Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทางของแอร์โฮสเตส ตอนที่3 รับปริญญา  

ต่อจากตอนเดิมตอนที่สองนะคะ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9504665/W9504665.html

รับปริญญา
“ชาติก่อน ฉันคงไปขัดเท้าใครไว้ ไม่ให้ได้สิ่งที่หวัง”

ก่อนรับปริญญาหนึ่งถึงสองอาทิตย์ เป็นข้อบังคับว่าบัณฑิตจะต้องร่วมเข้าพิธีซ้อมรับประกาศนียบัตรทั้งสองครั้ง โชคดีที่เธอมีลาพักร้อนช่วงนั้นพอดี จึงได้เข้าร่วมซ้อมทั้งสองรอบ

แต่แม้จะเข้าร่วมซ้อมทั้งสองรอบ เธอเองก็ยังใจตุ้มๆต่อมๆว่าจะบินกลับมารับปริญญาบัตรได้ในวันรับจริงหรือเปล่า แม้เธอจะกดรีเควสต์เลือกวันหยุดติดกันห้าวันในตารางบินเดือนหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าโชคจะเข้าข้างเธอหรือไม่

เธอไม่เลือกซื้อบัตรลูกเรือครึ่งราคาแต่ยอมจองตั๋วราคาเต็มในฐานะผู้โดยสาร เพื่อความแน่ใจว่าจะมีที่นั่งให้เธอบินกลับบ้านมารับปริญญาแน่ๆ

เธอเตรียมการทุกอย่างอย่างรอบคอบ วันหยุดขอแล้ว ตั๋วเครื่องบินซื้อแล้ว ขาดอย่างเดียว ไม่รู้ว่าตารางบินของเธอจะเป็นอย่างไร เธอจะได้วันหยุดเพื่อกลับไปรับปริญญาอย่างที่เธอขอไหม

ผลทายสลาก ออกดังนี้
วันที่4 ไฟล์ทไป-กลับ ริยาดห์
วันที่5-6 ไฟล์ทไป-กลับ เดลี
วันที่7-8 ไฟล์ทไปกลับ อิสตันบูล
วันที่9-14 หยุด

ถูกหวยเข้าแล้วเจ้านายเรา! ฮูเล่

เธอคิดเข้าข้างตัวเองว่าฟ้าคงประทานพรให้เธอได้กลับบ้านไปรับปริญญาสมใจ พร้อมบ่นเรื่องใบเซียมซีที่เสี่ยงมาจากวัดเมื่อตอนกลับบ้านไปซ้อมรับปริญญาเมื่อเดือนที่แล้วว่าไม่เห็นตรงเลย

ใบเซียมซีบอกไว้ว่า
“........ดั่งสำเภาน้อยร่องรอยในมหาสมุทร โดนคลื่นซัดโหมเข้าใส่
จะทำการหวังสิ่งใดได้ยากนัก อุปสรรคคอยขัดขวางไม่สมประสงค์ จงทำใจ….”

เมื่อตอนเสี่ยงได้ใบนี้ ดูเธอก็ไม่ค่อยจะสบายใจเท่าไร แต่ก็ยังคิดค้านอยู่ว่าจะไม่สมประสงค์ได้ยังไง ก็ในเมื่อเธอได้วันหยุดตามที่เธอขอแล้ว แถมตั๋วก็จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้วด้วย เซียมซีก็คือเซียมซี เชื่อถืออะไรไม่ได้หรอก เธอคิดปลอบตัวเองให้สบายใจ เพราะไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เธออดกลับมารับปริญญาได้เลย

“ชาติก่อน ฉันคงไปขัดเท้าใครไว้ ไม่ให้ได้สิ่งที่หวัง”
วันที่4 ไฟล์ทบินไป-กลับริยาดห์
เธอไปทำไฟล์ทตามปกติกับNIPPON ไฟล์ทนี้กระเป๋าเดินทางอย่างฉันไม่มีโอกาสได้ติดตามไปด้วย ซึ่งฉันก็โทษตัวเองอยู่ตลอดมา ว่าถ้าหากฉันได้ไปกับเจ้านาย ฉันจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้แน่นอน ฉันต้องหาวิธีอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องเธอ หรือแม้กระทั้ง เจ็บแทนเธอ!

