๐๐ ... กมโลภิกขุ..ชายหนุ่มผู้บวชเป็นพระ ... ๐๐ (บทที่ 8){แตกประเด็นจาก W9514013}
|
|
.
บทที่ 8
พ้นจากผีหัวโล้นมาได้ผมไม่วายนอนผวา..ทั้งคืนแว่วได้ยินเสียงผีเด็กร้อง พะ..พะ..สลับกับเสียง เพี๊ยะ...อุดหูก็แล้ว แผ่เมตตาก็แล้วเสียงนั้นยังดังมาเป็นระยะจนผมหลับไป
วันรุ่งขึ้นขณะญาติโยมเข้าแสดงมุทิตาจิตต่อหลวงตาใบ ผมหลบไปนั่งท่าน้ำท้ายศาลา..ที่แท้ผีหัวโล้นคือหลวงพี่หลอ..พระรูปหนึ่งที่ไม่รู้ซัดเซพเนจรมาจากไหน ดูเหมือนท่านสติไม่ค่อยสมประกอบ ค่อนข้างอัปลักษณ์ด้วยทุนที่ติดตัวมาแต่เกิดและความสำบุกสำบันแห่งโลกและความเสื่อมโทรมของสังขาร ท่านชอบลุกขึ้นมาหาอะไรกินตอนกลางคืน..อาหารที่เด็กวัดมาวางไว้ให้..บางทีก็เปลือยกายถอดจีวรออกซัก..ก็เสียง แครกๆ และผีกะโหลกชีเปลือยที่เห็นเมื่อคืน
ผมชักเห็นด้วยกับหลวงพี่อาจที่ว่าไม่มีผีในโลกนี้..จิตเรามักคอยหลอกตัวเองว่ามีผี เห็นผี..ก็เรื่องที่เล่าต่อๆ กันมา ภาพลวงตาของคนอื่นที่ได้ยิน..ความกลัวไม่เข้าใครออกใคร ถ้าขจัดเสียก็จะสัญจรไปมา คิดและทำอะไรได้โล่งโปร่งทุกสถานการณ์..คงมีน้อยคนที่ทำได้เช่นนั้น..ไม่ใช่นายนิดแน่
เสียงผีเด็กก็เช่นกัน อาจจะมาจากเด็กวัดคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะนายดำที่ไม่ค่อยชอบหน้าพระเดินหิ้วถุงโอเลี้ยง..แต่เสียงที่ได้ยินเหมือนจริงมากจนไม่อยากเชื่อว่าเกิดจากการแกล้งทำ
เช้านี้น้ำเปี่ยมฝั่งกว่าทุกวัน สันดอนลำกระโดงหายไปไม่มีปลาตีนให้ดูเล่นอย่างเมื่อวาน กอผักตบที่สุมค้างเติ่งอยู่ก็ถูกกระแสน้ำพัดลอยไป เผยให้เห็นทัศนียภาพชายฝั่งชัดเจน...เพิงริมน้ำหลังหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา..ผมเพิ่งสังเกตเห็นวันนี้เอง..บ้านเล็กๆ ห้องเดียว ระเบียงมีหลังคาคลุมยืนมาในน้ำเป็นเพิง ระเบียงนั้นมีลูกกรงไม้สูงระดับเอวล้อมรอบ
สังหรณ์บางอย่างบังคับให้ผมมองเพิงนั้นไม่วางตา..ต้นชมพู่ใหญ่ริมตลิ่งช่วยค้ำประคองบ้านหลังเล็กและเพิงไม่ให้ทรุดลง..กิ่งชมพู่กิ่งหนึ่งบังสายตาผมไว้...ขยับมุมจนได้จังหวะสายตาลอดลงไปจึงมองเห็น..ผมขนลุกซู่!..เชือกมนิลาเส้นหนึ่งล่ามมาจากในบ้านผ่านประตูที่เปิดโล่งอยู่..ปลายเชือกอีกด้านผูกอยู่กับ...ผมต้องขยับไปอีกมุมหนึ่ง
