ความคิดเห็นที่ 1 ร้านน้ำชากาแฟที่หาดใหญ่ (ขอแถมเพิ่มเติม) มีตำนานเล่าขานกันหลายเรื่องหลายราว มีเรื่องหนึ่งที่จำได้ดีคือ เกิดขึ้นมาหลายปีมากแล้ว ครั้งหนึ่งมีคนจีนแก่ ๆ ไปแจ้งความที่โรงพักหาดใหญ่ ว่ามีโจรงัดบ้านของแกแล้วลักขโมยทรัพย์สินในบ้านไป ปรากฎว่าร้อยเวรที่รับแจ้งความในวันนั้น (เป็นเพื่อนสมัยเรียน) เกิดรู้สึกอารมณ์สนุกสนานอย่างไรไม่ทราบ นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าเล่นไปมา ไม่สนใจใยดีกับความเดือดร้อนของอาแปะแต่อย่างใด แถมยังบอกว่ามาแจ้งความก็อย่างงั้น ๆ แหละ ไม่รู้ว่าโจรวิ่งหนีหายไปไหนแล้ว แป๊ะไปตามเรื่องเอาเองหรือถ้ารู้ว่าใครเป็นโจรก็มาบอกก็แล้วกัน จะนำกำลังไปจับโจรให้หรือจะจับโจรมาเองก็ได้ เย็นวันนั้นก็มีวิทยุสั่งย้ายร้อยเวรคนดังกล่าวเข้าจังหวัด ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงให้ไปรายงานตัวด่วนเพื่อพิจารณา เล่นเอาทั้งโรงพักหาดใหญ่งงกันไปทั้งหมด ว่าแกโดนเรื่องอะไรถึงรวดเร็วปานนี้ ปรากฎความจริงในภายหลังว่า อาแปะคนนี้แต่เดิมขายชากาแฟอยู่ในตลาดหาดใหญ่ พวกร้อยเวรรุ่นก่อน ๆ รุ่นเก่าแก่สมัยยังหนุ่ม ๆ ก็มักจะมาใช้บริการที่ร้านของแก กินบ้างติดบ้างฟรีบ้าง เอื้อเฟื้อกันตามประสาคนค้าคนขาย และความรู้จักมักคุ้นกันมานานฐานเป็นลูกค้าประจำ ต่อมาร้อยเวรที่สนิทสนมกับแก ก็ได้ย้ายไปเรื่อย ๆ จนได้กลับมาเป็นผู้กำกับการที่จังหวัดสงขลา เมื่อมาเจอแปะคนนี้ก็บอกว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอกก็แล้วกัน แปะแกกลับตอบกลับไปว่า "ไม่เป็นไร เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว อย่ามายุ่งกับแกก็แล้วกัน" ผู้กำกับฯ สงสัยเลยถามว่า "มีเหตุผลอะไร" แกเลยตอบว่าที่อยากให้ช่วยอยู่เฉย ๆ หรืออย่ามายุ่งกับแกหรือแสดงว่ารู้จักกับแกเลย เพราะกลัวว่าอีกหน่อยงานจะเข้าบ้านแกหรือมาหาแกอีกมากมาย นัยหนึ่งว่า คดีขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ตีหัวหมา ด่าแม่ชาวบ้าน รถทำผิดกฎจราจร หรือคดีความต่าง ๆ ชาวบ้านหรือเพื่อนฝูงจะมาไหว้วานหรือขอให้แกช่วยเหลือ เพราะคิดว่าแกรู้จักสนิทสนมกับผู้กำกับ จะทำให้สามารถช่วยเหลือได้หรือผ่อนหนักเป็นเบา ถ้าแกช่วยเหลือบ่อย ๆ ก็เกรงใจเป็นภาระกับผู้กำกับอีก ถ้าช่วยเหลือไม่ได้หรือไม่ช่วยเหลือเลย เพื่อนฝูงก็จะด่าทอแกอีกว่าไม่มีน้ำใจ แปะแกเลยไม่ยอมบอกใครหรือบอกเพื่อนฝูงว่า ผู้กำกับการที่จังหวัดสงขลามีน้ำใจไมตรีกับแก แต่เหตุการณ์คราวนี้ที่โรงพักหาดใหญ่ แกเหลืออดเหลือทนก็เลยโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนแก คำสั่งเลยย้ายมาทันทีทันควันเลย เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ ก่อนที่จะเลือนหายไปจากความทรงจำ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 12:22:36