ลางร้ายมันเริ่มตั้งแต่ในห้องประชุม ที่เธอไม่สามารถตอบคำถามเรื่องความปลอดภัยได้เลยสักข้อ แต่โชคยังช่วยที่หัวหน้าใจดีไม่รายงานเรื่องนี้ แต่เพียงเตือนให้กลับไปอ่านหนังสือทบทวนเท่านั้น เธอหน้าซีดไปเหมือนกัน NIPPON เล่าด้วยความเห็นใจ

เมื่อขึ้นไฟล์ท ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีตามปกติ แย่หน่อยก็ตรงที่ไฟล์ทนี้มีผู้โดยสารชราเยอะ จึงต้องใช้วีลแชร์หรือเก้าอี้เข็นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คุณตาคุณยาย

เครื่องขึ้นลงตามปกติ งานเป็นไปตามรูปแบบเดิม และเมื่อเครื่องจอด เธอจัดแจงเปิดตู้เก็บของเพื่อหยิบเสื้อผู้โดยสารที่ฝากเก็บไว้ไปคืน

ทันทีที่เธอเปิดตู้ออก เก้าอี้วีลแชร์หล่นล้มลงมาทับเท้าซ้ายของเธอ แม้จะไม่มีเสียงร้อง แต่NIPPONก็เห็นได้ชัดว่า สีหน้าของเธอแสดงอาการเจ็บปวดทรมานเป็นที่สุด เธอยังทนเก็บเก้าอี้กลับเข้าที่เดิมแล้วเดินอย่างระวังกลับไปที่นั่งลูกเรือ

คงเป็นความสะเพร่าของใครสักคน ที่นำเก้าอี้วีลแชร์ออกมาใช้แล้วไม่เก็บให้เรียบร้อย  เพียงแต่โยนทับของอื่นเอาไว้เท่านั้น เมื่อเจ้านายเธอเปิดตู้ออกมา วีลแชร์จึงหล่นใส่เท้าของเธอ

เธอยังทนยืนขอบคุณลูกค้า แต่ด้วยความปวดจนเท้าชา ก็ทำให้เธอต้องโทรเรียกลูกเรือคนอื่นมายืนตรงจุดนั้นแทน เธอเจ็บจนน้ำตาไหล

มันไม่ใช่การร้องไห้ แต่คือความเจ็บ เจ็บจนน้ำตาไหล เธอไม่ได้เศร้า ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้ขี้แง แต่เท้าเธอบวมและชา เมื่อถอดรองเท้าออกมาดู จึงเห็นได้ชัดว่า ตรงกลางเท้ากลายเป็นสีม่วงอมเขียวไปแล้ว เธอลงเท้าไม่ได้เลย จนหัวหน้าต้องพยุงเธอลงเครื่อง ลูกเรือคนอื่นก็ช่วยยกNIPPONแทนให้ หัวหน้าเขียนรายงานอุบัติเหตุส่งผู้จัดการเธอและยื่นหนังสือส่งตัวเธอเข้าตรวจในวันรุ่งขึ้น

เช้าวันรุ่งขึ้น
จอยช่วยพาเธอไปหาหมอ เพราะตอนนี้เท้าของเจ้านายบวมมาก เดินแทบไม่ได้ เพื่อนในถิ่นต่างแดนก็เปรียบเสมือนครอบครัวที่เมื่อยามเจ็บป่วย เราจะยังคอยดูแลกันและกันเสมอ

ผลออกมาคือเธอต้องเอ็กซ์เรย์เท้า เพื่อตรวจว่ามีกระดูกส่วนไหนหักหรือไม่ และต้องหยุดพักจนกว่าหมอจะบอกว่าหายดีพร้อมบินได้
เจ้านายถามหมอเรื่องวันหยุดของเธอที่จะกลับไปรับปริญญา และแล้วหมอก็แจ้งข่าวร้ายกับเธอ

“หนูจะบินออกนอกประเทศไม่ได้จนกว่าหมอจะพิจารณาแล้วว่าเท้าหนูไม่เป็นอะไรนะจ้ะ มันเป็นกฎของทางสายการบิน ถ้าหนูยังฝืนแอบกลับบ้านละก็ หมอคิดว่าหนูอาจจะมีเรื่องต้องคุยกับผู้จัดการหนูภายหลังแน่นอน”

เธอทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง แล้วหมอก็สั่งยาให้พร้อมนัดให้เธอกลับไปฟังผลอีกทีวันที่8 ก่อนกำหนดการบินกลับเพียง1วันเท่านั้น

เมื่อกลับมาที่ห้อง ฉันเห็นเธอนั่งครุ่นคิดอยู่นาน เธอรีบโทรหาที่บ้านเล่าเรื่องราวทั้งหมด เล่าไปก็สติแตกไป ร้องไห้ฟูมฟายว่าเธอคงอดรับปริญญาแล้ว ฉันฟังแล้วก็อดเป็นห่วงทางบ้านเธอไม่ได้ ป่านนี้คงเป็นห่วงลูกสาวกันใหญ่แล้ว แถมนี่เธอยังโทรไปร้องไห้ไปอีก หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่คงมีแต่จะเป็นห่วงแต่ช่วยอะไรไม่ได้

