปไหว้ศพคุณพ่อก่อนเถอะ อารดีเปลี่ยนคำเรียกขานลูกเลี้ยงแทบไม่ทัน เมื่อเห็นสายตาดุๆ มองมาอย่างไม่ชอบใจ ร่างบางสะบัดหน้าหนีเดินผละเข้าไปในตัวบ้านโดยไม่รอให้แม่เลี้ยงพูดจบ ไม่มีแม้แต่การยกมือไหว้ทักทาย ภีษมะเองเข้านอกออกในบ้านนี้มานาน ก็พอรู้เรื่องราวอยู่บ้าง ก็ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ พลางยกมือไหว้อารดี อย่าถือสาน้องภาเลยนะครับ คุณน้า สาวใหญ่รับไหว้ว่าที่ลูกเขย พลางยิ้มตอบทั้งที่ในใจเดือดปุดกับกิริยาท่าทางของหญิงสาวคราวลูก แต่จำต้องเก็บความรู้สึกไว้ ไม่ให้ใครค่อนว่าเอาได้ พ่อภีมก็เข้ามาไหว้คุณธรรมวัฒน์ก่อนสิจ๊ะ กระเป๋าพวกนี้เดี๋ยวน้าจะให้เด็กๆ มายกไปเก็บไว้ที่ห้อง ครับ เอ่อ คุณน้าครับ คุณพ่อเป็นอะไรหรือครับ ทำไมท่านไปปุบปับอย่างนี้ อารดีแสร้งถอนใจยาวก่อนปั้นสีหน้าเศร้าๆ พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่เหน็บเอวเอาไว้ขึ้นมาเช็ดน้ำตา ที่ตอนนี้ไหลรินออกมาเหมือนสั่งได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แววว่าเธอจะร้องไห้เลยสักนิด แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวให้ชายหนุ่มฟังด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง กระนั้นภีษมะก็ยังอุตส่าห์จับใจความได้ว่า คุณธรรมวัฒน์นั้น ไม่มีวี่แววว่าจะเจ็บป่วยมาก่อนเลยสักนิด เช้าวานนี้ยังคงทานอาหารเช้ากับครอบครัวอยู่เป็นปกติ เสร็จอาหารเช้าแล้วก็เข้าไปขลุกอยู่ในห้องทำงานอันเป็นกิจวัตรประจำวัน เมื่ออารดียกกาแฟเข้าไปให้นั้น ก็พบคุณธรรมวัฒน์นอนอยู่หน้าชั้นวางหนังสือแล้ว ก็ช่วยกันกับลูกชายคนเล็กและเด็กรับใช้ในบ้านพาคุณธรรมวัฒน์ส่งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว พอตั้งสติได้ก็รีบเขียนจดหมายฝากลูกชายคนเล็กให้เอาไปส่งอจิราภาทันที
ร่างโปร่งระหงเดินเข้ามาในห้องรับแขก ที่เวลานี้จัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีศพอย่างเรียบง่าย ภาพของคุณธรรมวัฒน์ที่ตั้งอยู่หน้าหีบศพนั้น แววตาคู่นั้นยังคงทอดมองมาที่ลูกสาวคนโตด้วยความรักความอาทรดุจเดียวกับเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ อจิราภากลั้นสะอื้น บังคับให้น้ำตาที่กำลังจะไหลออกมานั้น ให้ย้อนกลับเข้าไปในอก ให้มันหลั่งรินอยู่ในนั้น เสียงคำสอนของผู้เป็นพ่อยังดังก้องอยู่ในหู เหมือนหนึ่งว่าเจ้าตัวมายืนพูดอยู่ใกล้ๆ ลูกภา อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นน้ำตาเรานะลูก แม้ว่าเราจะเสียใจแค่ไหนก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อห้ามไม่ให้หนูร้องไห้นะ ถ้าหนูจะร้อง หนูต้องร้องให้น้ำตาออกมาให้หมด และร้องต่อเมื่อหนูอยู่คนเดียว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ขอให้หนูร้องไห้เฉพาะกับคนสำคัญของหนูเท่านั้น อจิราภากระพริบตาถี่เพื่อเรียกน้ำตากลับคืนไปจนหมด ก่อนจะเดินมานั่งลงต่อหน้ารูปของพ่อ น้องชายคนเล็กที่นั่งจุดธูปรอพี่สาวต่างแม่รอท่าอยู่แล้ว ก็รีบส่งธูปดอกเดียวในมือให้ หญิงสาวรับมาไหว้แล้วปักลงในกระถางธูป ก่อนจะย้ายไปนั่งบนเก้าอี้รับแขกโดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ประสาทการรับรู้ทั้งหมดเหมือนถูกปิดสวิทช์ลงชั่วคราว กระทั่งภีษมะเดินเข้ามานั่งข้างๆ และกุมมือเธอบีบเบาๆ อย่างปลอบโยน จึงได้รู้สึกตัว
