 |
คิดดูให้ดี...ถ้าจะลงทุนในกองทุนเปิด
|
|
วันนี้ข้าพเจ้าพาแม่ไปถอนสตางค์ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาเทเวศน์ เพราะวันอาทิตย์นี้ ข้าพเจ้าต้องไปสอนหนังสือเป็นการเฉพาะกิจที่เมืองกาญจน์ แม่กลัวไปเหยียบอ่างกะปิใครแตกแล้วไม่มีจ่าย
แม่เข้าไปในแบงค์คนเดียว ส่วนข้าพเจ้ารออยู่ในรถ....รอแล้วรอเล่า..แม่ก็ไม่ออกมา....สงสัยคนคงเยอะ ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้น...จนแม่กลับมาหน้าผ่องมาเชียว...แถมหิ้วกระเป๋าผ้าใบใหม่มาด้วย....แฮ่ๆๆ เค้าลางเริ่มออก
ข้าพเจ้าถามแม่ว่าทำไมไปนานจัง...แม่ว่าที่นานเพราะแม่ไปซื้อกองทุนของธนาคารมา แม่ยังบรรยายต่อว่า....
" ดอกเบี้ยดีนะครบ 11 เดือน แม่จะได้ดอกเบี้ยเป็นเงิน 3,600 บาท ดีกว่าเอาเงินทิ้งในบัญชีออมทรัพย์ได้ปีละ 50 สตางค์เอง คุ้มว่าเห็นๆ"
ข้าพเจ้าถามแม่ว่าตกลงเจ้าหน้าที่เขาบอกแม่ว่าจะจ่ายดอกเบี้ยให้แม่หรือ
"ใช่ๆ แม่จะได้ร้อยละสองแน่นอน....เจ้าหน้าที่บอกว่าพอครบ 11 เดือนปุ๊บเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจะโอนเข้าบัญชีแม่ปั๊บ"
ตกลงแม่ลงไปเท่าไหร่จ้ะ
"สองแสน.....เอ...แม่ต้องได้ดอกเบี้ย 4,000 ใช่ไหม....ได้แค่ 3,600 สงสัยหลังหักภาษี....ยังไงก็ดีกว่าเอาเงินนอนนิ่งๆเนอะ"
ข้าพเจ้าค่อยๆคุยกับแม่ว่า...ที่ว่าดอกเบี้ยร้อยละสองต่อปีน่ะเขาระบุในเอกสารการซื้อหน่วยลงทุนหรือเปล่า
ไม่ต้องรอคำตอบของแม่ ข้าพเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าในเอกสารการลงทุนแบบนี้ไม่มีทางระบุรับรองผลประโยชน์เพื่อผูกมัดตัวเอง ดอกเบี้ยที่ว่าเป็นเพียงคำพูดอันเลื่อนลอยของเจ้าหน้าที่ของแบงค์ที่อยากได้ค่านายหน้า
การลงทุนในตราสารเหล่านี้ล้วนมีความเสี่ยง....แปลไทยเป็นไทยว่า การที่คุณเอาเงินไปลงซื้อหุ้นหรือกองทุนอะไรทั้งหลายแหล่เท่ากับการนำเงินไปให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินบริหาร มันมีความเป็นไปได้ทั้งกำไรและขาดทุน ขึ้นอยู่กับว่าธนาคารเอาไปลงทุนต่อแบบใด เช่น ไปซื้อพันธบัตรของรัฐบาล ไปให้กู้ต่อ ไปลงทุนในหน่วยลงทุนอื่นที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ต้องจ่ายให้แก่ผู้ลงทุน
คำเตือนที่ปรากฏในเอกสารการลงทุน มีขนาดเล็กว่าเห็บหมา ....แถมมีช่องให้ผู้ลงทุนเซ็นต์รับรองว่า " ข้าพเจ้าได้ทราบความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา.....ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนแรกเริ่มได้ .....ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนได้แจ้งรายละเอียดความเสี่ยงดังกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบแล้วก่อนลงทุน "
ข้าพเจ้าบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก...คิดไปก็ไม่สบายใจเปล่าๆ (แต่คราวหน้าถ้ามาปรึกษาลูกก่อนจะดีมาก)....มาลุ้นกันปีหน้าแล้วกันนะว่าเงินของแม่จะเหลือเท่าไหร่...ดอกเบี้ยไม่ต้องไปสน...ไม่กินทุนก็บุญโขแล้ว.....ถ้าเรื่องมันจบแค่นี้ข้าพเจ้าคงไม่มานั่งเขียนเรื่องนี้ให้เปลืองเวลาอ่านของทุกท่าน
ข้าพเจ้ากำลังมองว่า...ถ้าคนที่นำเงินมาลงทุนไม่ใช่เงินเย็นเหมือนแม่....แต่เป็นเงินออมชั่วชีวิตของเขา....ที่เอามาลงทุนก็หวังว่าจะได้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าเงินฝากประจำที่ตอนนี้ต่ำเตี้ยเลี่ยดิน.......
เจ้าหน้าที่ของธนาคารที่มุ่งแต่ประโยชน์ตนโดยละเลยความเสี่ยงของผู้ลงทุน พูดแต่ด้านหนึ่งของเหรียญที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงได้แต่ไหน และจงใจที่จะไม่พูดอีกด้านหนึ่งที่เป็นด้านลบของการลงทุนนั่นคือความเสี่ยงที่กองทุนจะเจ๊ง ต้นหายกำไรหด ตัวหนังสือที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่ต้องบอกแก่ผู้ลงทุนถึงความเสื่ยง แต่พอเอาเข้าจริงมีแต่บอกว่าคุณจะ ได้...ได้....ได้...ได้อะไรบ้าง
ไม่ได้บอกว่าเจ้าหน้าที่ต้องเตือนผู้ลงทุนว่า....
"คุณสามารถหมดตัวได้ถ้าลงทุนกับเรา"
แต่อย่างน้อยก็ควรให้ความรู้เบื้องต้นแก่ผู้ลงทุน...ว่าตราสารที่กำลังจะเอาเงินไปลงนั้นคืออะไร...ข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไร แล้วให้ผู้ลงทุนตัดสินใจเองว่าจะลงทุนดีหรือไม่ ไม่ใช่บอกแต่ทางได้แต่อย่างเดียว...ให้คนลงทุนวาดวิมานว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าโน้นเท่านี้
ไม่ใช่ในฐานะนักกฎหมาย หากแต่ในฐานะของคนเป็นลูก ..ข้าพเจ้าว่ามันไม่ยุติธรรมที่เจ้าหน้าที่ของธนาคารทำกับลูกค้าแบบนี้.....โดยเฉพาะทำกับคนสูงอายุที่สายตาไม่ดี....ถูกชักจูงได้ง่าย...และไม่เข้าใจถึงตราสารแบบต่างๆ หากวันครบกำหนดแล้วเหลือเงินต้นแค่ครึ่งเดียว คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย จะพาลหัวใจวายกันเป็นแถว
>>>> ด้วยความรักและห่วงใยผู้สูงอายุทุกท่าน (คนหนุ่มคนสาวไม่ห่วง เพราะยังมีเวลาทำมาหากินอีกเยอะ..แฮ่ๆ)
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 53 19:39:43
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 53 19:24:30
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 53 19:21:35
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 53 18:52:18
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 53 18:51:30
จากคุณ |
:
กาปอมซ่า
|
เขียนเมื่อ |
:
24 มิ.ย. 53 18:49:40
|
|
|
|  |