ความคิดเห็นที่ 2 สะใภ้ไหหลำมารายงานตัว        อ่านถึงตอนตัดนิ้วแล้วใจหายค่ะ เพราะสามีเคยเล่าให้เรื่องสมัยที่ญี่ปุ่นจับจีนมาเลย์เพราะสงสัยว่าไปเข้ากับพรรคคอมมิวนิสต์ คือพอญี่ปุ่นมันสงสัยใครหน่อยเขาก็จะจับทั้งหมู่บ้านเลยไม่ว่าลูกเด็กหญิง คนที่มีความรู้หรือเก่งกล้าหน่อยจะถูกฆ่า ว่าเข้ากับก๊กมินตั๋ง ความจริงจีนบางคนเขาก็ไม่ได้เข้ากับคอมฯ แต่พวกคอมฯ มาขู่เอาเสบียงหน้าบ้านก็ต้องให้เขาไป         ตอนคุณพ่อของสามียังเด็กๆ คนจีนไหหลำทั้งหมู่บ้านแถวเกอร์เตห์ (ตรังกานู) ต้องรวมตัวกันหนีญี่ปุ่นไปอยู่ป่ากันตั้งหลายปี จนเรื่องสงบถึงกลับมา คุณอาของสามีมีปัญหากับทางการจนต้องหนีไปเรืยนที่เมืองจีนและอยู่จีนจนถึงตอนนี้ ทั้งที่เกิดบนแผ่นดินมาเลย์ เรื่องของคนจีนที่นี่น่าเห็นใจหลายเรื่อง สมัยก่อนคนจีนคงเป็นชนชั้นสอง พวกคนมีความรู้หน่อยถ้าไม่ถูกหาว่าขึ้นกับญี่ปุ่น ไม่ก็เกาหลี ปัญหาอิรุงตุนัง พอแผ่นดินตกเป็นของอังกฤษ จีนที่เป็น( ^o^ )อังกฤษคนมาเลย์ก็ดูถูกแฮะ ส่วนอังกฤษก็ดูแลแต่มาเลย์ จีนกับอินเดียก็เลยกระเสือกกระสนดูแลตัวเองกัน เป็นชนักติดหลังกันเองกับรัฐบาลจนถึงตอนนี้ (จีนนี่เอาตัวรอดได้ แต่อินเดียนี่ พวกรวยมีกระจึ๋งอยู่ตรงยอดของปิรามิด ส่วนคนจนก็ยิ่งโอกาสน้อยลงๆๆ พวกใช้แรงงานนี่มีแต่คนอินเดีย) ฮ่วย นี่จะเขียนยาวกว่าคุณ เสียเองแล้ว 555+ บ่นไรไม่รู้ จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 13:24:15

