เรื่องสั้นจากฝันกลางวัน..."ห่วง"...
|
|
"ห่วง"
ที่นี่...มันที่ใหนกัน ผมถามตัวเองซ้ำ ๆ อยู่ในใจหลายครั้งพลางเดินไปตามระเบียงของอาคารซึ่งเต็มไปดวยหมอกจนมองไม่เห็นวิว ทิวทัศน์ภายนอก เอาแค่ให้มองเห็นทางยังลำบากพอสมควรจนหลาย ๆ ครั้งผมต้องถอดแว่นตามาเช็ดด้วยคิดว่า กระจกแว่นตาตัวเองรึเปล่าที่มีปัญหา
ผมจำได้ว่าผมมาที่ ‘ห้องสมุดแห่งนี้’ เพราะผมมาหาหนังสือเพื่อไปประกอบการทำงานวิจัย อา...ใช่ ผมเป็นนักวิจัยธรรมดาคนหนึ่ง จริง ๆ ผมเป็นอาจารย์นั่นล่ะ แต่ด้วยระเบียบทางราชการไทยที่กำหนดให้ คณาจารย์ในระดับอุดมศึกษาต้องมีตำแหน่งทางวิชาการและไอ้การที่จะได้มาซึ่งตำแหน่งทางวิชาการก็ต้องทำงาน วิจัย ไม่ใช่แค่นั่งเขียนตำรา แถมยังต้องผลิตงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง เป็นอาจารย์สมัยนี้มันวุ่นวายจริง ๆ ถึงว่าทั้งห้อง ของผมถึงได้มีเพียงไม่กี่คนที่หลุดเข้าวงการนี้ นอกนั้นไปอยู่บริษัทเอกชนกันหมด
เอาเถอะ ไม่รู้ผมจะบ่นไปหาพระแสงง้าวอะไรในเมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้มันน่าสนใจกว่าสถานะของตนเองเสียอีก ผมจำได้ว่าผมมาที่ ‘ห้องสมุดแห่งนี้’ เพื่อมาหาหนังสือไปประกอบงานวิจัยชิ้นใหม่ของตัวเอง ใช่...ไอ้งานวิจัยที่พยายามจะทำมาหักล้างงานวิจัยเก่า ๆ ที่บอกว่าคนไทยอ่านหนังสือเพียงปีละ 8 บรรทัดนั่นล่ะ ผมหาข้อมูลอยู่ในห้องสมุดที่ชั้น 4 ซึ่งก็ได้หนังสือมา 3 เล่ม ระหว่างที่ผมจะไปยืมมันผมคงเดินใจลอยไปหน่อย เพราะหัวกำลังแล่นเลยเดินลงจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง จนมาโผล่ ‘ณ ที่แห่งนี้’
…แล้วที่นี่มันที่ใหนกันล่ะ ถ้าผมเดินลงมาก็ต้องลงมาอยู่ที่ชั้น 3 สิ แต่ที่นี่มันกลับไม่เหมือนชั้นสามที่ผมชินหูชินตาเลย กลับมีมีระเบียงยาว แถมวิวทิวทัศน์ที่ราวกับว่ายืนอยู่บนชั้น 5 หรือชั้น 6...แต่ไอ้ชั้น 5 หรือชั้น 6 ของห้องสมุดแห่งนี้มันไม่ได้มี ระเบียงโล่งแบบนี้เสียหน่อย แถมไอ้บันไดเจ้ากรรมที่ผมเดินลงมาพอหันกลับไปมันดันไม่มีบันไดอยู่ ณ ที่นั่นแล้ว
‘ผมกำลังโดนผีหลอก?’