“สงบสตินะลูก ตอนนี้เราอยู่คนละประเทศ พ่อแม่ไม่สามารถช่วยลูกได้เลย
เพราะฉะนั้นลูกต้องสงบสติก่อน โอเคนะ เราลองเข้าไปคุยกับผู้จัดการเราอีกที
พ่อแม่ก็ไม่รู้ระบบสายการบินลูก แต่เราต้องมีสติ ค่อยๆทำไปทีละจุด อย่าตื่นตระหนก
พ่อและแม่เป็นกำลังใจให้ แล้วมีอะไรโทรมารายงานเป็นระยะๆนะ พ่อแม่เป็นห่วง ”

หลังจากได้รับคำแนะนำจากแม่ เธอจึงค่อยคุมสติได้ เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กโดนตีไม่มีผิด ฉันไม่เคยเห็นเธอร้องไห้สติแตกแบบนี้มาก่อน สงสารก็สงสาร ถ้าเพียงฉันมือมือละก็ ฉันจะจูงมือเจ้านายไปคุยกับผู้จัดการเองเลย แล้วถ้าฉันมีปาก ฉันจะพูดกับผู้จัดการให้อนุญาตเจ้านายได้บินกลับมารับปริญญาด้วย ฉันจะดูแลเธอและปกป้องเจ้านายด้วยตัวเอง

แต่สิ่งที่ฉันมี ก็คือล้อ หูจับ และตัวกระเป๋าเท่านั้น ฉันช่วยอะไรเจ้านายไม่ได้เลย ทำได้แต่เพียงมองดูเธอร้องไห้ก็เท่านั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันและNIPPONนั่งร้องไห้กันอยู่สองใบตามเจ้านาย อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทึบๆ
..
……
………….
วันต่อมา แม้เท้าจะยังไม่หาย แต่ก็ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ที่ไม่ดีขึ้น ก็คือเจ้านายของเรานั่นเอง เธอยังคงกังวลไม่เป็นอันหลับนอน กังวลว่าเท้าของเธอจะหายไม่ทันวันรับปริญญา ที่สำคัญคือกังวลว่าหมอจะไม่อนุญาตให้เธอบินกลับบ้าน

เธอตัดสินใจเปลี่ยนเที่ยวบิน เลื่อนออกไปหนึ่งวัน เพื่อว่าบางทีเท้าเธออาจจะหายทันถ้าให้เวลาพักฟื้นเพิ่มอีก1วัน
วันรับปริญญา คือวันที่10 ถ้าเปลี่ยนเที่ยวบินจากเดิมวันที่8ตอนกลางคืนเป็นวันที่9ตอนเย็นแทน กลับไปก็อาจจะยังทันรับในวันที่10

เธอจัดแจงโทรเปลี่ยนไฟล์ท ฉันเองก็เห็นว่าเธอคงเริ่มจัดการอย่างผู้ใหญ่ได้แล้ว อย่างน้อยเธอกู้ว่าต้องทำอะไรบ้างเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด แต่ยังไม่ทันไร เธอก็สติแตกร้องไห้โฮอีกแล้ว เธอทั้งโกรธ และร้องไห้ไปด้วย

เจ้าหน้าที่เปลี่ยนไฟล์ทให้เธอผิดวัน และเมื่อจะเปลี่ยนกลับเป็นวันเดิม มันกลายเป็นว่าตั๋วคอนเฟิร์มของเธอจะกลายเป็นตั๋วสแตนบายไปแทน นั่นเท่ากับว่าตอนที่เจ้าหน้าที่เปลี่ยนวันให้เธอ(ผิด)นั้น มันหมายถึงเธอสละสิทธิ์ที่นั่งคอนเฟิร์มของเธอให้กับผู้โดยสารคนอื่นที่รอเสียบแทนเธออยู่ หากเธอยังยืนยันต้องการเปลี่ยนเป็นวันเดิม เธอก็ต้องไปต่อแถวรอคิวเป็น10 ภาวนาให้วันนั้นมีคนสละสิทธิเพื่อให้เธอได้ขึ้นไฟล์ทกลับบ้าน นึกสถาพแล้วก็เหมือนตัวตายตัวแทนยังไงไม่รู้

เธอร้องไห้ไม่ได้สติ โทรกลับหาพ่อแม่อีกรอบ คราวนี้สติแตกกว่าเก่า โทรคุยไม่ทันไรก็วาง เพราะไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไง ตอนนี้เธอเหมือนคนบ้าที่เอาแต่ร้องไห้จนเสียสติ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วนี่จะไม่มีใครช่วยเธอได้เลยเหรอ ฉันของร้องละ พระเจ้า ช่วยส่งใครสักคนมาช่วยเจ้านายฉันที ฉันสัญญาจะตั้งใจทำงาน จะเป็นกระเป๋าที่อดทน ใครก็ได้ช่วยเจ้านายฉันที

