Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ ๒ - บทที่ ๘ - เรื่องที่ไม่เคยตั้งคำถาม  

อ่านเนื้อหาภาค 1 ได้ที่นี่ครับ

http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=471973

เนื้อ เรื่องต่อภาค 2

http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=623553

* * * * *

ขอบคุณคุณ Mnemosyne สำหรับกิฟท์นะครับ ^^

คุณ scottie - ทางนี้ก็วิ่งเที่ยวรายวัน (ให้คุ้ม) ก็อยู่ในช่วงเพลียๆ เหมือนกันครับ ^^a

น้องแตม - แหะๆ ช่วงนี้พี่ก็วิ่งรอกออกนอกบ้าน (ชั่วคราว) เป็นพัลวันเหมือนกันครับ ^^a

เรื่องพ่อของอาเมียร์ พี่ก็ตั้งใจว่าแล้วแต่คนอ่านจะคิดเลยครับ ยอมรับว่าตัวเองเขียนไปก็สงสารดอร์มินเหมือนกัน

เพิ่งรู้ศัพท์ใหม่นะเนี่ย (พอลเฟิร์ม ^^a ) แต่ท่าทางพอลจะแม่นจริงๆ นั่นล่ะ คราวนี้ :)

* * * * *

บทที่ ๘
เรื่องที่ไม่เคยตั้งคำถาม


“เอ้อ ไม่ทราบว่าท่านรูอาร์คจะมากะทันหันอย่างนี้ ข้าจะให้คนรีบจัดห้องรับรองให้นะขอรับ” นายด่านพูดอย่างนอบน้อมกับเด็กหนุ่มผมแดงที่อายุน้อยกว่าหลายปี ทั้งๆ ที่ฝ่ายหลังสวมชุดขะมุกขะมอมจากการเดินทาง ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่สมกับสถานะ แถมขอบตาดำคล้ำอิดโรย

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าพักในโรงทหารได้” คนถูกพินอบพิเทากลับพูดง่ายๆ “ตอนนี้ขออาหารเช้าก่อนก็พอ หิวแล้ว”

“ขอรับ เช่นนั้นไม่ทราบท่านจะรับอะไรดี ข้าจะได้สั่งให้พ่อครัวทำ...”

“โรงครัวทำอะไรเลี้ยงทหาร ข้ากินได้ทั้งนั้น” รูอาร์คพูดพลางก้าวฉับๆ ไปยังอาคารไม้หลังใหญ่ โดยไม่สนสายตาประหลาดใจของนายด่านและทหารจำนวนน้อยที่มองดูอยู่

เขาตรงเข้าไปหยิบถาดไม้ แล้วเดินไปให้คนครัวตักเนื้อย่างราดน้ำเกรวี่ ก่อนจะหยิบขนมปังอีกก้อนไปนั่งแยกมุมจากทหารคนอื่นๆ ที่นั่งเกาะกลุ่มกันในโรงอาหารอย่างบางตา

แล้วก็เริ่มกระบวนการก้มหน้าก้มตากินอย่างไม่ใส่ใจใครอีกตามเคย ที่จริง ต้องเรียกว่าจดจ่อกับเรื่องในวันก่อน จนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา มากกว่ารสชาติหรือการตักอาหารเข้าปาก ซึ่งแทบเป็นกลไกสัญชาตญาณด้วยซ้ำ

เขามันเป็นคนไม่ดีนักหรอก ที่แวะไปที่แบบนั้นทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอ แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปพูดเรื่องนี้กับใครได้...

