 |
ความคิดเห็นที่ 5 |
เพื่อนๆ ถามเกี่ยวกับการใช้คำเบาในโคลง ก็เลยขอคัด แต่งโคลงตำรับประมวญมารค เรื่อง ครุ-ลหุ มาให้อ่านกันครับ (... = ส่วนที่ตัดออก เพื่อไม่ให้ยาวเกินไป)
===========
บทที่ ๔ ครุ-ลหุ ... ตัวอย่างที่ ๑ กฤษณาสอนน้อง
ปางองค์อนงค์นุชสุดา จิรประภาพิมลมาลย์ ภรรดานราธิปบ่ดาล ประดิพัทธเปรมปรีดิ์ เคียดขุ่นก็ครุ่นฤไทยโทษ บ่มิโปรดมิปราณี เศร้าทรวงรลวงทุกขทวี ดุรเทวษถวิลครวญ ฯ ... ตัวอย่างนี้ชาวบ้านมักจะถือกันว่าแต่งผิดลหุ ...
ตัวอย่างที่ ๔ บทผิดลหุ
ดูลักษณะหัวเราะแฮะแฮะดัง ฮิฮิฟังเพราะแหล่หลาย โคลนเปื้อนเปรอะเรือนเลอะเทอะเพราะชาย เยอะแยะมาแวะหานาง ฯ
ตัวอย่างที่ ๕ บทผิดครุ
แต่งฉันท์วสันต์ผิวครุ และลหุประจุเหมาะ ใคร ๆ ก็ชมนิยมเปาะ เพราะวเพราะเสนาะกรรณ ฯ
ตอนนี้ลองอธิบายเรื่อง ครุ-ลหุ เสียหน่อย หากท่านพยายามลืมความรู้ในเรื่องนี้ เสียให้หมดสิ้นสักประเดี๋ยว ก็อาจเข้าใจเรื่องนี้ง่ายเข้าแลเร็วเข้า คำว่า ครุ-ลหุ เป็นแต่เพียงคำเปรียบเทียบเท่านั้น หากว่าเรามีคำหนัก คำเบา คำหนักกว่า คำเบากว่า คำเบาย่อมเป็นครุเมื่อเทียบกับคำเบากว่า เป็นลหุเมื่อเทียบกับคำ หนักหรือหนักกว่า แต่ตามที่เคยเห็นอธิบายกันมีสองนัย ๑) ว่าสระ อะ, อิ, อึ, อุ, ฯลฯ ถือกันว่าเป็นลหุเพราะว่าสระเหล่านี้ตะโกนไม่ได้ ๒) สระเหล่านี้เป็นสระสั้น กินเวลาออกเสียงไม่ยาวเท่าสระ อา, อี, อื, อู, ฯลฯ จึงเป็นลหุ ...
ที่อธิบายกันว่า ครุ - ลหุ แปลว่าคำยาวคำสั้นนั้น ถูกต้อง แต่ไม่ครบ คำอธิบายนี้ เข้าใจว่าอธิบายตามภาษาบาลี ภาษาลาตินก็เช่นเดียวกัน เรียกว่า Quantitative แต่ภาษาของเราเป็นภาษา Qualitative คือเราพูดเน้นบางคำให้หนัก อย่างนี้ เรียกว่า Stress เหมือนในภาษาอังกฤษ
ตามหลักภาษาอังกฤษและภาษาลาติน คำแทบทุกคำ เป็นครุก็ได้ เป็นลหุก็ได้ แล้วแต่จะใช้อย่างไร แลที่ไหน แล้วก็เมื่อไรคำ ๆ หนึ่งจะหนักหรือเบา (อังกฤษ) ยาวหรือสั้น (ลาติน) ก็เมื่อเทียบกับคำอื่นเท่านั้นเอง
ตอนนี้ขอยกตัวอย่าง เพื่อธิบายการออกเสียงเน้นของเรา
สมมุติว่าท่านมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อว่า บุญสม พี่ชายคนนี้ท่านรักมาก ฉะนั้นท่าน จึงเรียกชื่อเขาโดยย่อเป็นนิตย์ แต่ท่านไม่เรียกเขาว่าพี่บุญ ท่านเรียกเขาว่า พี่สม เหตุที่ท่านทำเช่นนั้นก็เพราะในสองพยางค์นั้นท่านเน้นคำหลัง ฉะนั้น บุญ จึงเป็นลหุ สม เป็นครุ เมื่อเทียบกัน
สมมุติว่าท่านมีพี่ชายอีกคนหนึ่งชื่อ สมบูรณ์ ท่านเรียกชื่อพี่ของท่านย่อ ๆ ว่า พี่บูรณ์ ท่านไม่ว่า พี่สม ที่ท่านทำเช่นนี้ก็เพราะตามหลักภาษาพูดของเรา พยางค์แรกเป็นลหุ พยางค์หลัง (ในสองพยางค์) เป็นครุ
ในโคลงแลฉันท์โบราณมีใช้ลหุแบบภาษาพูดนี้มาก (ในโคลงใช้แทนเอก) ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (บาท ๓ ซึ่งใช้ สม ในสมบูรณ์เป็นลหุ โคลงบาทนี้มีทั้ง ในพระลอและทวาทศมาส)
๏ คิดศรีสมบูรณ์บง กชมาศ กูเอย ๚
