เพื่อนร่วมทาง
|
|
ทางสายเปลี่ยวกับคนโดดเดี่ยวอย่างผมมันคู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตีสามผมบึ่งรถคู่ใจไปตามถนนเส้นเดิม ลำแสงจากไฟหน้ารถทอดยาวแหวกความมืดเบื้องหน้า แสงไม่ได้กระทบสิ่งใดจึงฉาบลำยาวลงบนพื้นยางมะตอยสีดำสนิด ถนนโล่งว่างเป็นเรื่องธรรมดาของถนนเลียบเมืองจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ ที่ซึ่งไม่ใช่ทั้งแหล่งท่องเที่ยวและทางผ่านสู่จังหวัดอื่น ถึงแม้ถนนจะโล่งแต่ผมก็ยังคงความเร็วอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยความที่ไม่ใช่พวกนิยมความเร็วหรือต้องรีบเร่งไปไหน
ขับรถตอนกลางคืนถึงแม้อากาศจะเย็นสบายแต่ถ้าขาดคนนั่งข้างมันก็ทำให้รู้สึกเหงาจับใจได้เหมือนกัน รอบกายสรรพสิ่งล้วนเงียบงันมีก็เพียงแต่เสียงคำรามเบาๆของรถยนต์คู่ใจ ถ้าได้เพื่อนร่วมทางมานั่งคุยแก้เบื่อก็คงดี ผมรำพึงรำพันในใจ เหมือนสวรรค์จะได้ยินเสียงคำร้องขอ ลำแสงหน้ารถสาดกระทบร่างๆหนึ่งที่ดูเหมือนจะยกมือขึ้นโบกรถ มีหรือที่คนเหงาอย่างผมจะไม่จอดรับ ถึงแม้การจอดรับคนข้างทางเปลี่ยวในตอนกลางคืนจะอันตรายแค่ไหนผมก็ไม่สนใจ หรอก จัดแจงเหยียบเบรกแล้วไขกระจกลง กวาดตาสังเกตคนที่ยืนอยู่ข้างทางค่ำๆมืดๆ ว่าที่เพื่อนร่วมทางเป็นหญิงสาวแรกรุ่น หน้าตาดี สวมชุดยูนิฟอร์มร้านสะดวกซื้อชื่อดัง “ขอติดรถไปลงตรงทางแยกข้างหน้าได้มั้ยคะ” เธอถามเชิงขอร้องแล้วชี้ไม้ชี้มือไปที่พงหญ้ารกๆข้างทาง “รถหนูเสียค่ะ สตาร์ทไม่ติด” เธอว่า ผมมองตามนิ้วเธอไป ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากพงหญ้าคาที่สูงเกือบเอว น่าสงสัย แต่ช่างเถอะ ผมชี้ชวนให้เธฮมานั่งข้างคนขับจะได้พูดคุยกันได้ถนัดๆ
“พี่จะไปไหนคะ” หลังจากออกรถเธอก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน ผมยิ้มพลางตอบไปว่า “ไปเรื่อยๆ” ฟังคำตอบจากผม เธอถึงกับขมวดคิ้ว คงจะคิดว่าผมเพี้ยนอยู่แน่ๆ “ แล้วเราล่ะ ไปไงมาไง ถึงมารถเสียอยู่กลางทางดึกๆดื่นๆ ” ผมย้อนถามบ้าง “ หนูเพิ่งเลิกงานค่ะ ออกกะตอนเที่ยงคืน ขับมอเตอร์ไซต์กลับบ้าน แต่รถดันมาเสีย โบกรถอยู่นานก็ไม่มีใครจอดรับ ซวยจริงๆเลย ถ้าไม่ได้พี่หนูคงแย่ ” ผมพยักหน้าเออออ สลัดข่าวฆ่าชิงทรัพย์ริมทางเปลี่ยวออกไปจากหัว คงไม่มีอะไรหลอกเธฮคงจะเดือดร้อนจริงๆนั่นแหล่ะ จากนั้นเธอก็เป็นฝ่ายพูดๆๆๆๆๆ ผมทำได้เพียงแค่ฟังและพยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางเธอจะเป็นช่างคุย