“ข้ามันบ้ามากเลยใช่ไหม”  เด็กหนุ่มจบคำถามที่ตนไม่เคยตั้ง ทั้งกับตัวเอง และใครอีกคนที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอด หลังจากทั้งสองได้เข้ามาอยู่ด้วยกัน ในห้องนอนที่มีเพียงแสงตะเกียงสลัวและกลิ่นหอมฟุ้ง


“ก็บ้าอย่างนี้เป็นปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”  หญิงพราวเสน่ห์ผู้ฟังกลับแย้มยิ้มน้อยๆ ...แต่เขารู้ว่านั่นเป็นยิ้มที่ตั้งใจให้ ‘ลูกค้า’ สบายใจขึ้น และคำพูดต่อมาก็ยิ่งฟ้องชัด “บ้าต่อไปก็ไม่เสียหายอะไรนี่ รูอาร์คไม่สนอยู่แล้วนี่นาว่าใครจะมองตัวเองอย่างไร ขอแค่เรามีความสุขก็พอแล้ว”

รูอาร์คฟังแล้วหัวเราะหึๆ ก่อนจะยกถ้วยไวน์ขึ้นจิบ

มีความสุขอย่างนั้นหรือ นั่นสิ เมื่อก่อนเขาไม่เคยตั้งคำถามเรื่องนี้ เขาไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดหรือรู้สึกอะไรกับเขาหรือสิ่งที่เขาทำอยู่แล้ว เขาทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ ไม่แยแสชาติกำเนิดหรือหน้าที่ที่มีคนพร่ำบอกยัดเยียดให้ อยากออกจากจวนเมื่อไรเขาก็ไป อยากไปดูละครที่ไหนก็ไป อยากเที่ยวราตรีขึ้นมาก็เที่ยว ไม่เคยนึกสนใจความรู้สึกของใครเลยตั้งแต่สิ้นพ่อแม่แท้ๆ

...จนมาพบยายกระต่ายนั่น...

เด็กหนุ่มบอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงสนใจเจ้าหล่อนนัก ก็รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าหล่อนคงเห็นผู้ชายทั้งโลกเป็นปีศาจไปหมดแล้ว เพราะเรื่องที่เจอมากับตัว...ซึ่งคำว่าเลวร้ายยังน้อยเกินไปที่จะบรรยาย รู้ทั้งรู้ว่ายากเสียยิ่งกว่ายากที่จะให้เจ้าหล่อนเปิดใจยอมรับผู้ชายอีกคนเข้ามาในชีวิตจิตใจ แล้วถ้าเจ้าหล่อนอยู่ได้ในสภาพนี้ มีครอบครัวของท่านซิอ์บุลคอยดูแลไปเรื่อยๆ พอพูดจาสื่อสารกับคนอื่นได้ มันก็น่าจะพอแล้วนี่นา

พอสำหรับเจ้าหล่อน...หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ไม่พอสำหรับเขาที่อยากเห็นรอยยิ้มของเจ้าหล่อน อยากบอกเพื่อนร่วมชะตาชีวิตบัดซบอีกคนว่ายังพอมีความหวังในชีวิตที่เหลืออยู่ ถ้านึกอยากจะมีความสุขให้ได้จริงๆ

แต่เขาก็มองไม่เห็นความหวังเหมือนกัน...กับอดีตนางโลมหญิงม่ายสามีตายที่มีลูกไม่ได้อีก หากแล่นไปเอาตัวก็อธฟรีด์มาคืนให้เจ้าหล่อนได้ เขาคงรีบทำ แต่ตอนนี้...

รูอาร์คหัวเราะเฝื่อนๆ อีกครั้งขณะนึกถึงการกระทำของตนเมื่อคืน เขาเครียดเรื่องของเจ้าหล่อน แต่ก็ยังมีหน้าไปแวะหาผู้หญิงอีกคนที่ประกอบอาชีพซึ่งเจ้าหล่อนเคยจำใจทำจนได้สิน่า

ผู้ชายด้วยกันคงมองว่ามันไม่ผิดหรอก เขากับยายกระต่ายยังไม่มีพันธะผูกมัดกัน แล้วฝ่ายผู้หญิงอายุมากกว่าที่มีเขาเป็นลูกค้าขาประจำก็นับว่าสนิทสนมดี พอที่เขาจะรู้ว่าเจ้าหล่อนทำงานนี้โดยสมัครใจ...อย่างน้อยก็ในตอนนี้ และพอที่เจ้าหล่อนจะฟังคำบ่นสารพัดของเขาที่มีต่อผู้หญิงคนอื่นได้