ใช่แล้ว!..นี้อย่างไร..เสียงผีเด็กที่ได้ยิน..ขาของเด็กชายคนหนึ่งผูกด้วยเชือกมนิลาที่ล่ามออกมาจากห้อง เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า นอนหลับอยู่ หลับเหมือนคนสิ้นสติ เนื้อตัวเต็มไปด้วยตุ่มแดง..เสียงตบยุงที่ได้ยินเมื่อคืน..ยุงแม่น้ำ..ผมขนลุกอีกครั้ง
พ่อแม่ของเด็กน้อยไปไหนปล่อยให้ลูกอยู่บ้านลำพัง ถ้าเชือกหลุดและเด็กปีนลูกกรงตกน้ำ..ไม่อยากคิดต่อ..พะ..พะ..เสียงเรียกของเด็กเมื่อคืน..เขาคงเรียกผม..คงไม่มีใครอยู่ด้วย คงกลัว หิว หนาว..ที่แน่ๆ คือขอความช่วยเหลือจากผม..พะ..พะ..ร้องเรียกทั้งคืน..อนิจจา..ใจผมหดเหลือนิดเดียว
ผมจะทำอย่างไรดี ถึงตอนนี้แน่ใจว่าเขาก็ยังต้องการความช่วยเหลือ...ทั้งๆ คิดอะไรไม่ออกผมผลุนผันกลับเข้าศาลา
โครม!.. ชนกับกำแพงวัดที่ออกมาพอดี
หลบอยู่นี่เอง..โยมเมื่อวานเขาอยากพบน่ะ หลวงพี่อาจคลำพุงที่ไม่มีวันยุบง่ายๆ
เดี๋ยวๆๆๆ..ดูนี่ก่อน ดึงมือเทอะทะไปที่มุมเมื่อครู่ นั่นๆๆ เสียงร้อนลน
อ้าว!..ฮะ..ฮะ.. หัวเราะร่วน เห็นบ้านซิ้มนึงแล้วหรือ..ว่าจะไว้เป็นความลับให้แปลกใจเสียหน่อย..ฮะ..ฮะ..
ไม่ใช่..ไม่ใช่.. เวลานี้ไม่ใช่เวลาอยากกินขนมกุ๋ยช่าย นั่นๆ
ทำไมจะไม่ใช่..ทำรู้ดีอีก..นี่ๆ.. หลวงพี่เผลอกุมหัวผมเขย่าๆ บ้านเพิงติดต้นชมพู่นั่นละบ้านซิ้มนึง
บ้านซิ้มนึง!.. แปลกใจซ้อนประหลาดใจ ห ล ว ง พี่ อ า จ ค รั บ เน้นคำหนักแน่น
อ า ร า ย ไม่ค่อยเลยหลวงพี่ผม
บ้านซิ้มนึงก็บ้านซิ้มนึง..หลวงพี่ช่วยมองดีๆ สิครับ แถวๆ ลูกกรงที่เชือกล่ามมาจากในบ้าน.. โน้มหัวหลวงพี่ก้มต่ำ มีเด็กนอนแก้ผ้าอยู่
หลานซิ้มนึง..เด็กปัญญาอ่อน.. เสียงเรียบๆ ก็เห็นอยู่นะ เวลาซิ้มไปขายของแกจะผูกขาหลานไว้..ทำไงได้อยู่กันสองคนยายหลาน
ตอนหัวค่ำที่หลวงพี่มาตามไปทำงาน ผมได้ยินเสียงเด็กคนนี้เรียก
เขาเรียกพระทุกรูปที่เห็นน่ะแหละ
ไม่ใช่แค่นั้น..เขาร้องเรียกทั้งคืน..พะ..พะ..ผมได้ยิน..นึกว่าเสียงผีเด็ก..ที่แท้..
ไหมล่ะ..หลวงพี่อาจบอกแล้วว่าไม่มีผี ใช้คำแทนตัวเองเต็มยศ..ผู้รู้จริง!
แสดงว่าเด็กไม่ได้เข้าบ้าน นอนตากยุงทั้งคืน..ซิ้มนึงไปไหน? กระตุกอังสะหลวงพี่
เออ..นั่นสิ..
