Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หนึ่งวัน(ซวยๆ)ของผม ...ในเมือง(เน่าๆ)แห่งนี้  

ไม่น่าเชื่อว่าดึกดื่นป่านนี้แล้ว  รถไฟฟ้ายังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน      
บางทีอาจจะจริงอย่างที่เค้าว่ากันไว้ว่า…..
มหานครแห่งนี้ไม่เคยหลับไหล
………
……………….
………………………..
……แต่ยังไงซะก็ช่าง ‘มหานคร’ มันเถอะน่า!!     ตอนนี้ผมอยากจะกลับบ้านไปหลับไหลให้เต็มที่แล้วว่ะ !!
นี่ถ้าลูกค้าไม่เร่งงานให้ส่งพรุ่งนี้เช้านะ   จ้างให้ผมก็ไม่มาถ่อสังขารมาทำงานแต่เช้า กลับดึก
จนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนี้หรอก   เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ    
เฮ้อ !!  งานก็เยอะ   จะกลับบ้านทั้งที  ยังต้องมาเจอคนเบียดเสียดจนแทบจะไม่มีที่หายใจแบบนี้อีก


…วันนี้มันช่างซวยจริงจริ๊งงง  !!!.


===========================

หนึ่งวัน(ซวยๆ)ของผม ...ในเมือง(เน่าๆ)แห่งนี้  

=================================

ประตูรถไฟฟ้าค่อยๆเลื่อนเปิดออก ……. ฝูงชนค่อยๆทะลักออกจากรถไฟฟ้าราวกับน้ำที่ไหลบ่าออกมาจากประตูเขื่อนที่ถูกเปิดออก      ผมเองก็ถูกกระแสน้ำนี้พัดพาให้ไหลลงบันไดมาโดยแทบไม่ต้องเดินเอง  
ใครบางคนในนั้นรีบเร่งจนเหยียบเท้าผมเข้า  โดยปราศจากคำขอโทษ  
ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา  แต่ก็ได้แต่พึมพำเบาๆ    
‘:-)…จะรีบไปไหนของมันวะ!!??’

จะว่าไปแล้วผมก็ถามไปงั้นแหละ  คำตอบนั้นผมก็รู้อยู่แก่ใจ  
ทุกคนต่างกำลังรีบกลับบ้าน  
ไปหาลูกเมียตัวเองที่รออยู่  เพื่อที่จะได้มีเวลาซักชั่วโมง อยู่พร้อมหน้ากันดูทีวี   ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน
เพื่อที่จะตื่นแต่เช้ามาทำงาน    เพื่อหมุนฟันเฟืองให้นครที่ไม่เคยหลับไหลแห่งนี้ขับเคลื่อนต่อไป
…………...
ผมย้ายเข้ามาทำงานในเมืองหลวงแห่งนี้ได้เกือบปีแล้ว    แต่ยังไงซะ ผมก็ยังไม่เคย ‘หลงรัก’ มันได้อย่างจริงๆจังๆเลย
ซักนิด     ผมมองมันเป็นเพียงแหล่งหาเงินของผมเท่านั้น   ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นบ้านของผมเลยแม้แต่น้อย  
ดังนั้นผมจึงตั้งใจทำงานเก็บเงินให้ได้เร็วที่สุด    จะได้รีบกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดของผมที่บ้านนอก        
 ………………

ผมเดินไปตามสะพานลอยที่เชื่อมต่อออกมาจากรถไฟฟ้า      มองไปยังทิวทัศน์สองข้างที่เต็มไปด้วยหลอดไฟกะพริบวิบวับจากป้ายโฆษณาสูงเด่น และ แสงไฟระยิบระยับจากเหล่าตึกสูงรอบด้าน คล้ายกับจงใจประชันกับแสงดาวบนท้องฟ้า  
….อาจจะเป็นด้วยแสงสีเหล่านี้กระมังที่ดึงดูดแมงเม่าทั้งหลาย(รวมทั้งผม) ให้จากบ้านเกิดเมืองนอนมาหากินกันที่นี่  เมืองฟ้าอมรแห่งนี้

นักเรียนวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินสวนผมไปยังสถานีรถไฟฟ้า    ผมจึงต้องเบี่ยงตัวหลบมาทางฝั่งหนึ่ง ให้เด็กพวกนั้นเดินผ่านไปก่อน   เนื่องจากสะพานลอยนั้นไม่ได้กว้างมากนัก  …ทั้งยังมีพวกขอทานนั่งเกะกะขวางทางอยู่เป็นระยะๆ    ผมไม่เคยให้เงินขอทานพวกนี้เลยแม้แต่แดงเดียว    อย่าหาว่าผมใจดำเลยครับ   ผมเพียงแต่คิดว่าคนที่ไม่ทำงาน ไม่สมควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้ก็เท่านั้น      
แสงไฟตะคุ่มๆจากเสาไฟต้นหนึ่งสาดส่องไปยังซอกหลืบบนดาดฟ้าตึกแถวเก่าๆแห่งหนึ่งใกล้ๆสะพานลอย     ปรากฏภาพเศษขยะ ถุงพลาสติก ข้าวของเครื่องใช้ผุพังซุกอยู่ในนั้น   ซึ่งถ้าหากมองจากถนนเบื้องล่าง  จะเห็นเป็นป้ายโฆษณาเครื่องสำอางค์ที่มีรูปนางแบบเกาหลีหน้าสวยเด้ง บดบังจนมิด ….…ราวกับจะจงใจซ่อนภาพอันรกหูรกตานั้นให้หลบเร้นออกมาจากความศิวิไลซ์ที่เคลือบฉาบอยู่ด้านนอก
……..
กำลังคิดอะไรเพลินๆ  จู่ๆ เสียงโครกครากดังขึ้นมาจากในช่องท้อง  
….. ดูท่าท้องไส้ของผมทำท่าจะประท้วงขึ้นมาอีกแล้วสิเนี่ย    
ผมด้อมๆมองๆหาร้านอาหารแถวนั้น    จำได้ว่าถัดไปไม่ไกลมีร้านบะหมี่อยู่  
จึงปล่อยให้ความหิวนำทางไปโดยอัตโนมัติ
……
พอถึงร้านปุ๊บ  ผมก็เลื่อนเก้าอี้มานั่ง  แล้วสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงมาชามหนึ่งทันที
ผมหยิบมือถือออกมาเล่นเกมส์ฆ่าเวลาขณะรอก๋วยเตี๋ยว    
….แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ไอ้ป๋อง  น้องที่ทำงานยังติดเงินผมอยู่นี่หว่า
ว่าแล้วก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“  ฮัลโหล  ว่าไงครับพี่เด่น ”
“ เฮ้ยไอ้ป๋องแกค้างค่าแชร์พี่อยู่สามพันจำได้มั้ยวะ? ”
“ อ๋อๆ  จำได้ดิพี่   เดี๋ยวเอาไว้เดือนหน้าผมจ่ายให้  ”
“ เดือนหน้งเดือนหน้าอะไร  แกผลัดมากี่เดือนแล้ววะไอ้ป๋อง   เดือนนี้พี่ต้องใช้เงินนะเว่ย  “    
“ โห…แค่สามสี่เดือนเองพี่    ช่วงนี้พี่ก็รู้หนิ เมียผมเพิ่งคลอด …ต้องใช้ตังค์เยอะ  ไหนจะค่าหมอ  ค่าโรงบาล  ค่าเช่าบ้าน  ค่า……  ”
“ เออๆๆ  ไม่ต้องพูดแล้วเว้ย ”  ผมตัดบท เพราะดูท่ามันคงจะสาธยายอีกยืดยาว
“ แกคิดว่าแกเดือดร้อนคนเดียวเหรอไง  ไม่รู้ล่ะ…ยังไงถ้าเดือนนี้  แกไม่จ่าย    เดือนหน้าพี่คิดดอกเบี้ยแกแล้วนะเว่ย  ไอ้ป๋อง ”
“……….. ”    
“  เฮ้ย  ไอ้ป๋อง  ทำไมไม่พูดวะ    ”
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นดู
อ้าว……..แบตหมดนี่หว่า  
ผมเก็บมือถือลงกระเป๋า   แล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์จากโต๊ะข้างๆมานั่งอ่านฆ่าเวลาแทน
นั่งอ่านไปซักพัก   บะหมี่ก็มาเสริฟถึงโต๊ะ  
ด้วยความหิวโหยผมจึงรีบจัดการกับบะหมี่ชามนั้นทันที
………………