แต่เด็กหนุ่มก็คิดว่าเจ้าหล่อนคงไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะจริงจังกับอดีตนางโลมคนหนึ่งถึงขั้นอยากแต่งงานด้วย ก็คงมองว่าเขากำลังหลงผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ตามประสาลูกชายเจ้ามณฑลที่ต้องการอะไรเป็นต้องได้เท่านั้นกระมัง

และแน่นอน...เขาไม่กล้าบอกอีกฝ่ายหรอกว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร เขาแค่พูดไปว่าชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่มีเชื้อสายขุนนาง เขาอยากแต่งงานด้วย แต่บรรดาเครือญาติเจ้ามณฑลไม่ยอมรับเธอในฐานะภรรยาของเขาแน่นอน แถมสาวเจ้ายังหนีหน้า

คำแนะนำที่ได้จากสาวใหญ่เป็นเรื่องธรรมดาสากลที่สุด...ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ตื๊อมากๆ เข้าผู้หญิงก็ใจอ่อนเอง และครอบครัวก็ใจอ่อนเอง แล้วเด็กหนุ่มก็ใช่จะหน้าตาไม่ดีและหัวไม่รั้นพอจะทำแบบนั้นเสียเมื่อไร

เป็นคำพูดที่รูอาร์คเคยเชื่อโดยไม่ตั้งคำถาม แต่ตอนนี้ไม่รู้จะเชื่อได้อีกหรือไม่

เรื่องนั้นเอง ที่ทำให้เขาเครียดบ้าบอมาจนถึงตอนนี้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจไปหาเพื่อนดื่มเหล้าคลายเครียด พูดคุยกับใครสักคนคลายเครียด จะได้สมองโล่งพอจัดการเรื่องช่วยท่านอาจารย์วัยเท่ากันแท้ๆ ทว่ากลายเป็นเขาดื่มจนเมาหลับไป ก่อนจะตื่นขึ้นมาด้วยอาการเมาค้าง แต่ยังเครียดไม่หายเสียอย่างนั้น

เสียงเปิดประตูไม้ ตามมาด้วยฝีเท้าของทหารจำนวนมากขัดความคิดของเด็กหนุ่ม เขาเงยหน้าขึ้น คิ้วเริ่มเลิกน้อยๆ เมื่อเห็นใครอีกคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ ซึ่งสวมชุดเกราะทหารธรรมดาๆ มากับทหารอีกห้าคน

รูอาร์คคงรีบหลบหน้าแล้ว หากอีกฝ่ายไม่สังเกตเห็นเขาก่อน กระนั้น ชายหนุ่มผู้เพิ่งเข้ามาก็เพียงแต่เดินนำทหารคนอื่นๆ ไปหยิบถาดมาตักอาหารเช้า แล้วก็แยกไปนั่งเป็นกลุ่มใหญ่ตรงโต๊ะที่ว่างอยู่

เด็กหนุ่มผมแดงหรี่ตามองชายคนนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ขณะที่อีกฝ่ายทำทีเป็นกินอาหารไปเรื่อยๆ โดยไม่แม้แต่จะสบตาหรือมองมาทางเขา รูอาร์คจึงลุกจากม้านั่ง หยิบถาดไปเก็บ แล้วออกไปนอกโรงอาหารในไม่ช้า

เป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ พอเหลือบมองในคอกม้าก็เห็นม้าเร็วเพิ่มอยู่ในนั้นอีกหกตัว นายด่านทำความเคารพอีกครั้งเมื่อเขาเดินเข้าไปหาพร้อมคำถาม

“ทหารที่เพิ่งเข้าไปอีกหกคนนั่นใคร”

“เอ้อ ทหารที่เมืองหลวงส่งมาช่วยราชการ แทนส่วนที่ขอไปดูแลด่านมณฑลหลวงกับชอร์ซาขอรับ”

“แล้วส่งมาจากไหน รู้ไหม”