ความคิดเห็นที่ 3 ขอเพิ่มเติมข้อมูลอีกส่วน หาดใหญ่มีพื้นที่ติดทะเลสาบสงขลา ด้านหลังเกาะยอที่เรียกกันว่าแหลมโพธิ์ ทรายหาดไม่สวยงามเท่าไรนัก เป็นดินเลนดินโคลน หรือที่บริเวณที่เรียกกันว่า ตำบลคูเต่า มีคลองวงกั้นเขตแดนระหว่างอำเภอหาดใหญ่กับอำเภอเมืองสงขลา คลองนี้น้ำจะไหลลงไปสู่ทะเลสาบสงขลา บ้านหาดใหญ่มีเรียกกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สาม ที่เดินทางไปตามคลองอู่ตะเภาขึ้นไปปราบกบฏไทรบุรี รัฐไทยเดิมในมาลายูหรือที่เรียกว่ากบฎไทรบุรี (กบฏแขก) เมืองหาดใหญ่จะมีสองฝั่งเรียกกันคือ หาดใหญ่  กับ หาดใหญ่ใน หาดใหญ่ในเดิมคือในเมืองหรือตัวเมืองเก่าหาดใหญ่ เมื่อรางรถไฟผ่ากลางแยกสองฝั่งออกมา ความเจริญเลยมาจุกอยู่แถว ๆ ใกล้กับสถานีรถไฟ คนจีนก็จะมาบุกเบิกทำการค้าการขายมาก จนเจริญขึ้นมาถึงปัจจุบัน ฝั่งที่เจริญกว่าเลยเรียกว่า หาดใหญ่   ส่วนด้านที่ตั้งที่ว่าการอำเภอเรียกว่า หาดใหญ่ใน เรื่องชื่อที่มาของหาดใหญ่ บางคนว่ามีต้นมะหาดขนาดใหญ่มาก ขึ้นอยุ่ริมน้ำคลองอู่ตะเภาเป็นที่นัดหมายธุระกัน เลยมีชื่อว่าหาดใหญ่ ส่วนที่มาอีกนัยหนึ่ง  ได้ถามนม (แม่เฒ่าหรือยายของเพื่อนอายุกว่า90ปี) แกเล่าว่า สมัยเด็ก ๆ แกไปเก็บหอยเล่นที่ชายหาด ใกล้ ๆ กับที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ และเป็นท่าเรือ เรื่องนี้จำได้เพราะสมัยเด็กก็ไปว่ายน้ำเล่นแถวนั้น ต่อมามีเรือดูดทรายในคลองอู่ตะเภามาก จนตลิ่งและพื้นคลองกลายเป็นโคลนตมไปมาก ภาพหาดใหญ่จาก google map จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:12:48

ความคิดเห็นที่ 4 ชอบอ่านครับ ไปสงขลาอยู่บ่อย http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9330180/W9330180.html จากคุณ : แสงแรก ประดับดิน เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:27:24

ความคิดเห็นที่ 5 ขอเสริมอีกนิดครับถนนสายแรกของหาดใหญ่คือถนนธรรมนูญวิถีครับ ผมก็สงสัยทำไมใช้ชื่อนี้  ส่วนมากก็เสน่หามนตรี หรือ นิพัทธ์อุทิศ จากคุณ : ลมหัวด้วน เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 15:23:17

