Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พระอาทิตย์สีส้ม …ลั่นทมสีขาว กับ ..อีกเรื่องราวที่ไม่ลืมเลือน  

ผมมานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จำไม่ได้   รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ลูกบอลลูกหนึ่งกระเด็นมาอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าผมแล้วค่อยๆกลิ้งตกลงไปบนพื้น    มันกระดอนอยู่ตรงนั้นสองสามทีก่อนที่เด็กนักเรียนคนหนึ่งจะวิ่งมาเก็บ

“ ขอโทษครับอาจารย์ ”   เจ้าหนูนั่นก้มหัวกล่าวคำขอโทษ แววตาสำนึกผิดนั่นทำให้ผมอดนึกสงสารไม่ได้  ผมพยักหน้าเบาๆแล้วยิ้มให้แทนคำพูดว่าไม่เป็นไร  

ผมมองคล้อยหลังตามเจ้าหนูนั่นวิ่งกลับไปหาเพื่อนๆที่สนามฟุตบอล    แต่กลับเห็นเป็นตัวผมในวัยเด็กกับเพื่อนซี้ในสมัยนั้นขึ้นมาแทน  
มันเป็นภาพซ้อนทับของอดีตอันเลือนราง
 
…ทว่าบางครั้งก็เด่นชัดขึ้นมาจนผมอดนึกไม่ได้ว่ามันเมื่อวานนี้    ชัดเสียจนผมยังแว่วเสียงนกหวีดดังมาจากในห้วงคำนึง

……………

เพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้แค่อาทิตย์เดียว  …แต่ทำไมผมถึงได้คุ้นเคยกับมันนักเหรอ  
ก็เพราะว่าโรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนเก่าของผม  ผมเรียนที่นี่มาตั้งแต่สมัย ป.1 จนถึง ม.3  

ผมได้นัดเพื่อนเก่าสมัยเรียนมาเจอกันที่นี่ในวันนี้   เพื่อมารำลึกความหลังครั้งก่อนเก่า  
ก็เพื่อน ม.3/6  กลุ่มนี้แหละที่ผมสนิทที่สุด    และผมก็มักจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการนัดมาเจอกัน  
แต่ด้วยความสับสนวุ่นวายของชีวิตในโลกของผู้ใหญ่      
ทำให้นัดเจอกันทีไรไม่เคยสำเร็จซะที  ล่มตลอด
เดี๋ยวคนนู้นไม่ว่างบ้าง  เดี๋ยวคนนี้มีธุระด่วนบ้าง  เลยไม่เคยได้มาเจอกันพร้อมหน้ากันซักครั้ง
แต่ผมก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
……..

วันนี้  เป็นวันศุกร์กลางเดือนที่พวกเรา 5 คน ตกลงกันไว้ล่วงหน้าเดือนนึงแล้วว่า จะต้องมาเจอกันให้ได้
ยังไงนัดคราวนี้….ไม่มีล่มแน่นอน

แต่แล้ว..ก่อนถึงวันนัดอาทิตย์นึง  ไอ้ชัย ก็โทรมาแคนเซิ่ล เพราะต้องบินไปสิงคโปร์
ผมแอบเซ็งเล็กน้อย….แต่ก็เอาเหอะมันก็เป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆนี่นา
ต่อมาวันพฤหัสก่อนวันนัดหนึ่งวัน  ไอ้วิทก็โทรมาอีก   บอกว่าอาจจะไปไม่ได้ เพราะมีประชุม อาจจะเลิกดึกหน่อย

……เอาอีกแล้วเหรอวะเนี่ย  มาอีหรอบนี้อีกแล้ว!

“  กริ๊งงง  กริ๊งงง ”  เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น   ผมรีบกดรับทันที
“ ฮัลโหล ”
“ ฮัลโหล   ไอ้ทีเหรอ ”
“ เออ มีอะไรวะ? ”

