ความคิดเห็นที่ 1 |
เกวียนเล็กของพวกเขายังอยู่ดี เมื่ออาเมียร์เรียกชื่อ “แอช” เบาๆ อีกฝ่ายก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากหลังผ้าใบ
“อาเมียร์ เรียบร้อยแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้คนมีฝีมือช่วย เลยจัดการพวกโจรส่วนมากได้ไม่ลำบากอะไร แต่พวกมันหนีรอดไปได้บางส่วน พร้อมกับจับคนไปด้วย เดี๋ยวข้าจะขี่ม้าตามไปกับพวกเขา เลยจะมาพาท่านเข้าไปรอในหมู่บ้านก่อน”
เด็กสาวพยักหน้ารับ แม้จะไม่วายเปรย
“อันที่จริงข้าก็อยากไปด้วย แต่ท่านคงบอกว่า ‘มันอันตรายเกินไป’ เหมือนเดิมสินะ”
“ใช่” อาเมียร์รับง่ายๆ พร้อมกับตรงไปแก้มัดให้ชาลัวห์และคลายผ้าปิดปาก แล้วก็พูดกับอีกฝ่ายโดยตั้งใจให้แอชได้ยินเช่นกัน “ประเดี๋ยวพวกเราจะเข้าไปในหมู่บ้าน ถ้ามีใครถามก็ให้บอกไปว่าเจ้าชื่อชาดาน เป็นเพื่อนของพวกเรา ข้าชื่อเอลม์ ส่วนเจ้าหญิงชื่อแอช เป็นน้องชายของข้า เกิดเจ้าหลุดปากอะไรออกมา ข้าจะไม่ปล่อยให้ทางการได้ตัวเจ้าไป...แต่ฆ่าเจ้าทิ้งทันทีที่มีโอกาสก่อนหนี อย่านึกว่าข้าทำไม่ได้ เข้าใจไหม”
ชายหนุ่มผงกศีรษะปะหลกๆ
“อ้อ แล้วแผลนั่น...บอกไปว่าถูกถังทับตอนขนชาดานแซร์ก็แล้วกัน ใครจะได้ไม่สงสัย” อาเมียร์เสริม
* * * * *
ไม่นาน เด็กหนุ่มที่สวมช้องผมปลอมตัวเรียบร้อยก็ขับเกวียนเข้ามาโดยใช้ม้าของพวกโจรเทียมเกวียนแทนม้าตัวเดิม ตอนนี้ฟ้าเริ่มสางแล้ว พวกชาวบ้านออกมาเดินกันขวักไขว่ บ้างดับไฟที่ยังไหม้บ้านเรือน ขนศพมากองรวมกันบนลานว่าง หรือพยุงคนเจ็บไปยังด้านหนึ่งของลานซึ่งมีหญิงร่างเล็กคอยพยาบาลพวกเขาอยู่ นักดาบร่างสูงที่เขาจำได้กับนักธนูร่างเพรียวบางก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรก็ตามเท่าที่ทำได้อยู่เช่นกัน
ไม่นึกว่าม้าขนของสีเทาของเขาจะถูกผูกไว้แถวนั้นด้วย
“พวกชาวบ้านบอกว่าเจอม้าตัวนี้แถวชายป่า ของเจ้าหรือเปล่า” นักดาบถามเขาเมื่อขับเกวียนเข้ามาถึง
“ใช่” อาเมียร์ตอบพร้อมกับลงจากเกวียน แล้วปลดม้าที่เทียมอยู่ออกมา “ขอยืมอานม้าจากพวกชาวบ้านได้หรือเปล่า อย่างนี้น่าจะสะดวกขึ้น”
“อานหรือ บ้านข้ามีพอดี รอเดี๋ยวนะ” ชายชาวบ้านคนหนึ่งรับแล้วก็วิ่งไป
“ขอสามอันได้ไหมขอรับ!” เด็กหนุ่มรีบตะโกนไล่หลัง ได้ยินเสียงตอบรับมาแว่วๆ
ชายนักดาบมองตามอาเมียร์ก่อนจะเกาศีรษะ แล้วแลเลยไปทางแอชที่นั่งบนเกวียน กับชาลัวห์ที่โผล่ศีรษะออกมาดูภาพรอบข้างอย่างตื่นๆ จากหลังผ้าใบ