ความคิดเห็นที่ 6 ถนนธรรมนูญวิถี เดิมถ้าจำไม่ผิดจะเรียกว่าถนนรถไฟ ด้านหน้าสถานีรถไฟยังมีชื่อถนนว่า ถนนหน้าสถานี(รถไฟ) ส่วนด้านหลังสถานีรถไฟแถวหลังอู่ซ่อมหัวรถจักรกับสถานีตำรวจ ก็จะมีชื่อถนนว่า ถนนหลังสถานี(รถไฟ) หลังจากงานฉลองรัฐธรรมนูญที่หาดใหญ่ ก็มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเป็น ถนนรัฐธรรมนูญ ก่อนจะเปลี่ยนใหม่เป้นถนนธรรมนูญวิถี ส่วนถนนนิพัทธ์อุทิศ เดิมมีชื่อถนนว่า เจียกีซี   ต่อมาได้รับการพระราชทานตำแหน่งจากรัชกาลที่ 6 ให้เป็น ขุนนิพัทธ์จีนนคร (ยังมีรูปปั้นท่านอยุ่ที่สนามกีฬาจิระนคร) ท่านได้ตัดถนนในเขตที่ดินที่ท่านเข้าครอบครองทำประโยชน์ ปลุกเป็นห้องแถวใม้กับแปลงสวนให้เช่า เลียนแบบปินังที่ท่านเคยไปดูงานมาทั้งหมดมีสายสาม สมัยนั้นถือว่ากว้างขวางมากเกินความจำเป็น แต่ปัจจุบันเริ่มจะคับแคบลงไปมาก ชาวบ้านมักจะเรียกถนนสามสายนี้ว่า สายหนึ่ง สายสอง สายสาม แต่คนเก่า ๆ แก่ ๆ จะเรียกกันถึง สายสี่ (ถนนสุคนธหงษ์) สายห้า ถนนดวงจันทร์ ส่วนชื่ออีกถนนที่ใกล้กับบ้านของขุนนิพัทธ์คือ ถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 1 เดิมด้านหลังบ้านท่านเป็นป่าช้าเก่าแก่ ต่อมามีการล้างป่าช้าเพื่อทำเป็นโรงเรียนเทศบาลหนึ่ง(เอ็งเสียงสามัคคี) กับโรงพยาบาลหาดใหญ่ โดยมีการตั้งศาลาทวดทอง  ซึ่งตำนานเล่าขานว่า เป็นคนแรกเริ่มที่มาบุกเบิกตั้งถิ่นฐานในหาดใหญ่ บางคนเลยมักจะสับสนหรือพูดกันเลยเถิดว่า สายหนึ่งเดิมเป็นป่าช้าเก่าแก่ เพราะฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด อะไรทำนองนั้น ไว้มีโอกาสหรือรำลึกได้จะเขียนเกี่ยวกับ โมเดลการพัฒนาของขุนนิพัทธ์จีนนคร ที่ทำให้หาดใหญ่เจริญขึ้นมาก ขอใช้เวลารำลึก่อน/อ่านหนังสืออีกหลายเล่มทบทวน ส่วนภาพด้านล่างเป็นภาพสถานีรถไฟหาดใหญ่ ภาพนี้ประมาณยี่สิบปีแล้ว ก่อน Renovate รื้อทิ้งโรงแรมรถไฟหลังไม้สองชั้นทิ้งไป เหลือแต่ต้นมะม่วงป่าถัดจากต้นมะพร้าวแล้วก็ต้นยูงทองและพื้นที่โล่ง เคยทำเป็นสวนหย่อม สนามกอล์ฟหลุมแบบเด็กเล่น แต่ผู้ใหญ่มักจะมาเล่นพนันกันในการตีเข้าหลุมหรือลอดอุโมงค์หลุมกอล์ฟ หัวมุมตึกแถวถัดมาหนึ่งห้องในภาพคือ โรงแรมศรีทักษิณ (เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับ ลุงถิง และการปล้นร้านทองที่หาดใหญ่ และโจรไปพักดูลาดเลาที่โรงแรมแห่งนี้) http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2009/09/W8323877/W8323877.html โรงแรมแห่งนี้เป็นตลาดพระแห่งแรกของหาดใหญ่ เซียนหลายคนรุ่งหรือรุ่งริ่งก็มาจากโรงแรมนี้ก่อน เป็นตำนานท่าพระจันทร์ของหาดใหญ่ ตอนนี้ด้านซ้ายมือเป็นตึกแถวหมดแล้ว และมีศูนย์การค้านิยมเรียกว่า โรบินสัน ส่วนด้านขวามือของภาพยังคงสภาพเดิมอยู่ เด็ก ๆ ผมอาศัยอยุ่บ้านแถวซ้ายมือของภาพครับ แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 53 18:51:57 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 18:36:18

ความคิดเห็นที่ 7 ถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลย ว้า จากคุณ : scottie เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 21:33:05

ความคิดเห็นที่ 8 อ้าว โรงแรมรถไฟหาดใหญ่ถูกรื้อไปแล้วหรือคะ ไปหาดใหญ่ครั้งหลังสุดหลายปีมาแล้ว สิบปีแล้วมั้งคะ ไม่ได้สังเกตเลยค่ะว่าโรงแรมยังอยู่หรือเปล่า เป็นเพราะตอนเด็กๆ คุ้นเคยกับโรงแรมรถไฟว่าเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสถานีรถไฟ ก็เลยนึกภาพตรงนั้นเวลาที่ไม่มีโรงแรมนี้ไม่ออก จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 23:49:42