กำลังกินอยู่เพลินๆ  ก็มีป้าแก่ๆเดินจูงเด็กผู้หญิงหน้าตามอมแมมคนหนึ่งมา
“  พ่อหนุ่มๆ  ช่วยสงเคราะห์ป้ากับหลานหน่อยเถอะนะ   ป้าไม่มีเงินเลย  ไม่รู้จะกลับบ้านยังไง  ”
เสียงแกเหน่อและแหบแห้ง  น้ำเสียงมีแววอ้อนวอนอยู่ในที
ผมยกมือปฏิเสธ   แล้วกินต่อไปอย่างเฉยชา   คิดว่าเดี๋ยวแกก็คงไป
…..แต่แกยังไม่ยอมไป  ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
“ ช่วยป้าหน่อยเถอะนะพ่อหนุ่ม  ป้ามาตามหาพ่อให้อีหนูมัน  เนี่ยยังหาไม่เจอ  แถมเงินก็หมดอีก  ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว  ”
ผมยังคงตีสีหน้าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน    แล้วจึงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาเปิดอ่านเป็นการตัดบท
……(ทำเป็น)  นั่งอ่านอยู่ซักพัก  พอได้ยินเสียงแกเดินจากไปแล้ว  ผมก็กลับมานั่งกินต่อจนหมดชาม
เฮอะ  คิดจะมาหวังหลอกเงินจากผมเหรอ ….   ไม่มีทางซะล่ะ

“ เอ้าเก็บตังเลยน้อง ”   ผมตะโกนเรียกไอ้ตี๋คนส่งบะหมี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการล้างชาม   มันเดินมาที่โต๊ะผม ดูๆซักพักแล้วก็บอก
“ทั้งหมด 38 บาท ครับ ”
….ผมกำลังจะล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมา
แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงอะไรโล่งๆ

…………ผมถูกกรีดกระเป๋า!!!!!..............
 
กระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านซ้ายของผมมีรอยกรีดเป็นแนวยาว  
คิดไปคิดมา …น่าจะเป็นตอนที่เบียดเสียดกันบนรถไฟฟ้า

ผมตกใจมาก   แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังพกเงินติดไว้อยู่ในกระเป๋าเสื้อนี่นา
ควักออกมาเป็นแบ๊งยี่สิบ 2 ใบ  
ผมจ่ายน้องเค้าไป  แล้วก็รีบรุดไปยังสถานีตำรวจใกล้ๆนั้นเพื่อที่จะแจ้งความ  
…แต่ก็ทำได้แค่เพียงลงบันทึกประจำวันเอาไว้  

ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว   รู้สึกสับสนไปหมด      
จำไม่ได้ว่ามีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋าเท่าไหร่ ?  แต่ก็น่าจะเยอะพอดู
แล้วทีนี้ผมจะกลับบ้านยังไง?   แล้วจะเอาตังที่ไหนไปจ่ายค่าเช่าบ้านเดือนนี้?

‘ นี่มันอะไรกันวะเนี่ยวันนี้   ทำไมมันถึงได้ซวยอย่างนี้วะ!!! ’

ผมเดินย้อนกลับไปตามทางที่เดินผ่านมา ทั้งสะพานลอย  และสถานีรถไฟฟ้า  
หวังลมๆแล้งๆว่า  ผมอาจจะทำตกอยู่ระหว่างทางก็ได้
ทั้งๆที่ในใจลึกๆ  ผมก็รู้ดีอยู่แล้วว่า  ผมถูกกรีดกระเป๋า

ผมเดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้นสองรอบ   พอสงบจิตสงบใจลงได้
จึงมานั่งลงที่ป้ายรถเมล์ข้างๆ  ร้านบะหมี่     ….นั่งกุมขมับกลุ้มใจอยู่อย่างนั้น
วันนี้ผมคงจะต้องรอรถเมล์ฟรีกลับบ้าน   ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า  ดึกป่านนี้มันจะหมดรึยัง

……รถเมล์สายที่ผมจะไปแล่นผ่านไปแล้วสองคัน   แต่ผมก็ขึ้นไม่ได้
เพราะมีตังเหลืออยู่ติดตัวอยู่แค่ 2 บาท  
….กำลังรู้สึกเซ็งได้ที่     ฝนเจ้ากรรมก็ดันตกกระหน่ำลงมาอีก    
เออเอาเข้าไป  ไอ้วันเฮงซวยบ้าๆนี่มันจะเลวร้ายไปถึงไหนกันวะเนี่ย  

ฝนตกตกอยู่ได้ซักพักก็เริ่มซาลง  …… ทิ้งไว้แต่น้ำเจิ่งนองขังอยู่ที่ริมฟุตบาท  
แมลงสาบสองสามตัวคลานหนีน้ำออกมาจากท่อระบายน้ำ     หมาจรจัดหนังกลับตัวหนึ่งคุ้ยเขี่ยถังขยะล้มระเนระนาด   ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยมาเข้าจมูกผม