ดีเลยผมจะได้ไม่เหงา “ แล้วพี่ทำงานอะไรหรอคะ ” ก็นับว่าเธอยังให้ความสำคัญของคู่สนทนาอยู่บ้าง ผมบอกอาชีพของผมไป เธอทำตาโต “งั้นก็เงินดีสิคะ” เธอโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แทบจะปิดความละโมบไม่มิด “ ก็พอใช้ แต่รู้อะไรมั้ย คนเราล่ะถึงจะรวยล้นฟ้าแค่ไหน พอตายไปแล้วก็เอาติดตัวไปไม่ได้ซักบาทเดียว ” ผมได้ทีเลยสั่งสอน “ ถึงยังงั้นก็เถอะค่ะ มีใครบ้างจะไม่อยากสุขสบาย ตอนมีชีวิตอยู่ก็ขวนขวายหาเงินหาทองกันทั้งนั้น ” เธอเถียง เอาเถอะถึงเวลานั้นจริงเธอก็จะรู้เอง
ใกล้ถึงจุดหมายบทสนทนาก็เริ่มขาดหาย ปากที่คอยเจื้อยแจ้วของสาวเจ้าก็ดูหนักขึ้น เธอเปลี่ยนไปเงียบขรึมจนน่าตกใจ ดวงหน้าฉายแววครุ่นคิดหนัก เงียบไปชั่วอึดใจ เหมือนจะตัดสินใจได้เธอเลยจึงทำลายความเงียบ “ อย่าขัดขืน ไม่งั้นตาย !! ” เสียงกร้าวราวกับเป็นคนละคน ใบหน้าหวานเครียดขึง ที่ขมับผมรู้สึกถึงแรงกดของวัตถุทรงกระบอก ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเธอก็เป็นคนเฉลยออกมาเอง “ จอดรถ ไม่งั้นกูยิงแน่!! ” มันคือปืน! เธอเอามันจ่อหัวผมเพื่อขู่ให้จอดรถ “ ไม่หลับบ้านแล้วหรอ ” ผมถาม “ อย่าเล่นลิ้น กูบอกให้จอด ” เสียงแผดดังขึ้นปลายกระบอกปืนก็กดแรงขึ้นตาม “ งั้นที่บอกว่ารถเสียก็โกหกสินะ” ผมถามต่อหน้าตาย “ กูบอกให้จอดรถ อยากตายหรือไง! ” น้ำเสียงเริ่มเครียด เจอเหยื่ออย่างผมก็แย่หน่อย นอกจากจะไม่ทำตามคำสั่งแล้วยังไม่มีแววตกใจหลัวให้เห็นซักนิด ก็ผมจะกลัวไปทำไมกันเล่าในเมื่อ…. “ กูบอกให้จอด!!!!!! ” คำสั่งเดิมแต่หนนี้ดูท่าเธอจะเริ่มสติแตกแผดเสียงออกมาดังลั่นจนในหูผมได้ยินเสียววิ้งๆ เหงื่อเม็กเป้งแตกเต็มหน้าสวย มือข้างที่ถือปืนก็เริ่มสั่นนิดๆ ลองคิดดูถึงปืนจะมีลูกกระสุนและเธอออาจจะยิงปืนเป็นแต่ผู้หญิงสาวๆเช่นนี้จะใจเด็ดลั่นไกระเบิดสมองคนเชียวหรือ “ ทำแบบนี้มานานหรือยัง ” ที่ถามใช่ว่าอยากจะกวนประสาท เพียงแต่ผมอยากจะคุยกับเธอต่ออีกนิดในสภาพที่ยังมีชีวิตอยู่! “ ไอ้บ้า! ” สิ้นเสียงกล่าวหาผมได้ยินเสียงลั่นกริ๊กตามด้วยเสียงดังปุ ผมรู้สึกถึงลูกตะกั่วที่เจาะผ่านกระโหลกแล้วเข้าไปฝังในเนื้อสมองนุ่มๆ “ใจเด็ดดีนี่ ผมคิดว่าคุณจะไม่กล้ายิงเสียอีก”เธอเบิกตาโพลง ปืนหลุดจากมือสั่นเทา ดูเหมือนจะตกใจจนมือไม้อ่อน ก็แน่ล่ะเป็นเป็นผมก็คงตกใจกับคนที่มีลูกกระสุนปืนอยู่ในหัวแต่ยังสามารถพูดได้ฉอดๆ “รู้รึเปล่าว่าปล้นเค้ากินน่ะมันบาป แถมยังฆ่าคนเสียด้วยระวังจะตกนรกนะ” ผมสั่งสอนอีก “ ผะ ผี หลอก! ” “ใช่ ผมเป็นผี! แต่ผมยังไม่ได้หลอกคุณสักหน่อย คุณต่างหากที่เป็นฝ่ายหลอกผม คุณหลอกผมมาปล้นไม่ใช่หรือไง”พูดแล้วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นอาการของสาวเจ้า สั่นจะแย่อยู่แล้ว เอ! หรือผมควรจะหยุดล้อเล่นเสียที
“ ผมตายบนถนนเส้นนี้ ” ผมเริ่มเล่า “ วันนั้นผมเลิกงานดึกไปหน่อย ระหว่างทางกลับบ้านผมก็เจอคนโบกรถ คนประเภทเดียวกับคุณนั่นแหล่ะ” เล่าถึงตรงนี้ก็หันหน้าไปสบตาคนนั่งข้าง พร้อมยิ้มนิดๆที่มุมปาก “มันเข้ามานั่งเบาะหลัง พอออกรถไปได้สักพักมันก็ชักมีดขึ้นมาปาดคอผม ” เหตุการณ์วันนั้นเหมือนย้อนกลับมาอีกครั้ง อยู่ๆเนื้อนุ่มตรงคอผมก็ฉีกเปิดออกเป็นรอยกว้างราวกับถูกมีดคมกริบปาดเฉือนให้ขาดเป็นรอยใหญ่ เลือดสีแดงเข้มพุ่งกระฉูดจากปากแผลชโลมห้องโดยสารจนเป็นสีแดงสด รวมทั้งร่างที่สั่นเทานั้นด้วย เธอกรีดร้องอย่างเสียสติเมื่อเห็นหัวของผมห้อยพับไปด้านข้าง ตรงด้านที่เธอนั่ง!
“มันเอาไปหมด ทั้งเงินทั้งนาฬิกาทั้งสร้อยคอ ผมไม่เหลืออะไรสักอย่าง แต่ถึงจะไม่โดนปล้น ตายไปแล้วก็ไม่ต้องใช้อยู่ดี อย่างที่ผมเคยบอกคุณไง โลกหลังความตายไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ของพวกนั้น ” ผมเริ่มเหยีบคันเร่ง “ได้แต่วนเวียนขับรถในถนนเส้นเดิมทุกคืนๆ ผมเหงา เบื่อ ทรมารแทบทนไม่ไหว แต่ต่อไปผมคงไม่ต้องทนเหงา เพราะผมจะได้เพื่อนร่วมทางมานั่งข้าง คุณไง! จริงมั้ย” ผมอยากมองหน้าเธอชัดๆ จึงเอามือข้างที่ไม่ได้กุมพวงมาลัย กระชากหัวที่ห้อยอยู่ให้หลุดออกจากคอเหวอะหวะ ตักของเธอเป็นที่รองรับได้อย่างดี ผม(หัวที่อยู่บนตัก)สบตาเธอพร้อมส่งยิ้มหวาน ร่างที่ไร้หัวก็คงยังทำหน้าที่เหยียบคันเร่งต่อไป เหยียบ! เหยียบมันจนมิดเท้า เข็มวัดความเร็วกระดิกขึ้นสูงสุด เธอหวีดร้องสุดเสียง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเร็วหรือเป็นเพราะผมกันแน่ กระตุกอยู่สักพักเธอก็แน่นิ่ง ดวงตาเหลือกค้าง ขาดใจตาย!! เอาเป็นว่าผมได้เพื่อนร่วมทางมาเรียบร้อยแล้วคนนึง แต่เบาะหลังยังว่างครับ คงรับเพื่อนร่วมทางเพิ่มได้อีกสักสองสามคน ไม่แน่เพื่อนร่วมทางคนต่อไปของผมอาจเป็นคุณก็ได้ อย่าลืมโบกรถผมนะครับ !
จากคุณ |
:
999ต่อให้ตายก็ไม่ติด
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ก.ค. 53 10:22:25
|
|
|
|