“เอ่อ...เราควรแนะนำตัวกันก่อนไหม ตอนไปด้วยกันจะได้เรียกสะดวก ข้าชื่อโทมา เป็นนักรบรับจ้าง นี่เกล แล้วนั่นหมาของเกลชื่อควิน”
เกลพยักหน้ารับรู้ ข้างๆ ขาเขาคือสุนัขตัวโตสีขาวปนเทา หน้าของมันยาวเรียว หูตั้ง และหางเป็นพวงคล้ายสุนัขป่า นี่เองคือเจ้าของนัยน์ตาเรืองแสงสีเหลือง และเสียงคำรามที่หยุดเกวียนทั้งสองไว้
“ส่วนคนที่กำลังรักษาพวกชาวบ้านคือซานา นางเป็นหมอ”
“หมอฝึกหัด” หญิงที่กำลังพันแผลตอบโดยไม่หันมามอง ทั้งน้ำเสียงและรูปร่างหน้าตาที่เห็นไกลๆ บอกว่าเธอยังอยู่ในวัยรุ่นราวสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้นเอง เส้นผมสีแดงรวบมัดเป็นหางม้าสูง ปลายสั้นประมาณบ่า เหนือชุดหญิงชาวบ้านธรรมดาสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มตัวโคร่งจนต้องพับแขนเสื้อขึ้น “โทมาชอบพูดผิดอยู่เรื่อย”
“เอาน่า รักษาคนได้ก็ถือว่าเป็นหมอแล้ว” ชายหนุ่มแย้งพลางเกาศีรษะอีกครั้ง
อาเมียร์ค่อยหันมาสนใจเขาบ้าง โทมาดูจะอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ ร่างสูงใหญ่มีกล้ามเนื้อกำยำ เหมือนคนที่ใช้ชีวิตกับการต่อสู้ ผมสีทองคำขาวตัดสั้น นัยน์ตาสีฟ้าเทา เขาสวมชุดเกราะเบาที่ทำจากหนัง ทับเสื้อผ้าแบบนักเดินทาง
ส่วนเกลนั้นผิวกร้านแดด ผมสีน้ำตาลแดง ดูผอมเพรียวเหมือนจะปลิวไปตามลม ร่างของเขาเตี้ยเล็กกว่าโทมาอยู่มาก แต่ก็ดูคล่องแคล่ว นัยน์ตาสีเขียวหยกแหลมคมจับจ้องภาพรอบด้านอย่างพินิจพิเคราะห์ เขาสวมเสื้อผ้าอย่างพราน ไม่มีชุดเกราะ หน้าผากคาดแถบผ้ากันผมที่ค่อนข้างยาวไม่ให้ตกลงปรกหน้า และมีสิ่งที่แปลกตาคือผ้าผืนเล็กซึ่งพันรอบคอไว้ ทั้งๆ ที่เลยฤดูหนาวซึ่งอาจต้องใช้ผ้าพันคอไปแล้ว
“ไม่เหมือน รักษาแผลหรืออะไรง่ายๆ ก็ทำได้อยู่หรอก แต่ข้ายังไม่ได้ร่ำเรียนเป็นหมอเต็มตัวสักหน่อย” เด็กสาวยังคงแย้งแม้มือจะง่วนกับผ้าพันแผล “จะเรียกว่าหมอเลยก็เกินตัวไป”
อาเมียร์มองการเจรจาของทั้งสอง ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น เมื่อโทมาเงียบไปพร้อมกับเกาศีรษะอีกครั้ง
“ข้าชื่อเอลม์ นั่นน้องชายข้าชื่อแอช อีกคนในเกวียนเป็นเพื่อนเรา ชื่อชาดาน เราสามคนเป็นพ่อค้าชาดานแซร์”
“พ่อค้าหรือ ฝีมือไม่เบานี่ ข้านึกว่าเป็นพวกนักรบรับจ้างเหมือนกันเสียอีก” ชายหนุ่มเปรย
