ขอโทษ...ประเทศไทย
|
|
ชนวีร์ ยืนอยู่ตรงระเบียงห้องชั้นสามของอพาร์ทเม้นท์สีครีม ทอดสายตาไปยังสุเหร่าเบื้องหน้า พินิจมองยอดโดมที่ประดับสัญลักษณ์ดาวกับพระจันทร์เสี้ยว เขากราดสายตาไปโดยรอบ ตึกรามบ้านช่องเรียงรายขนัดแน่นสอดแทรกด้วยแท่งตึกสูง แลลิบลิ่วเทียมเมฆ ลมโชยมาบางเบา พัดพาควันบุหรี่ที่คลุ้งออกจากปากชายหนุ่มหุ่นกำยำหมุนคว้างไปตามทิศทางของลม คราบเหงื่อไคลที่เปียกชุ่มแผ่นหลังส่งกลิ่นโชยชายแตะจมูก แต่เขาหานำพาไม่ เชิ้ตตัวเก่งสีขาวหลุดลุ่ยออกจากกางเกงขายาวสีเทาเข้ม กระดุมบนสุดถูกปลดออกระบายความอึดอัดและขับไล่เม็ดเหงื่อจากการกรากกรำทำงานอย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาตลอดทั้งวัน ไกลพ้นออกไปคือขอบฟ้าสีแดงฉานของแสงสุดท้ายแห่งวัน แสงนั้นราวกับเปลวเพลิงที่กำลังคุกรุ่นอยู่ไม่ปาน
ตรงถนนในซอยเบื้องล่าง ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนเดินไปมา ในมือถือของพะรุงพะรัง แววตาตื่นตระหนกและดูรีบเร่ง บางคนหยุดพูดคุยกับเพื่อนร่วมซอยแสดงความคิดเห็นกันอย่างเคร่งเครียด ชนวีร์พาดแขนทั้งสองตรงขอบราวระเบียง มองความเคลื่อนไหวนั้นพลางหยิบบุหรี่อีกมวนเหน็บมุมปาก หยิบไลท์เตอร์จุดอัดควันเป่าพรูขึ้นสู่อากาศ ปลดปล่อยอารมณ์ที่ค้างคาอยู่ข้างใน
สถานการณ์ทางการเมืองกำลังดำดิ่งสู่หุบเหวแห่งหายนะ ความขัดแย้งและแตกแยกภายในชาติร้าวลึกจนยากจะประสาน การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนทวีความรุนแรงขึ้น และนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อด้วยกันทั้งสองฝ่ายเฉกเช่นเหตุการณ์ทางการเมืองไทยในอดีตที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าพัฒนาการประชาธิปไตยของบ้านนี้เมืองนี้มักกลับไปเริ่มต้นใหม่เสียทุกครั้งโดยไม่มีการเรียนรู้บทเรียนอันเจ็บปวดในอดีตแต่อย่างใด
ชนวีร์ได้รับมอบหมายจากบก. เฒ่าแห่งหนังสือพิมพ์ ‘เพื่อไทย’ ที่เขาสังกัดอยู่ ให้ลงพื้นที่ทำข่าวการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแต่เช้าของวันนี้อย่างเร่งด่วน ช่างภาพอาชญากรรมรายนี้ถูก บก. ชรา นามว่า ‘ลุงจอม’โยกมาช่วยนักข่าวสายการเมืองโดยที่เขาไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ด้วยความเคารพนับถือและในฐานะลูกน้องที่ค้ำคออยู่ เขาจำต้องสะพายกล้องคู่ใจที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่ตระเวนถ่ายภาพกับเพื่อนร่วมอาชีพจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนประกาศเคอร์ฟิวจะเริ่มขึ้น ชนวีร์และเพื่อนร่วมอาชีพสวมหัวใจเด็ดตระเวนทำข่าวและเก็บภาพประวัติศาสตร์ของการประหัตประหารกันเองระหว่างพี่น้องไทยร่วมชาติอย่างสะเทือนใจ เขาแทบไม่เชื่อว่าเหตุการณ์นองเลือดทางการเมืองเมื่อครั้งเยาว์วัยจะหวนกลับมาอีกครั้งในยุคที่ประชาธิปไตยมีค่าน้อยกว่าราคาข้าวแกงจานละสามสิบบาทเพราะประชาชนคนเดินดินในยุคที่โลกหดลงเหลือแค่ปลายนิ้วสัมผัสต่างมุ่งจะทำมาหากินมากกว่าจะมาใส่ใจนักการเมืองที่มัวแต่หลงเล่นยี่เกอยู่ในสภาเหมือนในยุคท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ความขัดแย้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสร้างความเดือดร้อนไปทั่วหย่อมหญ้าของผืนแผ่นดินขวานทองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมนี้และนั่นก็นำไปสู่ความแตกแยกอันร้าวลึกของผู้คนในทุกระดับชนชั้นจนยากจะสมานรอยแผลแห่งความบาดหมางครั้งนี้ให้กลับสู่ดังเดิม
จากคุณ |
:
Daendin
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.ค. 53 22:08:39
|
|
|
|