ความคิดเห็นที่ 9 ผมยอมรับท่าน จขกท.ครับท่านมีข้อมูลแน่นจริงๆ  ท่านต้องเขียนตำรานะครับ เป็นประวัติศาสตร์ เมืองหาดใหญ่ ผมไปในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะจีน เขาขายวัฒนธรรมล้วนๆเราประทับใจ  เมืองเราอย่าเอาความเจริญมาอวดเลยครับ เอาความเก่ามาขายวัฒนธรรมมาขายก็ติดใจไปทั่วโลกแล้ว  ขอให้กำลังใจ จขกท. ค้นคว้าแล้วเขียนประวัติศาสตร์เมืองหาดใหญ่เลยครับ  ผมจบเอกประวัติฯ แต่ผมยังศึกษาไม่ลึกซึ้งพอเกี่ยวกับเมืองหาดใหญ่  ผมคนหาดใหญ่ครับ ถ้าผมบอกท่านต้องรู้จักผมแน่ๆ. จากคุณ : ลมหัวด้วน เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 01:51:45

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบคุณ กุลธิดา (kdunagin) ความเห็นที่ 8 โรงแรมรถไฟตรงสถานีรถไฟในภาพยังไม่รื้อครับ แต่เลิกกิจการไปหลายปีแล้ว เคยขึ้นไปหานายช่างรถไฟคนหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นสำนักงานของรถไฟบางส่วน บางส่วนก็ทิ้งร้างไว้สกปรกพอสมควร ส่วนห้องอาหารราชธานี(ห้องอาหารรถไฟ)ชั้นล่าง ก็เปิด ๆ ปิด ๆ หลายครั้ง ก่อนปิดยาวนานจนถึงปัจจุบัน เพราะอาหารไม่อร่อยอย่างหนึ่ง กับ แพงสอง ส่วนที่บอกว่าโรงแรมรถไฟที่รื้อไปแล้วคือ หลังเดิมที่เป็นโรงแรมรถไฟทำด้วยไม้สองชั้น อาภัสรา หงส์สกุล  ตอนได้เป็นนางงามจักรวาล มาโชว์ตัวและพักทานอาหารกลางวันที่โรงแรมรถไฟหลังไม้แห่งนี้ (อาภัสรา เธอผ่านการเรียนหนังสือที่ปีนังมาก่อนด้วย) เป็นข่าวคราวดังมากและไทยมุงก็มากเช่นกัน แบบว่าอยากชมคนงามคนสวยระดับโลก เด็ก ๆ หลายคนเบียดเข้าไปเหิดดูกันใหญ่ (เหิด คล้าย ๆ อาการสุนัขแหงนมองเจ้าของหรือของกินที่อยู่สูง) แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 06:45:14 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 06:44:41 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 05:50:31

ความคิดเห็นที่ 11 ได้รู้จักหาดใหญ่เพิ่มขึ้นค่ะ ทั้งๆ ที่เป็นคนหาดใหญ่มาตั้งแต่เกิด ขับรถวนไปวนมา แต่ไม่เคยรู้ว่าแต่ละที่มีความเป็นมาอย่างไร ขอขอบคุณคุณ RAVIO นะคะ ข้อมูลแน่นดีจริงๆ จากคุณ : หมึกน้อย เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 09:30:16

ความคิดเห็นที่ 12 ชอบอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหาดใหญ่ของคุณ ravio มากค่ะ ดิฉันเป็นลูกหลานชาวหาดใหญ่เหมือนกัน เกิดที่อื่นแต่มาโตที่หาดใหญ่ ตั้งแต่เด็กได้ยินคุณย่าพูดถึงเรื่องราวของขุนนิพัทธ์ คุณพระเสน่หามนตรี บ่อยมาก ตอนนี้คุณย่าดิฉัันเสียไปหลายปีแล้ว พอมาได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับหาดใหญ่ของคุณ ravio ทำให้ดิฉันคิดถึงคุณย่าขึ้นมาจับใจเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อมูลที่น่าสนใจ จากคุณ : Jaa3950 เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 53 22:15:49