เรื่องสั้นลองเขียน....บางสิ่งที่หายไป
|
|
บางสิ่งที่หายไป ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่ทะเลาะกับแก ฉันคงไม่ต้องมาหลงทางอยู่อย่างนี้หรอก ผมพลั้งปากพูดออกไปเพียงเพราะอารมณ์ฉุนเฉียวเพียงชั่ววูบ แผนการเที่ยวเกาะของทุกคนรวมถึงผมด้วยเป็นอันต้องหมดสนุกไป ที่ที่ผมยืนอยู่ในขณะนี้คือเกาะกลางทะเลฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยวแนวรักษ์ธรรมชาติ ทั้งยังห่างไกลจากพวกนายทุนหัวการค้าซึ่งสนใจแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนิยมแต่ขาดจิตสำนึกรักธรรมชาติ นอกจากหาดทรายสีขาวและท้องทะเลสีฟ้าครามที่อยู่รายล้อมเกาะแล้ว ยังมีป่าไม้เขียวขจีขึ้นอยู่เป็นทิวแถว เมื่อวานนี้ผมและเพื่อนอีกสามคนคือ เอก นัด และป้อง เดินทางมาถึงที่นี่ตามคำชักชวนของเอก ครั้งนี้ถือเป็นการมาเที่ยวครั้งแรกในรอบสามปีของพวกเราหลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเรียนในมหาวิทยาลัย พออิ่มจากอาหารกลางวันกันแล้วพวกเรามีแผนจะไปเดินตระเวนสำรวจธรรมชาติรอบเกาะโดยผมออกตัวเป็นหัวหน้าแก็งค์พาทัวร์เอง เริ่มจากบ้านพักที่ริมหาดอ้อมไปท้ายเกาะลัดเลาะไปตามแนวทิวเขา กะว่าจะกลับมาถึงบ้านพักอีกครั้งในเวลาอาหารเย็นพอดิบพอดี ระหว่างทางนั้นพวกเราได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติเต็มสองตา บรรยากาศแบบนี้นานทีปีหนจะได้มาสัมผัสสักครั้ง มันเป็นความประทับใจสุดยอดจริงๆ เราทั้งสี่คนเดินมาได้ยังไม่ถึงครึ่งทาง ก็ไม่วายดันเกิดเรื่องขึ้นจนได้ หากจะว่าไปต้นเหตุคราวนี้คือผมนี่แหละ เมื่อผมดันปากเสียพูดพล่อยๆออกไปทำนองว่าในกลุ่มพวกเราทั้งสี่คนที่มาที่เกาะเนี่ยไม่มีใครรู้จักเกาะนี้ดีเท่าผมหรอก ซึ่งทุกคนก็จะรู้ดีว่าผมแค่พูดคุมเชิงไปเช่นนั้นเอง แต่คราวนี้เอกกลับรับคำท้าทายขออาสาเป็นคนพาเดินรอบเกาะต่อจากผม ทั้งๆที่มันรู้ว่าใจจริงผมแค่พูดเล่นทำแบบนี้เหมือนเป็นการหักหน้ากันชัดๆ ส่วนนัดและป้องก็ไม่เข้าข้างผมกลับเห็นพ้องต้องกันว่าให้เอกพาทัวร์บ้างก็ไม่เสียหายอะไร ไอ้ลูกคุณหนูที่ไม่มีใครกล้าขัดคออย่างผมนั้นของขึ้นจนได้ เอ้า ตามใจเว้ย อยากทำอะไรก็ตามใจแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปเดินเล่นของฉัน พวกแกก็ไปกับเอกมันล่ะกัน แล้วไปเจอกันที่บ้านพักตอนเย็นนะ มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันซิวะ ไอ้กันต์ ป้องร้องทักด้วยความที่ไม่อยากให้สิ่งที่ตั้งใจทำกันไว้ต้องสูญเปล่า แต่มาถึงขนาดนี้แล้วคนอย่างผมจะถอยไงได้เล่า เอาเหอะน่า กูมันไม่ใช่หนุ่มสุพรรณ ว่าแล้วผมก็เดินหัวเสียบุกป่าฝ่าดง แบบไม่ดูทิศดูทางมาถึงนี่แหละ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เดินลึกเข้ามาถึงไหนแล้วไม่รู้ ผมนึกสมเพชตัวเองที่ดันมาหลงทางอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่บ้านพักตากอากาศของคุณพ่อตัวเองก็อยู่บนเกาะนี้แท้ๆ หากว่ากันตามจริงผมมาเยือนเกาะนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อสี่ปีที่แล้วสภาพแวดล้อมต่างๆหลายแห่งอาจเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้ผมทั้งหิวทั้งเมื่อย รู้สึกเริ่มสำนึกผิดกับการกระทำเมื่อกี้นี้ พวกเราทั้งสี่คนเป็นเพื่อนรักกันมานานแล้วทั้งผม นัด และป้องรู้จักกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมถึงตอนนี้ก็ร่วมสิบกว่าปีแล้ว ผิดแต่เอกคนเดียวที่มาเข้ากลุ่มกับพวกเราเอาตอนมัธยมต้น เอกอาศัยความที่เป็นคนช่างพูดช่างเจรจา การเรียนก็ดีแถมกีฬาก็เก่ง จึงเป็นที่รักของเพื่อนๆได้ในเวลาเพียงไม่นาน แต่เอกก็ไม่คิดจะไปสนิทสนมกับเพื่อนกลุ่มไหนเป็นพิเศษนอกจากกลุ่มพวกเรา จนบางทีผมอดนึกเฉลียวใจไม่ได้ว่าเอกมีเหตุผลใดแอบแฝงรึเปล่า บุคลิคของเอกค่อนข้างตรงกันข้ามกับตัวผมที่เป็นลูกเศรษฐีถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เล็ก เลยมีติดนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและไม่ค่อยยอมใครทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อนเยอะสักเท่าไหร่ แต่นัดกับป้องพวกมันสองคนโตมากับผมจึงรู้จักนิสัยใจคอว่าลึกๆแล้วถึงผมจะนิสัยเสียแต่ก็มีส่วนดีคือรักเพื่อนและเป็นคนไม่โกหก ผมจำได้ว่าตอนอยู่มัธยมหกมีเรื่องที่ทำให้ผมและเอกต้องผิดใจกัน เรื่องของเรื่องคือผมและเอกแอบชอบผู้หญิงคนเดียวกัน เธอชื่อปุ๊ก เรียนอยู่ชั้นเดียวกับพวกเรา เอกนั้นค่อนข้างออกอาการและมักมาปรึกษาเรื่องปุ๊กกับผมอยู่เสมอ ในขณะที่ตัวผมเองไม่กล้าพูดออกไปว่าผมกับปุ๊กนั้นเราคบกันมาสักพักหนึ่งแล้ว ความมาแตกเอาเมื่อวันงานกีฬาสี วันนั้นผมได้คุยเปิดอกกับเอกกันตัวต่อตัวถึงขั้นชกต่อยกันเลยทีเดียวแต่สุดท้ายก็ปรับความเข้าใจกันได้ แต่ผมรู้ดีว่าลึกๆในใจแล้วมันเป็นเหมือนรอยแผลเป็นของเราทั้งสองคน เหตุการณ์ครั้งนั้นตอกย้ำให้รู้สึกว่าผมก็เอาชนะมันได้เหมือนกัน ดวงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า จนป่านนี้ก็ยังเดินหาทางออกไม่เจอสักทีหนทางข้างหน้าไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะพบทางออกแต่อย่างใด นึกในใจว่าถ้าผมติดโทรศัพท์มือถือมาด้วยล่ะก็จะยอมเสียหน้าโทรหาพวกมันก็ได้ แต่ดันลืมไว้ในห้องพักซะนี่ เมื่อรู้สึกเริ่มหมดหวัง ความกลัวก็เริ่มปะทุขึ้นมาทุกที (ยังมีต่อนะครับ)
จากคุณ |
:
มาช้ายังดีกว่าไม่มา
|
เขียนเมื่อ |
:
30 มิ.ย. 53 11:27:41
|
|
|
|