เจ้านายโทรหาเพื่อนๆแต่ดูเหมือนไม่มีใครจะช่วยเธอได้เลย จนในที่สุด นางฟ้าก็ยื่นมือมาฉุดเธอขึ้นจากความทุกข์

นางฟ้าบีน่า
บีน่ามาหาเธอที่ห้อง ปลอบเธอ และแนะแนวทางเธอทุกอย่าง ปกติแล้วบีน่าดูเป็นคนเงียบๆ ไม่น่าเชื่อว่าพอมีสถานการณ์ยุ่งเหยิงเข้ามา เธอกลับกลายเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและแถบจะเรียกว่า เป็นคนจัดการเรื่องยุ่งๆให้เจ้านาย

“เอาอย่างนี้นะ หยุดร้องไห้ แล้วนั่งรถไปคุยเรื่องตั๋วกับที่สายการบินเลย ฉันจะพาเธอไปเอง” บีน่าพูดกับเจ้านาย

เจ้านายทำตามบีน่าทุกอย่าง ตอนนี้เธอเหมือนคนไร้สติที่จัดการอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีบีน่า ฉันเชื่อว่าป่านนี้เธอก็คงยังนั่งร้องไห้อยู่เช่นเดิม ขอบคุณนางฟ้าบีน่าที่คอยดูแลเธอแทนฉัน

บีน่าเรียกรถแท็กซี่ ระหว่างทางเจ้านายก็ร้องไห้ตลอด คนขับแท็กซี่ถึงกับต้องเปิดเพลงประจำชาติให้หายเศร้าทีเดียว แต่เหมือนว่าจะไม่ได้ผล เธอยังคงร้องไห้ต่อไป

เมื่อถึงตึกสายการบิน บีน่าและเจ้านายขึ้นไปคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อปรึกษาเรื่องตั๋ว
ตั๋วเจ้าปัญหาที่เจ้านายซื้อนั้นเป็นของสายการบินอื่น เธอตัดสินใจเลื่อนตั๋วนั้นไว้ใช้ในโอกาสอื่นแทน เพราะรู้ดีว่าหากใช้งานนี้ไม่มีโอกาสได้กลับไปรับปริญญาทันแน่ๆ เธอจึงต้องหันกลับมาพึ่งตั๋วสายการบินของเธอ

แต่แล้ว เธอก็ร้องไห้โฮอีกครั้งเมื่อนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ไม่ถึงนาที เจ้าหน้าที่ท่านนั้นถึงกับตกใจว่าทำไมเจ้านายร้องไห้เอาดื้อๆ ทั้งที่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเจ้านายเลย

บีน่าซึ่งนั่งรออยู่ใกล้ๆรีบเดินเข้ามาเคลียร์ปัญหาให้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ตั๋วลูกเรือที่เธอสามารถใช้สิทธินั้นหมดอายุไปแล้ว
“โอ๊ะ เดี๋ยวนะคะ ยังไม่หมดคะๆ ขออภัยคะดิฉันดูผิด คุณยังใช้ตั๋วได้นะคะ” เจ้าหน้าที่รีบเชคให้อีกรอบ
เจ้านายหยุดร้องไห้ สีหน้าเธอดูมีความหวัง และแล้วเธอก็ยิ้มแก้มปริ หันไปดีใจกับบีน่า และทำการขอบคุณเจ้าหน้าที่ยกใหญ่ เจ้าหน้าที่คนนี้ก็จริงๆเลย แกล้งกันให้ตกใจเล่นรึเปล่าเนี่ย

สุดท้าย เมื่อกลับไปเชคผลเอ็กซ์เรย์เท้าอีกรอบ คุณหมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง กลับบ้านไปรับปริญญาได้เลย เย้!!!!

เธอรีบจัดกระเป๋า ใบหน้าเธอดูอิดโรยสุดขีดเนื่องจากอดนอนเพราะความกังวลมาหลายวัน ตาบวมเพราะร้องไห้ ส่วนขาก็ยังเจ็บอยู่แม้หมอจะบอกว่าไม่น่าเป็นห่วงก็เถอะ

--งานนี้นางฟ้าคือ บีน่า—

เธอได้บินกลับบ้านแล้ว เรื่องทุกอย่างดูเหมือนจบลงด้วยดี
แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด
เพราะใบเซียมซีแผ่นนั้น ยังคงทำงานตามผลทำนายของมันอยู่

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

จากคุณ : Ankhesenpaaten
เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 53 01:23:12




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com