“อือม์...รู้สึกจะเป็นฝ่ายเฝ้าคลังแสงขอรับ”

“เหรอ” รูอาร์คหรี่ตาลง

“...พวกเขา...ทำอะไรให้ท่านรูอาร์คไม่พอใจหรือขอรับ”

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่...เห็นหน้าคนหนึ่งในนั้นแล้วข้ากินข้าวไม่ลง เลยรีบหลบมาก่อน”

“หือม์?” นายด่านมีสีหน้าสงสัยเป็นที่สุด

“เอาเถอะ ไม่ใช่ความผิดเขาที่มีหน้าตาไม่ชวนเจริญอาหารต่อลูกชายเจ้ามณฑล อย่าไปพูดเรื่องนี้กับใครเลย”

“เอ้อ ข...ขอรับ”

เด็กหนุ่มเหลือบมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของอีกฝ่าย แล้วก็ตัดสินใจชี้ยอดหอคอยสังเกตการณ์ที่ก่อจากไม้

“เดี๋ยวข้าขอขึ้นไปสูดอากาศบนนั้นหน่อย ถ้าพอใจจะลงมาเอง แค่ปล่อยข้าไว้เงียบๆ ก็พอ”

“แต่เรื่ององครักษ์อารักขา...”

“ใครมันขึ้นไปหาข้า...จะเพราะอะไรก็เถอะ ข้าจะจับเหวี่ยงลงมาจากยอดหอคอย ก็เท่านั้น”

นายด่านค้อมศีรษะรับอย่างจนใจ รูอาร์คจึงก้าวยาวๆ ไปยังบันไดลิงปีนขึ้นหอ โดยได้ยินเสียง “ขอรับ” อ่อยๆ มาแว่วๆ

จากยอดบนนั้น เขามองเห็นรอบด้านได้ไกลพอดู แต่ยังไม่เห็นวี่แววของกลุ่มคนเดินทางผ่านแดนที่น่าจะเป็นอาจารย์กับยายเจ้าหญิงเปี๊ยก พ่วงด้วยเจ้ากะหลั่ว ซึ่งเขาสาบานว่าจะชำระแค้นกับมันให้พี่เฟลิมด้วยตนเอง มีก็แต่ขบวนสินค้าขนาดค่อนข้างใหญ่ ใกล้มาถึงด่านในไม่ช้า

เด็กหนุ่มผมแดงชักมีดสั้นออกส่องกับแสงแดดยามเช้า พลิกไปมาให้เกิดแสงสะท้อนบนใบมีดแทบพร่าตา ก่อนจะลดมันลงแล้วเก็บเข้าฝัก เมื่อเห็นคนขี่ม้านำหน้าขบวน ซึ่งคงเป็นคนคุ้มกันหยุดยืนม้าเงยมองอย่างสงสัย ก่อนจะกระตุ้นม้าให้เดินต่อ เมื่อไม่เห็นอะไรอีกหลังจากนั้น

น่าจะใช้ได้ คนข้างล่างมองขึ้นมาเห็น แล้วถ้าถอดรหัสไม่ออกว่าด่านนี้ไม่ปลอดภัยที่จะเข้ามา...ก็ไม่สมกับเป็นอาจารย์แน่ๆ ยิ่งไม่สมกับเป็นอาจารย์เข้าไปใหญ่ถ้าไม่สามารถหาทางอื่นเข้ายาร์ลาธได้นอกจากด่านนี้

รูอาร์คยืนเกาะระเบียงกั้น ผิวปากเป็นเพลงเบาๆ มองไปทางโน้นที ทางนี้ที ราวกับกำลังชมนกชมไม้อย่างสบายอารมณ์

ต่อให้ราชองครักษ์ดูลัสในคราบทหารธรรมดาๆ จะเงยมองเขาบนยอดหอสังเกตการณ์อย่างระแวดระวังอยู่เป็นครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินจากไปกับทหารคนอื่นๆ จาก ‘คลังแสง’ ก็ตาม...

* * * * *

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 22:05:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com