หลวงพี่องอาจคะ.. โยมท่านหนึ่ง..บ้านบุญเมื่อวาน ออกมาจากศาลา ว่าจะมาตามท่านขาว..หายเงียบอยู่นี่เอง มาใหม่..ท่านขาว
ประทานโทษโยม พอดีพระสานิตย์มีเรื่องกวนจิตสำนึกบางอย่างต้องการคำชี้แนะจากอาตมา พูดเพราะจริงคุณองอาจ
ถ้าอย่างนั้น.. โยมตั้งท่าถอยกลับ
ไม่เป็นไรโยม.. ยกมือห้าม อบรมจิตเรียบร้อยแล้ว นั่น!
จะบอกพระสานิตย์ว่า.. ปากโยมพะงาบๆ ไม่มีเสียง
พระนิด! เสียงหลวงพี่เรียกผมออกจากภวังค์
ครับ! สะดุ้งในใจ..มัวแต่คิดถึงเรื่องเด็กน้อยปัญญาอ่อนที่ยังนอนรอความช่วยเหลือ
...อิฉันตั้งใจจะนำขนมกุ๋ยช่ายมาถวายเพลแต่รอเท่าไหร่ก็ไม่มาขายสักที
ยายแย้ม..ยายแย้ม.. โยมวัยเดียวกันกระหืดกระหอบมา ที่ให้ฉันรอซิ้มนึง..
มาแล้วหรือ ทันฉันเพลพอดี โยมแย้มหน้าชื่น
ซิ้มนึงถูกรถชนเมื่อเย็นวาน..ตายแล้ว
อ้าว!
โอ..
วินาทีต่อมาไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงน้ำเซาะตลิ่ง...เมื่อได้สติผมหันกลับไปมองบ้านหลังน้อย
หลวงพี่อาจครับ..ทำอะไรสักอย่างสิ โยมแย้มคิดว่าผมและหลวงพี่อาจยังแก้ปัญหาไม่ตกจึงขอตัวเข้าศาลาไป
เอ่อ..
ไปช่วยหลานซิ้มนึงเถอะ
เลยเขตวัดไปหน่อยมีทางแยกจากถนนคล้ายทางไปบิณฑบาต หลวงพี่อาจพาผมลัดเลาะเข้าไป ปากถามหาทางไปบ้านแม่ค้าขายขนมกุ๋ยช่าย เดินวกวนสักพักแม่น้ำจึงปรากฏให้เห็น
นั่นไงท่าน้ำท้ายศาลา.. ท่าน้ำอยู่สูงกว่ามองเห็นได้แต่ไกล ต้นชมพู.. ผมแทบจะวิ่งไปที่บ้านเล็กนั้น
ซิ้มนึงถูกรถชนตาย อาตมาและพระอีกรูปมาดูหลานของแก หลวงพี่อาจอธิบายให้โยมคนหนึ่งที่ซักถาม
ทันทีที่เปิดประตูบ้านกลิ่นอุจจาระปัสสาวะคลุ้งออกมา ผมเดินระวัง ข้ามขวดน้ำ ชามข้าวที่วางระเกะระกะ..เชือกมนิลาที่ผูกติดกับเสาบ้าน!
หลวงพี่อย่าตามออกไปนะ ไม่แน่ใจเพิงจะยุบหรือเปล่า.. ไม่ได้ตั้งใจล้อเลียนแต่ผมเป็นห่วงอย่างนั้นจริงๆ เชื่อผม
เออ!.. ตาคว่ำเหมือนค้อน
อย่าว่าแต่หลวงพี่อาจเลยแม้แต่ผมก็ต้องค่อยๆ ย่องไปบนพื้นยวบยาบของเพิง ตรงไปที่ร่างซีดเซียวนั้น..เขาไม่ใช่เด็กเล็กอย่างที่คิด สักสี่ห้าขวบแล้ว จึงรู้จักเรียก พะ รู้จักตบยุงและร้องขอความช่วยเหลือ
ผมแก้เชือกออกจากข้อเท้าแดงช้ำ อุ้มร่างร้อนฉ่าขึ้นอย่างง่ายดาย..เบากว่าที่คิด กลิ่นคาวไม่แพ้ในห้อง
ความรู้สึกอย่างหนึ่งบังเกิดขึ้น..ขนลุกซู่..ร่างสั่นสะท้าน..น้ำตาเอ่อซึม...เด็กเอ๋ย...
.
จากคุณ |
:
ดาเรน
|
เขียนเมื่อ |
:
วันภาษาไทยแห่งชาติ 53 20:42:53
|
|
|
|