ความคิดเห็นที่ 1 |
“กินเข้าไปขนาดนั้น ระวังท้องเสียหรอก”
ผู้ฟังขมวดคิ้วหน้ามุ่ย
ไม่เคยมีใครพูดกับเขาอย่างนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นไอ้คนทรายที่ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันห่วงใยเขาแน่ๆ มันคงพูดประชดเขาที่ยอมกลืนศักดิ์ศรี กินปลาหมักเหม็นบูดพวกนั้น แถมกินมากกว่าคนอื่นๆ ที่ล้อมวงอยู่เสียอีก
ก็จะไม่ให้กินเยอะๆ ได้อย่างไร ชาลัวห์แทบไม่มีอาหารตกถึงท้องมาตั้งแต่เย็นแล้ว ไอ้คนทรายทำอาหารเย็นแค่ขนมปังเย็นชืดหน้าปลาเน่ากับเศษผักดอง มื้อเช้าก็ไม่มีให้กินเพราะมันดันนึกอยากทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยหมู่บ้านที่โดนปล้น...อย่างกับไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองก็ถูกตามล่า
เขาละใจหายแทนมันจริงๆ ว่าทหารจะมาถึงหมู่บ้านนี้แล้วจับผิดทั้งสามได้เมื่อไร ครั้นจะหลบอยู่ในเกวียนเงียบๆ ก็ถูกสั่งให้วิ่งวุ่นตักน้ำบ้าง หยิบของบ้าง มือเจ้ากรรมเป็นอย่างนี้เขาตักน้ำบริการให้ไม่เคยทัน ไม่เคยพอ เพราะหิ้วถังน้ำมือเดียวทำให้แขนล้าและนิ้วปวดแดงไปหมด ตักมาให้แม่หมอผมแดงต้มน้ำทีไร ไม่ถึงห้านาทีก็มีอันต้องถูกสั่งไปตักใหม่ ไอ้ทางไปลำธารก็ไกลไม่น่าเชื่อ พื้นกรวดสูงๆ ต่ำๆ ยิ่งเดินยาก แดดหรือก็ร้อนจนเหงื่อไหลย้อยแต่ปาดไม่ได้ ในเมื่อมือข้างที่ดีก็ต้องหิ้วถังน้ำ ข้างที่เจ็บอยู่ก็ไม่ควรถูกน้ำให้ปวดแสบ
หมู่บ้านซอมซ่อพวกนี้มีอะไรให้น่าปล้นนักหรือ ทำไมโจรมันจำเพาะจะต้องมาบุกเอาตอนนี้ด้วย ถ้าพวกมันไม่มาปล้น ไอ้คนทรายก็คงไม่ต้องแวะที่นี่ ส่วนเขาก็ไม่ต้องเหนื่อยถึงขั้นยอมกินขนมปังชืดๆ เนื้อหยาบกับไอ้ปลากลิ่นหึ่งพวกนี้ดับหิวจนได้หรอก
“ก็ข้าเหนื่อย” ชาลัวห์ตอบห้วนๆ ก่อนโบกมือไล่แมลงวันที่บังอาจจะมาตอมอาหารของเขา ร้อยวันพันปี คุณชายนายอำเภอเพิ่งเคยกินอาหารกลางแจ้ง โดยไม่มีคนรับใช้คอยพัดไล่ร้อนกับแมลงในวันนี้
ไอ้คนทรายทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แล้วก็เอ่ยออกมาในที่สุด
“ปกติท้องเจ้าอ่อนแอจะตาย วิ่งไปทุ่งไม่ทันข้าไม่รู้ด้วยนะ”
ชายหนุ่มลอบขบฟัน จุ้นจ้านกับเขาหาอะไรนัก! เมื่อวานยังอยากให้เขากินปลาเน่าอยู่เลยไม่ใช่หรือ
แต่ตอนนี้ ชาลัวห์รู้ตัวว่าตนเถียงอะไรไม่ได้...ถึงมันจะน่าเจ็บใจเหลือเกิน เขาได้แต่ก้มหน้าก้มตากินขนมปังหน้าปลากลิ่นเหม็นให้หมดชิ้น ก่อนจะลุกไป
“อิ่มแล้ว ต่อไปคงไม่มีอะไรใช่ไหม ข้าขอไปพักในเกวียนก่อนล่ะ”
“ตอนบ่ายยังต้องสร้างที่พักชั่วคราวให้ชาวบ้านก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะนอนกันที่ไหน” ไอ้คนทรายกลับพูด
ชายหนุ่มหันขวับมาโบกมือต่อรอง
“มือข้าเป็นยังไง เจ้าก็เห็นอยู่”
อีกฝ่ายกลับลุกขึ้น หันไปหยิบขนมปังหน้าชาดานแซร์สามสี่ชิ้นวางบนจานไม้ แล้วถือมันมาให้เขา
“เอานี่ไปให้ท่านหมอซานา นางรักษาคนไม่หยุดมาแต่เช้า ยังไม่ได้กินอะไรเลย ของแค่นี้คงไม่หนักเกินไปหรอก” เด็กหนุ่มกระซิบเบาๆ ให้เขาได้ยินคนเดียวหลังจากนั้น “พ่อข้ามีมือข้างเดียวแท้ๆ ยังแบกของหนักได้มากกว่าเจ้าอีก อย่าสำออยไปหน่อยเลย”
ชาลัวห์ชักสีหน้า ที่มันบังอาจเอาขุนนางที่มีฐานะสูงเกินกว่าจะใช้แรงงานชั้นต่ำ...อย่างเขา ไปเปรียบเทียบกับพ่อกุลีของมัน แต่ก็บังคับตนเองไม่ให้ตอบโต้ รับถาดนั้นไป และก้าวยาวๆ ออกมา
ความโกรธของชายหนุ่มกลับดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อพบกับภาพของเด็กสาวผมแดงที่กำลังเย็บแผลให้ชาวบ้านคนหนึ่ง
“เพื่อนข้าให้เอามาให้ท่านหมอ” เขายื่นจานชาดานแซร์ให้
“ขอบคุณ แต่ข้าเป็นหมอฝึกหัดค่ะ” เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าเรียบๆ ไม่ถึงกับยิ้ม แต่ก็ไม่ได้บึ้งตึง ว่าไปก็ต่างจากผู้หญิงทุกๆ คนที่เคยมองเขาในฐานะลูกชายเจ้ามณฑลอย่างบอกไม่ถูก “ข้ารู้ว่ามันยาว แต่ถ้ากรุณาเรียกให้ถูกต้องได้จะดีกว่า”
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองเธอครู่หนึ่ง หมอสาวไม่ถึงกับสวย แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ ต่างจากเจ้าหญิงแอชลีนน์ แม้จะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน โครงหน้าของเธอออกกลม แต่ดวงตาเล็กเรียวกว่า ผิวขาวเหลืองและคล้ำแดดเล็กน้อย เค้าหน้าเหมือนไม่ใช่คนธีร์ดีเรแท้ๆ แต่ผสมสายเลือดอื่นที่เขาบอกไม่ถูก
“เอ่อ...” สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทำให้เขารู้สึกตัว เธอสบตาเขาแล้วก็ชี้ไปทางกล่องไม้สำหรับใส่ยาที่วางตั้งอยู่ “วางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ค่ะ ทำแผลให้ทุกๆ คนเสร็จแล้วข้าจะกินเอง”
ชาลัวห์ทำตามคำบอก ก่อนจะก็นั่งมองเธออยู่ที่เดิม เพราะยังไม่อยากกลับไปเห็นหน้าไอ้คนทราย
แล้วว่าไป เขาก็มีอะไรบางอย่างที่ต้องการจากเธอด้วย
“เอ่อ...ช่วยทำแผลให้ข้าหน่อยได้ไหม”
“หือม์” เด็กสาวหันมามองเขาอย่างประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้าเมื่อเขาชูมือขวาที่พันแผลไว้ให้ดู “ได้สิคะ รออีกเดี๋ยวนะ”
ครั้นเสร็จงานจากคนเจ็บที่เหลืออยู่ เธอก็เรียกเขาเข้ามา แกะผ้าพันแผล ดูปลายนิ้วที่ทำให้ชาลัวห์ยิ่งกลัวจนใจสั่น เขาเพิ่งเห็นตอนนี้เอง ว่าทั้งปลายนิ้วและเล็บบู้บี้ของตนกลายเป็นสีม่วงช้ำเกือบดำไปเมื่อไรก็ไม่รู้
แต่ซานากลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่บอกอะไรเขาเลย ว่าอาการน่าเป็นห่วงหรือยังดีอยู่
“ได้ยินว่าถูกถังชาดานแซร์ทับหรือคะ” เธอใช้ปลายไม้เคาะนิ้วของเขาเบาๆ “ปวดไหมคะ”
“ปวดสิ” ชายหนุ่มเบ้หน้า
เด็กสาวไม่ว่าอะไร แต่หยิบเข็มที่ห่อในผ้าขาวมาเล่มหนึ่ง จุ่มลงอ่างน้ำ ก่อนจะใช้คีมคีบ แล้วนำปลายแหลมไปลนไฟ
“จ...จะทำอะไรหรือ”
“เจาะเอาเลือดเสียออกมาค่ะ ถ้าปล่อยให้คั่งไว้จะยิ่งเจ็บ ถ้ากลัว หันไปอีกทางก่อนก็ได้” เจ้าหล่อนบอก
เขาทำตามคำแนะนำทันที ถึงได้เพิ่งเห็นชัดว่ารอบตัวเธอยังมีคนเจ็บทุกเพศทุกวัย ที่เพิ่มมาคือพวกผู้หญิงตั้งแต่เด็กสาวจนถึงหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังทายาตามรอยแดงบนข้อมือตน ข้างๆ กลุ่มเด็กที่มีสีเขียวของยาบนข้อมือเช่นกัน
ชาลัวห์รู้ว่ารอยแดงพวกนั้นเกิดจากการเสียดสีโซ่ตรวน เพราะเขาก็เพิ่งมีรอยคล้ายกันไปหมาดๆ ภาพที่เห็นจึงทำให้ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้
“เอ่อ...พวกชาวบ้านไปมีรอยตรวนได้ยังไงกัน”
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ก.ค. 53 16:21:46
|
|
|
|