แค่คิดผมก็อยากจะแหกปากออกไปด้วยสติที่กำลังจะแตกเพราะความงุนงงเสียจริง ๆ แต่คงด้วยสติของตนเองที่พยายามควบคุมจนกลับมาสมบูรณ์มันย้อนถามกลับมาว่า
‘แล้วเอ็งจะแหกปากให้มันเกิดอะไรขึ้นมา’
ผมจึงออกเดินไปตามระเบียงด้วยหวังว่ามันจะมีบันไดหรืออะไรซักอย่างพาผมขึ้นไป หรือลงไปจากที่นี่ได้ แม้ว่า มันอาจจะพาผมไปเจออะไรแบบเดิม แต่มันคงทำให้มีกำลังใจได้สักนิดว่าที่นี่ยังมีทางลง
จริง ๆ แล้ว ‘ห้องสมุดแห่งนี้’ อยู่ใน ‘มหาวิทยาลัย’ ที่ผมเคยเรียนมาจนจบทั้งปริญญาตรีและทำงานไปเรียนโทไป ถ้าจะต่อเอกก็คงจะเอามันที่นี่นั่นล่ะ เพียงแต่ตอนนี้ที่นี่ยังไม่มีศักยภาพพอจะเปิดปริญญาเอกสาขาที่ผมจะเรียนเท่า นั้นเอง ห้องสมุดเดิม ๆ ที่ผมคุ้นเคยกว่า 20 ปี ตอนนั้นมันยังเป็นเพียงห้องสมุด 2 ชั้นธรรมดา ๆ แล้วพัฒนามาเป็น อาคาร 6 ชั้นหลังจากที่ผมเรียนจบปริญญาตรีไป แต่ผมก็เห็นพัฒนาการของมันโดยตลอดล่ะ
ผมเดินไปตามระเบียงผ่านห้องเล็ก ๆ หลายห้องสภาพมันไม่เหมือนห้องในอาคารห้องสมุด ออกจะเหมือนห้องใน หอจดหมายเหตุที่ซอยออกเป็นห้องเล็ก ๆ แยกเก็บของต่าง ๆ เสียมากกว่า และยังไม่มีใครอยู่ในห้องเลยสักคน จน ผมสงสัยว่าทั้งชั้นนี้จะมีผมคนเดียวรึไม่ จนกระทั่ง
ที่ห้องเล็กห้องหนึ่งซึ่งผมเกือบเดินเลยผ่านไป ผมเห็นนักศึกษาหญิงคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ ผมรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ที่อย่างน้อยยังมีคนอยู่แถวนี้ ผมจึงเดินกลับมาแล้วเข้าห้องเดินตรงไปหาเธอในทันที ภายในห้องเก็บหนังสือ ท่าทางโบราณ ๆ ซึ่งก็คล้าย ๆ ส่วนของหนังสืออ้างอิงที่มีขนาดเล่มใหญ่โต ส่วนนักศึกษาคนนั้นใส่แว่นกำลัง ขะมักเขม้นอ่านสิ่งที่อยู่ในมือ ชุดที่เธอใส่แม้จะเป็นชุดนักศึกษาแต่มันดูเป็นแบบฟอร์มเก่า ๆ เมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว
แต่ช่างเถอะ เอาเรื่องของตนเองก่อนดีกว่า
“คุณครับ”
ผมเรียกเธอออกไป แม้เธอจะเป็นนักศึกษาน่าจะเพิ่งชั้นปีที่หนึ่งเมื่อดูจากรูปร่างและชุดที่ใส่ แต่ปกติผมก็เรียก นักศึกษาว่า ‘คุณ’ แทบทั้งนั้น คือมีนักวิชาการเขาชอบบอกกันว่าถ้าไม่เรียก ‘คุณ’ เด็กพวกนี้จะไม่รู้จักโต เธอคนนั้นหันหน้ามามองผมอย่างช้า ๆ ออกจะดูงุนงงอย่างมากที่อยู่ผมมาเรียกเธอ เธอเป็นคนผิวออกขาวไว้ผมสั้นดำขลับหน้าตาเซื่อง ๆ ดูไม่ใช่คนกระฉับกระเฉงสักเท่าไหร่ หญิงสาวหน้ารูปใข่ดวงตากลมโตน่ารักแต่ไม่เข้ากับแว่นตาที่ดูหนาเตอะเลยสักนิด ก็นะ...สาวแว่นกำลังเป็นที่นิยมในสมัยนี้นี่นา
“ค...คะ?”