ความที่คุณธรรมวัฒน์เป็นนักวิชาการและนักโบราณคดีล้านนาที่มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย ทำให้ในค่ำวันนั้น อจิราภาแทบไม่ได้ว่างเว้นจากการต้อนรับแขกที่มาร่วมงานศพของคุณธรรมวัฒน์เลย แต่เธอกลับจำไม่ได้ว่าได้พูดหรือได้ทำอะไรลงไปบ้าง ทุกคำพูดที่ออกจากปาก ทุกการกระทำที่แสดงออกในเวลานี้ ราวกับว่าเป็นการตั้งโปรแกรมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แทบไม่ต่างอะไรกับหุ่นที่ไร้ชีวิตจิตใจสักนิด ภีษมะเองก็ช่วยงานคนรักอย่างแข็งขันโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ กระทั่งพระสวดจบ แขกเหรื่อทยอยกลับบ้านหมดแล้ว ร่างสูงจึงทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้รับแขกอย่างหมดเรี่ยวแรง อจิราภาเห็นภีษมะนั่งพิงพนักหลับตาก็อดสงสารไม่ได้ ตั้งแต่มาถึงเชียงใหม่ ภีษมะแทบไม่ได้พักเอาเลย ต้องวิ่งวุ่นช่วยซื้อของที่ยังขาดอยู่เกือบตลอดเวลา เมื่อเธอเห็นเด็กรับใช้เดินผ่านมาจึงกวักมือเรียกและสั่งให้เอาผ้าเย็นมาให้ ชายหนุ่มสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อสัมผัสถูกความเย็นบริเวณใบหน้า เมื่อลืมตาดูก็เห็นคนรักบรรจงใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าให้เขา ดวงหน้าสวยหวานนั้นอยู่ห่างไปนิดเดียวเท่านั้น ความใกล้ชิดอย่างนี้ทำให้เขาอดวูบวาบในใจไม่ได้ ถึงจะเป็นคนรักกันมานาน แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้สักทีเวลาที่เห็นอจิราภาอยู่ใกล้ๆ อย่างนี้ หญิงสาวเห็นภีษมะมองก็ยิ้มอ่อนๆ พลางบอก เห็นพี่ภีมเหนื่อยค่ะ ภาเลยเช็ดหน้าให้ จะสี่ทุ่มแล้ว ขึ้นไปพักผ่อนเถอะค่ะ พี่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ห่วงแต่คนอื่น ไม่ห่วงตัวเองตามเคยนะคะ น้องภาเองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน มาถึงยังไม่ทันได้พักเลยก็ต้องลงมาดูแลสถานที่ มานั่งจัดดอกไม้แล้ว ไหนจะยังเรื่องงานครัวอีกล่ะ ชินแล้วค่ะ จะให้ภาทำตัวเหมือนน้าอารดีที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่งหรือคะ ภาทำไม่ได้หรอก อีกอย่างภาก็อยากทำให้คุณพ่อด้วย เอ๊ะ! ดึกป่านนี้แล้ว ยังมีใครมาอีก หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินลัดสนามมุ่งตรงมาทางตัวบ้าน ร่างนั้นเดินมาถึงบันไดระเบียงก็หยุดยืนเก้กังอยู่ ไม่กล้าก้าวขึ้นไปบนตัวบ้าน อจิราภาจึงลุกขึ้นเดินไปหาแทน มาหาใครหรือคะ ถามไปแล้วก็ต้องชะงัก แสงไฟจากในตัวบ้านบอกให้รู้ว่าแขกผู้มาใหม่ยามวิกาล มิใช่คนไทยแต่อย่างใด ชายวัยกลางคนชาวตะวันตกตัวสูงใหญ่ ศีรษะล้านเหลือผมสีดอกเลาอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้าสวมแว่นสายตากรอบใส ที่ยืนมองเธอด้วยสายตาคล้ายจะตกตะลึงอะไรบางอย่างอยู่ตรงนี้ อจิราภาเดาเอาว่าน่าจะเป็นเพื่อนนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีของพ่อคนใดคนหนึ่ง และคงจะมาที่บ้านนี้ค่อนข้างบ่อย มิฉะนั้นแล้วเด็กรับใช้เห็นจะไม่เปิดประตูบ้านให้เข้ามาได้ง่ายๆ อย่างนี้ แต่ที่เสียมารยาทให้แขกเดินเข้ามาคนเดียวอย่างนี้ เห็นจะเป็นเพราะกลัวที่ต้องพูดภาษาอังกฤษเป็นแน่