“ที่จริง พ่อข้าเคยรับจ้างคุ้มกันขบวนสินค้า ท่านเป็นคนสอนดาบให้ข้า ข้าก็อยากเป็นนักรบรับจ้างตามท่าน แต่พ่อไม่อนุญาตเลยต้องเบนเข็มมาทางนี้” อาเมียร์อ้างพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “แต่เดินทางค้าขายแบบนี้ก็เจอเรื่องไม่คาดฝันได้บ่อยๆ เหมือนกัน”
“ก็จริง” โทมารับพลางลูบศีรษะอีก ดูเหมือนนั่นจะเป็นนิสัยติดตัวของเขา
“รีบไปกันเถอะ” เด็กหนุ่มพูดเมื่อเห็นชาวบ้านวิ่งกลับมาพร้อมอานม้าสามอัน “เดี๋ยวแอชกับชาดานจะอยู่ช่วยที่นี่”
“ก็ดี พวกชาวบ้านต้องการคนช่วยเท่าที่ทำได้” โทมาพยักหน้ารับ แล้วก็รับอานไปสวมให้ม้าของโจรหนึ่งในสามตัวที่เพิ่งริบมา อาเมียร์กับเกลทำตามเช่นกันกับม้าสองตัวที่เหลือ
ไม่ช้า คณะผู้ช่วยเหลือทั้งสามก็ออกเดินทาง
* * * * *
แอชลีนน์มองความสับสนอลหม่านที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างทำอะไรไม่ถูก คนเจ็บมากมายเป็นสิบๆ บางคนร้องโอดโอย ควันไฟยังคงพวยพุ่งจากแนวบ้านที่อยู่ไกลออกไปลิบๆ และศพยังถูกขนย้ายมาวางกองไว้ไม่ขาดสาย บางศพมีผ้าคลุม แต่ส่วนมากดูเหมือนจะไม่มีผ้าพอให้ทำเช่นนั้น หลายศพแดงฉานด้วยเลือด บ้างมีรอยแผลจากดาบ บอกชัดว่าตายด้วยมือของพวกโจร ขณะที่ศพหลังๆ ไหม้เกรียมและมีแขนขางอเกร็งเหมือนเพิ่งดิ้นทุรนทุรายก่อนตาย
...คงทรมานมากสินะ..
เด็กสาวกลืนน้ำลายฝืดๆ ขณะบังคับตนเองให้ละสายตาจากร่างพวกนั้นไปมองทางอื่น แต่ความคลื่นไส้ก็ยังก่อตัวในท้อง และเริ่มคืบคลานขึ้นมาตามลำคอ
เธอไม่เคยเห็นศพมนุษย์กับตามาก่อนเลยในชีวิต แม้แต่ศพของเสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จพี่ ได้ยินแต่คำลอบกระซิบของคนในวังที่เธอไม่ควรได้ยิน ว่าทั้งสามพระองค์ถูกสังหารอย่างทารุณและสะเทือนขวัญนัก
“ทางนี้ตายยกบ้านเลย”
“ข้าหาลูกสาวแกไม่เจอ คงโดนจับไปด้วยกระมัง”
เสียงพูดคุยของพวกผู้ชายที่ช่วยกันหามศพดังมาแว่วๆ เด็กสาวได้แต่มองด้วยความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
เมื่อวาน...พวกเขาคงจะมีชีวิตธรรมดาๆ มีความสุขอย่างเรียบง่าย ทำไร่ไถนาเลี้ยงสัตว์กันตามปกติ แต่เพียงชั่วคืนเดียว...ทุกสิ่งก็กลับกลายเป็นอย่างเช้าวันนี้
เธอกลืนน้ำลายอีกครั้ง แล้วก็ตัดสินใจลงจากเกวียนพร้อมกับถามดังๆ
“มีอะไรให้ช่วยไหม...ขอรับ”
“ทางโน้นยังมีศพอยู่อีก เจ้าไปช่วยขนก็ดีเหมือนกัน” เสียงตอบมาจากชาวบ้านคนหนึ่งที่กำลังช่วยแบกหัวท้ายศพมากับอีกคนหนึ่ง