“ คือตะกี๊ ข้าโทรหา..ไอ้เลิศแล้วนะ ”
“ แล้วว…”
 เสียงมันดูแผ่วๆลงไป
“ คือ…..มันบอกว่า มาไม่ได้ว่ะ   คือว่ามันต้องไป… ”
“ เออๆ ไม่เป็นไร…ข้าเข้าใจ ” ผมพูดตัดบทไป
มันคงจะจับความรู้สึกเศร้าๆในน้ำเสียงผมได้  เลยปลอบผมว่า
“ เฮ้ยย!  ไม่เป็นไรน่าไอ้ที  ไว้คราวหน้าค่อยนัดเจอกันใหม่ก็ได้ ”
“ เออ …มันก็คราวหน้าหลายคราวแล้วล่ะว่ะ”  ผมเผลอพูดตัดพ้อออกไป
“ เอาน่า ไอ้ที..  อย่างน้อยๆเราก็ยังไม่ตายจากกันไปซะหน่อยว่ะ   ”  มันว่า   “…ยังไงมันก็ต้องมีซักวันสิน่า  ที่เราจะได้มีโอกาสมาเจอกันพร้อมหน้าอย่างแต่ก่อน  ”
“ เออขอบใจเว้ย  ….งั้นแค่นี้นะ  ”
“ เออๆ  ไม่ต้องคิดมากนะไอ้ที ”

…มันวางไปแล้ว   ผมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง   พลางนั่งเหม่อมองออกไปข้างนอก

ท้องฟ้ายามนี้ ค่อยๆแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้มแกมทอง   พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงมาจนอยู่ระหว่างช่องว่างของอาคารเรียนใหม่กับอาคารเรียนเก่า  แสงของมันสาดสะท้อนกับหน้าต่างตึก  เห็นเป็นแฉกๆ คล้ายหอยเม่นสีส้มตัวใหญ่เกาะหนึบอยู่บนหน้าต่าง      

ผมจำได้เมื่อสมัยเด็กๆ ผมไม่ชอบพระอาทิตย์แบบนี้เลย ให้ตายสิ  ….มันเหมือนกับว่า  มันกำลังฉุดทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ลงไปพร้อมกันกับมัน  
ในตอนนั้นผมกลัวเหลือเกินว่า พอพระอาทิตย์ขึ้นมาอีกครั้ง….ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิม

ตอนหลังผมถึงมาเข้าใจว่า   มันไม่ใช่เพราะพระอาทิตย์หรอก….

……ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปรไป     ตามเงื่อนไขแห่งความเป็นไปของเวลา  

สนามคอนกรีตกลางแจ้ง  ที่ผมและเพื่อนเคยยืนตากแดดเข้าแถวรอเคารพธงชาติ  ถูกแทนที่ด้วยโครงหลังคาเหล็กขนาดใหญ่
อาคารไม้สามชั้นหลังเก่าที่ผมเคยเรียนถูกรื้อออก  และแทนที่ด้วยตึกรูปทรงทันสมัยสูงหกชั้น  
แปลงสวนครัวด้านหลังโรงเรียนที่เคยมาเพาะถั่วเขียวก็ถูกแปรสภาพกลายเป็นที่จอดรถไปซะหมด  

กระทั่งลานม้าหินที่ผมนั่งอยู่นี่  ก็ถูกเปลี่ยนเอาของใหม่ที่ดู‘เข้ากับยุคสมัย’  มาแทนที่ทั้งหมด
…แต่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น   ก็ยังมีบางอย่างที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ต้นลั่นทมสองต้นที่ยืนต้นแผ่กิ่งก้านสาขาอวดโฉมอยู่ริมบ่อบัวเล็กๆที่เร้นตัวอยู่ในหลืบ ระหว่างแถวม้าหิน  

..……มันเป็นเหมือนกับส่วนเสี้ยวของความอดีตที่แฝงเร้นอยู่ในซอกหลืบของปัจจุบัน………..

ที่ตรงนี้   หากเป็นคนเดินผ่านมาผ่านไปอาจมองข้ามไป ไม่เห็น   เนื่องจากแนวต้นไม้บังจนมิด
แต่เป็นที่ประจำที่ผมและเพื่อนๆ  จะชอบมาจับจองที่นั่งช่วงตอนเย็นหลังเลิกเรียน  เพื่อคุยกัน  ทำการบ้าน  เล่นหมากรุก
เล่นตบแปะ หรือแม้แต่นั่งนินทาเพื่อนๆ    

ผมเดินไปนั่งที่ม้าหิน  หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพแห่งความทรงจำสุดท้าย  ที่ยังคงหลงเหลือในปัจจุบัน
ได้ยินมาว่าภายใน 2-3 เดือนหน้าจะมีการ ‘ปรับปรุงทัศนียภาพ’ ของสวนม้าหินแห่งนี้อีกครั้ง
…ถึงตอนนั้น ‘ที่ประจำ’ ของพวกผม  จะยังคงอยู่รอดต่อไปหรือไม่   ก็สุดจะคาดเดา