Pardon,mademoiselle ขอโทษที่มารบกวน ผมมาพบ Monsieur ธรรมวัฒน์ครับ มางานศพคุณพ่อหรือคะ อจิราภาถามกลับไปเพื่อความแน่ใจ ถึงชายชาวฝรั่งเศสคนนี้จะพูดภาษาไทยได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะชื่อของพ่อที่ออกเสียงยากอยู่ไม่น้อย แต่บางคำก็อาจสื่อความหมายคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน ชายชาวฝรั่งเศสได้ยินคำว่างานศพก็ตกใจใช่น้อย ถามกลับเสียงรัวเร็ว งานศพ Il est mort? Oui,il est mort depuis hier. Etes-vous son ami? (ใช่ค่ะ คุณพ่อเสียตั้งแต่เมื่อวาน คุณเป็นเพื่อนของท่านหรือคะ) หญิงสาวตอบกลับเป็นภาษาเดียวกันแจ้งให้อีกฝ่ายทราบ เพื่อป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาดอีก ชายต่างชาติพยักหน้ารับแล้วนิ่งไป และมองหน้าอจิราภาอย่างสังเกต ครู่หนึ่งจึงมีท่าทีคล้ายระลึกได้ หนูเป็นลูกสาวของธรรมวัฒน์ใช่ไหม หนูจำลุงได้ไหม ลุงฌองไงล่ะ ลุงฌองคนที่ชอบเรียกหนูว่าเอแคลร์ (eclair) ไงล่ะ อจิราภาได้ยินคำ 'เอแคลร์' ก็จำได้ ในบรรดาเพื่อนของพ่อนั้น มีฌองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เรียกเธออย่างนี้ เมื่อสมัยเด็กๆ นั้น เธอชื่นชอบชื่อนี้หนักหนา เพราะเป็นชื่อเดียวกับขนมสุดโปรด จนเมื่ออยู่ชั้นมัธยมปลายและเลือกเรียนสายศิลป์ฝรั่งเศสแล้ว จึงได้รู้ว่า ฌองเรียกคำแปลของชื่อ 'อจิราภา' ที่แปลว่า 'สายฟ้า' นั่นเอง ลุงฌอง ภาจำได้แล้วค่ะ ขึ้นมาข้างบนก่อนค่ะ หญิงสาวยิ้มสดใสออกมาเป็นครั้งแรกนับแต่ที่รู้ข่าวการตายของพ่อ มือบางคว้าข้อมือใหญ่ของผู้สูงวัยกว่าขึ้นมาบนบ้านทันที ภีษมะเห็นคนรักหายไปนานก็ออกมาตาม พอเห็นฌองเข้าก็นิ่งอึ้งไป พี่ภีมคะ นี่ลุงฌองค่ะ ศาสตราจารย์ฌอง ดูเอ ลุงฌอง นี่ภีษมะค่ะ Enchante ยินดีที่ได้รู้จัก ภี-ษา-มะ เช่นกันครับ คุณฌอง เรียกผม ภีม ก็ได้ครับ ภีษมะเอ่ยกลั้วหัวเราะที่ได้ยินฌองออกเสียงชื่อของเขาเพี้ยนไป พลางจับมือทักทายตามวัฒนธรรมตะวันตก คุณเป็นคู่รักของเอแคลร์หรือครับ ชายหนุ่มทำหน้างงเมื่อเจอคำถามนี้เข้า หันไปมองหน้าอจิราภาอย่างขอคำตอบ หญิงสาวหัวเราะคิกก่อนจะอธิบาย ลุงฌองเรียกภาว่าเอแคลร์ค่ะพี่ภีม คราวนี้ภีษมะพยักหน้ารับทันที พร้อมกับหันไปตอบผู้อาวุโสกว่าด้วยรอยยิ้ม ครับ เราเข้าไปคุยในบ้านเถอะค่ะ ตรงนี้ยุงเยอะออก อจิราภาตัดบทก่อนที่การสนทนาจะยืดยาวไปกว่านี้ พบกันไม่ทันไร สองหนุ่มต่างวัยก็เหมือจะถูกชะตากันเสียแล้ว และทำท่าจะยืนคุยอยู่ที่ระเบียงอีกนาน
*** มีต่อค่ะ
แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 53 14:41:40
แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 53 09:52:36
แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 53 14:26:55
| จากคุณ |
:
อริญชย์ (อินทรายุธ)
|
| เขียนเมื่อ |
:
วันวิสาขบูชา 53 20:06:03
|
|
|
|
 |