“เออ...ที่นี่อยู่ตรงใหนของห้องสมุดน่ะครับ” “เออ...คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
คำถามของผมถูกยิงออกไปพร้อมกับคำถามที่เธอสวนกลับมา ทำเอาผมนิ่งอึ้งไปเพราะคำถามของเธอราวกับว่า การที่ใครจะมาที่แห่งนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ท่าทางของเธอดูจะตกตะลึงพอสมควรทีเดียวเธอเอียงศีรษะมองผมไปมาอยู่นานโดยไม่พูดอะไรออกมาเลย ในขณะที่ผมเองก็ได้แต่เอามือกุม ศีรษะพลางคิดหาคำตอบที่ไม่ได้ทำให้ตนเองเหมือนคนเพี้ยน ๆ แต่ก็คิดไม่ออกเลยต้องตอบไปตามความเป็นจริง
ผมวางหนังสือที่ถือมาลงบนโต๊ะแล้วเล่าเรื่องที่อยู่ ๆ ผมมาโผล่ที่นี่ให้เธอฟัง ซึ่งเธอก็นั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้กล่าวสิ่ง ใดเลยจนผมเล่าจบเธอจึงได้พูดออกมาเพียงสั้น ๆ
“งั้นก็เหมือนหนูสินะคะ”
คำตอบของเธอทำให้ความหวังของผมวูบลงไปทันที หมายความว่าเธอก็เป็นแบบผม มาติดอยู่ที่นี่โดยที่ไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้น มาได้ยังไง และจะออกไปยังไง ผมจึงเริ่มพยายามนึกคิดหาทางออกด้วยตัวเอง ดีไม่ดีอาจจะช่วยนักศึกษาสาวคนนี้ไปพร้อมกันเลยด้วยก็ได้ แต่ความรู้สึกของผมมันบอกว่าเธอคนนี้หน้าตาช่างเหมือนกับใครสักคนที่ผมรู้จักเมื่อนานมาแล้วจริง ๆ
เธอก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไปราวกับว่าไม่ได้สนใจจะหาทางออก หรือบางทีเธอทำมาหมดแล้วทุกทางกันแน่นะถึงได้ดูไม่มีความหวังเอาเสียเลย
ผมนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ ภาพใบหน้าของเธอเริ่มค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนผมเผลอเรียกชื่อเธอออกมาโดยไม่รู้ตัว
“วรรณฤดี…”
“คะ?” เธอตอบรับพลางเงยหน้ามามองหน้าผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความฉงนที่ผมทราบชื่อของเธอ
แต่คนที่น่าจะฉงนยิ่งกว่าคือผม เพราะถ้าเด็กคนนี้คือวรรณฤดีจริง ๆ หมายความว่าที่นี่อาจจะเป็นนรก ไม่ก็สวรรค์ ด้วยวรรณฤดีนั้นเธอหายสาบสูญไปได้เกือบจะ 19 ปี นานเสียจนทางตำรวจสันนิษฐานว่าเธอเสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“คุณรู้จักหนูด้วยรึคะ?” เธอถามผมกลับอย่างซื่อ ๆ ซึ่งผมไม่แปลกใจนัก ด้วยเวลาผ่านมานานจนผมนั้นอายุปาเข้าไป 35 แล้วถ้าเธอจะจำผมไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดาจริง ๆ หากแต่ผมในเวลานี้นึกถึงตอนที่เธอมาเป็นนักศึกษา พร้อม ๆ กับผมได้เด่นชัดมากขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่ดูซื่อ ๆ จริง ๆ เธอชอบที่จะซุกตัวอยู่ในห้องสมุดจนใคร ๆ เรียกว่าเธอเป็นหนอนหนังสือ เธอจึงไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก แต่กระนั้นด้วยความที่เธอเป็นเด็กเรียนเก่ง เธอจึงไม่ค่อยได้พึงพาอาศัยเพื่อนในห้องสักเท่าไหร่การมีเพื่อนน้อยจึงดูจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ
“ผมเอง...สิญจน์ไง”
ผมกล่าวออกไปด้วยไม่รู้ว่าเธอจะจำได้รึเปล่า เพราะตอนที่อยู่ในชั้นเรียนนั้นผมกับเธอก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมาก แต่จะว่าไปผมก็เป็นหัวหน้าห้องตอนอยู่ชั้นปีที่หนึ่ง ถ้าเธอจำไม่ได้ก็แย่แล้วล่ะ
เธอแสดงสีหน้างุนงงเหมือนพยายามคิดถึงคนที่ชื่อ ‘สิญจน์’ ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับนั้นไม่ได้แสดงว่าเธอจำไม่ได้ แต่แสดงออกว่าไม่เชื่อเสียมากกว่า ถ้าสถานการณ์กลับกันให้เป็นผมหายสาบสูญ ผมก็คงไม่เชื่อเหมือนกันถ้าอยู่ ๆ ผู้หญิงสักคนหนึ่งจะมาบอกว่าตนเองคือเพื่อนของผม ทั้งที่หน้าตาอายุมากกว่าเพื่อนที่รู้จักไปโขเลยทีเดียว ทว่าแม้เธอจะแสดงกิริยาเช่นนั้นต่อผมมันก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร เพราะตอนที่รับน้องเอกสมัยเรียนนั้น วันแรกที่ผมเข้าไปทักเธอ เธอก็แสดงกิริยาแบบนี้ใส่ผมเหมือนกัน อารมณ์ประมาณว่า ‘เอ๊ะ!! นายเป็นใครกัน’ คงเพราะ สำหรับผมแล้วเธอเป็น ‘รักแรก’ เลยไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไร
ท่าทางของเธอนั้นดูจะนึกไม่ออกจริง ๆ กาลเวลาที่ผ่านมานานทำให้เธอลืมเลือนไปรึยังไงก็ไม่อาจทราบได้ ผมจึงพยายามนึกอะไรบางอย่างที่น่าจะพอทำให้เธอนึกถึง ‘สิญจน์’ ที่เธอรู้จัก ไอ้ผมตอนสมัยเรียนก็ไม่ได้มีวีรกรรมดีเด่นอะไรสักด้วยสิ ถึงจะบอกว่าเอเป็นรักแรกแต่ผมก็ไม่เคยเข้าไปจีบเธอตรง ๆ ได้แต่ยืนมองอยู่ไกล ๆ เท่านั้นเอง ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเหตุการณ์ที่อาจจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่ผมคิดว่าคงมีเพียงผมเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ซึ่งมันคงพอยืนยันตัวผมได้ ผมจึงเอ่ยกับเธอออกไป
“ก็สิญจน์ คนที่ไปเจอเธอแอบเอาหนังสือนิยายไปอ่านตรงมุมหนังสือเก่ายังไงล่ะ”
คงเป็นเรื่องเดียวที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าจะทำให้เธอจำได้ด้วยเพราะปกติมุมหนังสือเก่าเป็นส่วนของหนังสือที่ เตรียมจำหน่ายออก ไม่ใช่ส่วนให้บริการทั่วไปจึงไม่ใช่บริเวณที่ใครจะไปนั่งตรงนั้นเพื่ออ่านหนังสืออะไร แน่นอน และการที่ผมไปพบเธอนั่งอ่านตรงนั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก เพราะถ้าผมไม่ถูกอาจารย์ใช้งานไปหาหนังสือที่ถูกคัดทิ้งออกจากชั้นหนังสือปกติผมก็คงไม่ไปแถวนั้น และพบวรรณฤดีนั่งจุ้มปุ๊กอ่านนิยายอยู่กับพื้นแน่นอน ซึ่งในตอนนั้นผมก็ยิ้มให้กับเธอที่ดูจะเขินอายอย่างมากโดยผมบอกไปเพียงว่า
“อ่านตามสบายเถอะ ผมแค่มาหาหนังสือให้อาจารย์”
วรรณฤดีที่นึกภาพเหตุการณ์ได้ทำหน้าแหยง ๆ พลางก้ม ๆ เงย ๆ มองผมแทบตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางที่ยังไม่มั่นใจนัก “สิญจน์จริง ๆ รึ...ทำไมไม่เห็นเหมือนเดิมเลย”
ผมได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้กับสิ่งที่เธอกล่าว เวลาตั้ง 19 ปีจะให้ผมหน้าใสเด้งเหมือนตอนเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าผมทำได้บางทีผมอาจจะเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์รักษาบำรุงผิวชะลอความแก่ไปได้แล้ว แต่ผมว่าในตอนที่ผมอายุ 35 นี่ก็ไม่ได้แก่อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย ผมเอามือเกาคางตัวเองนิด ๆ มันมีหนวดขึ้นมาพอสมควรคงเพราะช่วงเดือนนี้ผมนั่งทำงานวิจัยหน้าดำคร่ำเครียดเลยทำให้ดูโทรมกว่าปกติด้วยล่ะมั้ง
“ผมน่ะปกติ เวลามันผ่านไปจากตอนนั้นตั้ง 19 ปีเชียวนะวรรณ” ผมตอบพลางเรียกชื่อเธอสั้น ๆ แบบที่คนในห้องเรียกกัน หากแต่คำตอบของผมทำให้เธอแสดงอาการตกตะลึงตาค้างอย่างมาก ริมฝีปากของเธอสั่นอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เธอจะพยายามทวนคำตอบของผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“19 ปี...อย่างนั้นรึ”
“ใช่ 19 ปี อยู่ ๆ เธอก็หายตัวไปตอนที่เรียนปีหนึ่งเทอมสองไง”
ผมย้ำออกไป ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าเธอหายไปนานถึง 19 ปีแล้ว ว่าแต่เธออยู่มาได้ยังไงตั้ง 19 ปีทั้งที่ในอาคารชั้นนี้ไม่เห็นมีร้านอาหารหรือแม้แต่ห้องน้ำเลยสักนิดเดียว วรรณฤดีหน้าซีดลงไปอย่างเห็นได้ชัดเธอค่อยพยายามบอกบางสิ่งกับผมอย่างช้า ๆ ซึ่งสิ่งที่เธอบอกมันทำให้ผมแทบจะมีอาการแบบเดียวกับเธอทันที
“ไม่นะ...เราเพิ่งจะอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่ 9 วันเอง”
จากคุณ |
:
joyka
|
เขียนเมื่อ |
:
20 มิ.ย. 53 23:05:58
|
|
|
|