 
ดอกลั่นทมสีขาวดอกหนึ่งปลิวโปรย  ร่วงลงสู่ผืนน้ำอย่างช้าๆ  พอกระทบผืนน้ำราบเรียบก็ก่อเกิดเป็นวงระลอกคลื่นแผ่ออกไป…

ผมมองดูน้ำที่เต้นไหวยิบยับสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น  เป็นเส้นริ้วสีทองสวยงาม  ….,มันค่อยๆเต้นช้าลงๆ เรื่อยๆ
แล้วค่อยๆผสานตัวคืนกลับมากลายเป็นภาพใบหน้าผมสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ
….ในขณะที่ความทรงจำบางอย่างของผมก็ดูเหมือนว่า จะผสานคืนกลับมาเช่นกัน

ความทรงจำ…เรื่อง ‘เธอ’
………………….…

เธอชื่อ ดาริกา…..ชื่อเล่นชื่อดาว   เป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกับผมที่สุดสมัยเรียนประถม ….เธอชอบดอกลั่นทมมากๆ   และมีเอกลักษณ์ประจำตัวคือชอบเก็บดอกลั่นทมมาร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอเสมอ  

….ดาวไม่ได้เป็นคนหน้าตาดี    แต่เธอเป็นคนน่ารัก ร่าเริง  เวลาพูดคุยกับใคร ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา   ครูมักจะชมอยู่เสมอว่า  ดาวเป็นคนยิ้มพิมพ์ใจ     ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พูดคุยกับเธอ  ก็จะตกหลงเสน่ห์ได้โดยไม่ยากนัก

ถึงแม้เธอจะเป็นคนที่ค่อนข้างจะ‘ป๊อบปูล่า’ในกลุ่มเพื่อนฝูง    แต่เธอก็ชอบที่จะมาคุยเล่นคลุกคลีกับผม  ไม่ว่าผมไปไหนมาไหน  เธอก็มักจะชอบตามผมมาตลอด   เธอชอบให้ผมอ่านหนังสือให้ฟัง

เพื่อนๆในห้องชอบหาว่าผมกับเธอเป็นแฟนกัน   ผมเองก็ยอมรับว่าผมชอบเธอนะ   แต่ไม่รู้ว่าชอบแบบแฟนรึเปล่า?   ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักแบบหนุ่มสาวน่ะมันเป็นยังไง  
……
ผมหยิบดอกลั่นทมที่หล่นอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดม   เหม่อมองออกไปยังประตูรั้วหลังโรงเรียน        นึกถึงภาพเก่าๆที่เธอเคยแอบปีนรั้วเพื่อไปซื้อลูกชิ้นปิ้ง  ก๋วยเตี๋ยวผัดไท(ที่มีแต่เส้นกับถั่วงอก) หรือไอติมหลังโรงเรียน
มานั่งกินด้วยกันกับผมที่ม้าหินตัวนี้       ….สมัยนั้นจำได้ว่าคุณครูมักจะกำชับนักหนาว่าอย่าไปซื้อของพวกนี้มากิน  มันไม่ถูกหลักอนามัย   แต่ก็อย่างว่าน่ะแหละ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ    พักเที่ยงทีไรก็เห็นวิ่งกรูกันไปซื้อทุกที    จนตอนหลังเลยต้องปิดล็อกกลอนเอาไว้
(ซึ่งพวกที่จะอยากซื้อกิน ก็ปีนข้ามไปได้อยู่ดี)

ตั้งแต่จากกันตอนนั้น  เราก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย   เธอต้องย้ายไปเรียนม.ต้นที่ต่างจังหวัด    ส่วนผมก็สอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมได้
เราเคยเขียนจดหมายติดต่อกันเป็นระยะๆ  …แรกๆก็ทุกเดือน  ต่อมาก็เป็น สองสามเดือนครั้ง ..แล้วก็มาเป็นปีละครั้ง     จนมาถึงช่วงม.ปลาย ที่ต่างคนต่างยุ่งกับการสอบเอ็นทรานซ์    เราจึงขาดการติดต่อกันตั้งแต่ตอนนั้นมา

ถ้าถามว่าผมคิดถึงเธอมั้ย  …ผมว่าก็เฉยๆนะ  ถ้าไม่มีอะไรให้นึกถึงก็ไม่คิด
….กลายเป็น ‘ความทรงจำสีจางๆ’  …ที่คล้ายๆว่าจะเลือนหาย  แต่ก็ลืมไม่ได้ซักที  