“ยังเด็กอยู่เลย จะไหวเร้อ” ชายอีกคนกลับถามเมื่อมองเด็กสาวในคราบเด็กหนุ่ม แล้วก็พยักพเยิดไปข้างหลังเธอ “เจ้าหนุ่มผมทองนั่นมาช่วยดีกว่า ส่วนเจ้าก็ช่วยแม่หมอเขาไป”
“หมอฝึกหัดค่ะ!” ซานาร้องบอก แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจ
“ข...ข้าน่ะหรือ” ชาลัวห์ถามอ่อยๆ อยู่ข้างหลังแอชลีนน์ เธอหันกลับไปเห็นเขายื่นมือขวาที่พันแผลไว้ออกมาโบกนอกประทุนเกวียน “คือ...มือข้าเจ็บเพราะถูกถังชาดานแซร์ทับ คงช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
“ศพเด็กก็มี ผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็มี คงพอไหวน่า” ชายคนเดิมยังคะยั้นคะยอ
“ไปช่วยหยิบของให้ท่านหมอซะ” เด็กสาวตัดสินใจเหลียวไปสั่งชายหนุ่มด้วยสีหน้าแข็งกร้าว ก่อนจะรวบรวมความกล้าหันกลับมาบอกพวกชาวบ้าน “เดี๋ยวข้าไปช่วยขนศพทางโน้นเองขอรับ”
“ไม่ต้องหรอก มาช่วยข้าทั้งคู่นั่นล่ะ” ซานากลับขัดขึ้น แอชลีนน์หันไปเห็นเด็กสาววางมือจากคนเจ็บที่กำลังเย็บแผลอยู่และเงยหน้ามองทั้งสอง “ข้างในสภาพแย่ยิ่งกว่านี้อีก ถ้าไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจริงๆ ก็อย่าเพิ่งเข้าไปเลย”
เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มสบตากับอีกฝ่าย พยายามบอกตนเองว่าเธอพร้อม...พร้อมจะดูความทุกข์ยากของชาวธีร์ดีเรด้วยตาของตน และแบกรับบรรเทาความทุกข์นั้น ทว่านัยน์ตาจริงจังสีเขียวหยกของเด็กสาวผมแดงกลับเคร่งเครียดจนไม่อาจปฏิเสธ
“คนเจ็บต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนกว่า แล้วเรื่องขนศพก็มีพวกผู้ชายตัวใหญ่ๆ ช่วยกันมากแล้ว”
พอซานาเสริมเบาๆ อย่างนี้ แอชลีนน์จึงพยักหน้า ก่อนจะเดินมายังลานรักษาคนเจ็บแต่โดยดี
“เด็กๆ ตรงนั้นถูกไฟลวก ต้องพอกยาสมุนไพรบ่อยๆ เจ้าไปทายาให้พวกเขาใหม่ที” เด็กสาวผมแดงบอกโดยเร็ว แล้วก็หันมาทางชาลัวห์ “ส่วนเจ้า ไปตักน้ำจากลำธารมาซิ ถังอยู่ตรงนี้ ตักให้ค่อนถังพอหิ้วมือเดียวได้ใช่ไหม”
แอชลีนน์ได้แต่ไปตามคำสั่ง ขณะฟังเสียงพูดคุยที่ดังมาแว่วๆ
“ตามแต่ท่านหมอแล้วกัน พวกเราไปต่อ”
“หมอ ฝึก หัด...ค่ะ ข้ายังเป็นแค่หมอฝึกหัดนะคะ” ซานาย้ำด้วยเสียงที่เริ่มอ่อนลงในตอนท้าย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครฟังเช่นเดิม
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
18 มิ.ย. 53 22:08:00
|
|
|
|