เรามักถือกันว่าโบราณแต่งฉันท์ผิดลหุ แต่งโคลงผิดเอก ข้าพเจ้าว่าไม่ผิด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องปรับความเข้าใจกันเป็นการใหญ่ ฉะนั้น จะขอยกตัวอย่างต่อไปอีก
สมมุติว่าพวกเด็ก ๆ เขาจะเล่นวิ่งแข่งกัน เขาตั้งให้เด็กคนหนึ่งเป็นอนุญาโตตุลาการนับ ๑ - ๒ - ๓ จะได้ออกวิ่งพร้อม ๆ กัน อนุตัวการหลับตาปี๋ แล้วว่า นึง--ส่อง--ซ้าม ถือ นึง เป็นคำธรรมดา นึงเป็นลหุเทียบกับซ้าม (โดยเน้น) เป็นครุเทียบกับส่อง (โดยยาวสั้น) หลัก ครุ-ลหุ ตามที่กวีใช้แทบจะมีเท่านี้ ทั้งนี้ หากไม่มีอื่นเข้าแทรก
ตอนนี้ย้อนไปดูหลักลหุของบาลีอีกครั้งหนึ่ง คือ สระ อะ อิ อึ อุ ที่กินเวลาน้อยใน การออกเสียง พี่ไทยเติม เอะ, แอะ, โอะ, เอาะ, เออะ, เอียะ, เอาะ เข้าไปด้วย ให้เป็นลหุ (เอะอะ เกะกะ เปะปะ ฯลฯ) คำไทยเหล่านี้ส่วนมากเป็นคำกริยาหรือ คำอุทาน เช่น หัวเราะ เป็นกริยา แฮะ ๆ ฮิ ๆ เป็นสำเนียงอุทาน เพราะฉะนั้น ย่อมทำเป็นคำลหุไม่ได้ เพราะเป็นเสียงหนักอยู่ในตัว เว้นแต่จะมีคำอื่นช่วย
ตัวอย่างที่ ๔ "ผิดลหุ" ผิดเพราะเหตุนี้ ทั้ง ๆ ที่มีสัมผัสสระบีบถึงสองตัวคู่ หากเราจะว่า ไก่ ร้อง ๆ ขัน ๆ ต๊าก ๆ เอ๊ก ๆ เป็นครุก็ถูกต้องแล้ว แต่ที่จะให้ หมูร้อง เอ๊าะ ๆ โอ๊ะ ๆ เป็นลหุ ข้าพเจ้าก็ว่าเป็นไปไม่ได้ ...
ตัวอย่างคำ เอาะ ๆ แอะ ๆ ที่จะเป็นลหุได้ ถ้านึกเร็ว ๆ ก็มี เพราะ กับ และ เท่านั้น คำเช่น เสยาะ แสยะ ระแคะระคาย หรือแม้แต่ แหะแหะ ก็อาจเป็นลหุได้ ถ้ามีคำอื่นช่วย
ในคำว่าลักษณะ ในตัวอย่างที่ ๔ ลักเป็นครุก็ได้ ลหุก็ได้ ษะเป็นลหุ แต่ ณะเป็นครุ ถ้าเราเติมคำเช่น เลิศเข้าไป ลักษณะเลิศ เลิศเป็นครุ ษะเป็นลหุ ทั้งณะและลัก เป็นครุก็ได้ลหุก็ได้ สำคัญที่สุดเป็นการวางคำที่จะให้คำไหนเป็นครุหรือลหุ คือ ให้ถูกไวยากรณ์ตามภาษาพูด เช่นนี้ถึงแม้สัมผัสช่วยจะอ่อนบ้าง ก็ยังพอไปได้
ที่อธิบายนี้ มิใช่ว่า ครุ-ลหุ จะมีแต่ทางคำหนักคำเบาอย่างเดียว คำยาวคำสั้นก็เป็นคำแข็งคำอ่อนก็เป็น เสียงสูงเสียงต่ำก็เป็น (คำตายในแม่กก, กด, กบ เป็นครุเน้นเทียบกับคำธรรมดา - ส่วนแม่กน, กง, กม เป็นครุยาว ด้วยเหตุนี้คำเช่น เสาะ ในเสาะหา อาจเป็นลหุได้ แต่ไม่สนิททีเดียว) ทั้งนี้พูดในส่วนรวม เพราะคำทุกคำอาจเปลี่ยนได้ในเมื่อมีคำอื่นเข้าแทรก หรือเข้าเคียงข้าง เป็นต้นในตัวอย่างที่ ๑ จะเห็นสมเด็จพระปรมาฯ ทรงใช้คำที่เป็นกริยา และคำตายในแม่กดและแม่กบ ซึ่งล้วนแต่มีธรรมชาติเป็นครุทั้งสองอย่าง ให้เป็นลหุ ในบาท
"โอ้อกอาภัพดูอัประลักษณ์ นิราศรักแต่ให้หวล"
และในตัวอย่างต่อไปนี้ ทรงใช้คำที่เราถือว่าเป็นครุให้เป็นลหุ แล้วกลับมาใช้คำที่เราถือว่าเป็นครุให้เป็นลหุ แล้วกลับใช้คำที่เราว่าเป็นลหุให้เป็นครุอยู่ท้ายวรรค
ตัวอย่างที่ ๖ กฤษณาสอนน้อง
ร้อยทุกข์รันทมระบมระบุ อุรระอุกำศรวญครวญ ชอกช้ำระกำจิตรประมวญ ประมาณมากกว่าแดนดิน ฯ
ตัวอย่างที่ ๕ ที่ว่า "ผิดครุ" นั้นที่แท้ไม่ผิด การใช้คำลหุให้เป็นครุ เช่นในพระราชนิพนธ์ข้างบนนี้ ในบาลีก็มีใช้บ่อย เช่นคำสุดท้ายในตัวอย่างต่อไปนี้ ...