ผมแค่นหัวเราะกับตัวเอง
 หึ …..นี่เหรอเมืองฟ้าที่เขาว่ากัน    มันก็แค่ เมืองเน่าเฟะ  เมืองนึงแค่นั้นเองไม่ใช่เรอะ

“ พี่ครับ พี่ ”   ผมได้ยินเหมือนใครเรียกผม   จึงเงยหน้าขึ้นมอง  
เห็นชายร่างผอมโซ ผมเผ้ารุงรัง  แถมเนื้อตัวสกปรกมอมแมมสะพายถุงผ้าเก่าๆใบหนึ่งอยู่ตรงหน้า  
….กลิ่นสาบของแกโชยเข้าจมูกผมเต็มๆจนต้องเบือนหน้าหนี
“ ขอตังให้ผมหน่อยเถอะครับพี่ ”    ชายคนนั้นยกมือไหว้  พลางเผยยิ้มฟันขาว  
……เออ   เอาเข้าไป    แมร่งจะซวยอะไรกันนักหนาวะวันนี้

“ ผมไม่มีให้หรอก….  ” ผมตอบ  
ปกติผมจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจ   แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้น อะไรทำให้ผมตอบคำถามหมอนั่นไป    

“ ผมเพิ่งจะถูกขโมยกระเป๋าตังไป   ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลืออยู่ 2 บาทเนี่ย … ยังไม่รู้เลยว่าจะกลับบ้านยังไง   ”
ผมว่าพลางยื่น เหรียญบาทสองเหรียญในมือให้ดู

………ชายร่างผอมคนนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อ    แกวางถุงผ้าลงแล้วคลำๆไปที่กระเป๋ากางเกงเกรอะกรัง    ซักพักก็หยิบเงินออกมากำหนึ่งแล้วเอามายื่นให้
……ผมได้แต่มองด้วยความงุนงง พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก
ชายผอมคนนั้นคงเห็นผมนิ่งไป   เลยเอาเงินนั้นยัดใส่มือผม   …..แล้วเดินจากไป    

รู้ตัวอีกทีก็เห็นแกเดินคล้อยหลังไป  พลางผิวปากเป็นทำนองเพลงวณิพกพเนจร  
……ผมมองตามแกไป     แบมือที่กำเงินนั้นออกดู  ปรากฏว่ามีแบ๊งยี่สิบสองใบ กับเศษเหรียญเกือบๆสิบบาท
ผมตะโกนไล่หลังแกไป  …..“ขอบคุณมากครับ”    
พลางเก็บเงินใส่กระเป๋าเสื้อไป
………..
ฝนหยุดแล้ว  …..  น้ำที่ขังอยู่ตรงฟุตบาทสะท้อนเงาสีส้มเรื่อของเสาไฟริมทาง ให้เต้นริกๆ บนผิวน้ำ     ลุงคนหนึ่งลงจากรถซาเล้ง  แล้วก้มเก็บขวดพลาสติคใส่ถุงดำใบใหญ่ที่เตรียมมา     เจ้าหมาหนังกลับวิ่งกระดิกหางรี่เข้าไปหา  ลุงหยิบถุงใส่กระดูกไก่สองสามชิ้นออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วโปรยให้มัน  ซึ่งมันก็กินอย่างเอร็ดอร่อย   ……ถัดไปหน่อย เจ้าตี๋ร้านบะหมี่กำลังหุบร่มเก็บร้าน       ส่วน แปะเจ้าของร้านกำลังยื่นถุงใส่บะหมี่สองสามห่อให้กับป้าหลานจรจัดคู่นั้นที่เคยมาขอเงินผม   ทั้งสองยกมือไหว้ท่วมหัว
………
……………
…รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นที่มุมปากผมเมื่อไหร่ไม่รู้
…………
‘บางทีเมืองเน่าๆนี่   ….. มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดแฮะ’
.......................

ผมควักเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ     แบ่งไว้สำหรับค่ารถสิบกว่าบาท  

เงินส่วนที่เหลือ…..ผมเดินเอาไปยื่นให้ยายหลานคู่นั้น


…………………………..จบ…………………………………



ปล.แรงบันดาลใจ มาจากกระทู้นี้ของคุณคนสัญจรครับ  ขอบคุณครับ
http://www.pantip.com/cafe/social/topic/U9327572/U9327572.html

แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 21:38:46

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 21:29:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com