ตัวอย่างที่ ๗ บทพาหุง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตวามุนินโท ตันเตชสาภวตุเต ชยมังคลานิ ฯ
ส่วนตัวอย่างที่ ๔ บทชมโฉมแฟนที่หัวเราะ แฮะๆ ฮิ ๆ บทนี้ "ผิดลหุ" จริง ส่วนที่ว่าแม้แต่คำเช่น แฮะ ๆ ก็อาจทำให้เป็นลหุได้ ถ้าวางสัมผัสให้ถูกต้องนั้น ก็พอเห็นได้ในตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ ๘ บทชมแฟน
อย่าหัวแหะแหะระแคะระคาย ดุจชายกระเทยยง เขาเห็นธเช่นวอัประมง คลผู้พธูปลอม ฯ
ไทยเราชอบพูดคำซ้ำ เช่น "ไปช้า ๆ กลับมาไว ๆ" ช้าคำหน้าเสียงสั้นกว่าช้าคำหลังไวหน้าสั้นกว่าไวหลัง ฉะนั้นในตัวอย่างข้างบน แหะหน้าเป็นลหุเทียบกับแหะหลังซึ่งเสียงหนักกว่า ส่วนแคะถูกบีบในระหว่างแหะหลัง กับคาย เลยกลายเป็นลหุ
คำอื่น ๆ ที่ใช้กันบ่อยให้เป็นลหุมี ฤ, ก็, บ่, มิ ไม่ค่อยดี แต่ บ่มิ เป็นสองลหุได้ ธ แทนท่านหรือเธอ ว แทน ว่า เช่น เพราะว่า, ผิว่า หรือ ผี้ว่า, แม้ว่า, เช่นว่า, เห็นว่า, แล้วว่า, ฯลฯ นอกจากนั้นยังใช้ "สระ อำ" เป็นลหุก็มี ทั้ง ๆ ที่เสียงนี้ย่อมผันได้ และตะโกนได้ เช่น บำเรอ ในตัวอย่างที่ ๑ และ "กำศรวญ" ในตัวอย่างที่ ๖ (ส่วน "ระกำ" ในตัวอย่างเดียวกันไม่เป็นลหุ) ทั้งนี้ ถือหลักเดียวกับ สม ในสมบูรณ์เป็นลหุในโคลง
บาท ๓ (๏) คิดศรีสมบูรณ์บง กชมาศ กูเอย ๚
นอกจากในฉันท์ อำ ยังใช้แทนเอกในโคลงโบราณอีกด้วย ดังต่อไปนี้
บาท ๒ มาสำแดงชัยชาญ เชี่ยวแกล้ว ฯ (ยวนพ่าย)
บาท ๒ มีกำแพงแลงเลือน ต่อต้าน ฯ (ยวนพ่าย)
บาท ๒ รสลำดวนหอมหวล กลิ่นแก้ม บาท ๓ พระพายรำเพยดล แดคร่ำ ครวญนา (พระลอ)
บาท ๓ มาเกาะตำแยลาญ ลุงสวาท ถนัดตำแยเย้าใส้ พี่คาย ฯ (กำศรวญ)
แต่ อำ ไม่เป็นลหุทุกคำ คือ
ลหุ :- จำหน่าย ชำระ ครุ :- ประจำ กำ (ไม้กวาด) ......
จากคุณ |
:
ศาลายา
|
เขียนเมื่อ |
:
9 มิ.ย. 53 15:37:03
|
|
|
|
 |