ผมว่า  ความทรงจำของคนเรานี่เป็นสิ่งประหลาดนะ   เวลาเราจดจำอะไร ไม่รู้ว่ามันจะไปถูกบันทึกไว้ที่ส่วนไหนของสมอง  
…ในขณะสมองเรารับข้อมูลใหม่ๆเข้ามาทุกวัน  ความทรงจำเก่าๆเหล่านั้นก็น่าจะถูกลบ หรือถูกเขียนทับไปแล้วแท้ๆ
แต่พอมีอะไรมาสะกิดนิดหน่อย   …ความทรงจำเหล่านั้นก็จะค่อยถูกรื้อฟื้นกลับมาทีละนิดๆ   จนแจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง    

เหมือนกับตอนนี้ที่จู่ๆ     ผมก็นึกอะไรออกขึ้นมา
……ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลา    ก่อนที่เราจากกันตอนป.6   ผมกับเธอเคยเอา ‘กล่องสมบัติ’มาฝังแถวๆใต้โคนต้นลั่นทมนี่นา
เราตกลงกันว่าจะเอาของที่มีค่าของแต่ละคนใส่เอาไว้ในนี้   แล้วพอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเราก็จะขุดขึ้นมาดูกัน    
….ผมเหมือนเพิ่งจะได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเธอตอนนั้นอยู่เลย
“  เอาของมีค่าของเธอกับฉันมาใส่ไว้ในกล่องแล้วฝังไว้ตรงนี้นะที    แล้วเราก็จะขุดขึ้นมาดูเป็นผู้ใหญ่   ทีนี้เราก็จะได้เป็นเศรษฐีกันทั้งคู่เล้ยย!!  ”

….แต่จะว่าไปแล้ว   ผมก็จำไม่ได้จริงๆแฮะว่าตอนนั้นผมใส่อะไรลงไป

อา  ผมชักนึกสนุกขึ้นมาซี      

 …ว่าแล้วเดินไปที่ห้องผมก็เดินไปห้องเก็บพัสดุภัณท์   ซึ่งผมมีกุญแจสำรองอยู่อันหนึ่ง
ผมจัดการไขเข้าไป   ตรงไปยังส่วนที่เก็บอุปกรณ์การเกษตร  หยิบช้อนปลูกมาอันหนึ่ง  แล้วเดินกลับออกมา

‘ เอ...แต่นี่มันก็ผ่านมาหลายปีมากแล้ว  มันจะยังอยู่อีกเหรอเนี่ย     อาจจะมีใครมาขุดไปแล้วก็ได้มั้ง ’
ผมคิด  ขณะกำลังไขกุญแจปิดห้องพัสดุ
‘ แต่ก็ช่างมันเถอะ  …..ถือซะว่าลองดูเล่นๆ  ’


โชคดีที่วันนี้เป็นช่วงกลางเทอม  แถมเย็นแล้วด้วย   เด็กนักเรียนจึงไม่พลุกพล่านเท่าไหร่   (ไม่งั้นคงจะงงว่าครูเอาช้อนปลูกมาทำอะไร)
กลับมาถึงใต้ต้นลั่นทม   ผมมองซ้ายมองขวา   เห็นว่าไม่มีคน  ก็เลยเริ่มลงมือขุด
….ผมรู้สึกใจตัวเองเต้นตึกๆ    มันรู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกๆ       …..แอบรู้สึกขำตัวเองนิดๆ  ที่โตป่านนี้แล้ว แถมเป็นครูด้วย  ยังมานั่งทำอะไรอยู่แบบนี้   เด็กนักเรียนมาเห็นเข้าจะคิดยังไงเนี่ย

ขุดไปได้อยู่พักหนึ่ง  จนได้หลุมลึกประมาณสามนิ้วกว่าๆ   ……ก็ยังไม่ปรากฏวี่แววของ ‘กล่องสมบัติ’ นั่น
แล้วตอนฝังผมก็คงไม่ได้ขุดหลุมลึกขนาดนี้หรอกมั้ง?
 
ผมถอดใจ  …โกยดินที่ขุดออกมากลับไปถมที่หลุม    รู้สึกผิดหวังนิดๆที่ประตูสุดท้ายที่จะเชื่อมไปสู่อดีตของผม ได้ถูกปิดลงไปแล้ว

กำลังจะเงยหน้าขึ้นมาจากหลุม   ก็พอดีสายตาไปจับเข้าให้กับสิ่งหนึ่ง  ที่ทำให้ผมต้องขยี้ตาด้วยความงงงวย

…ภาพตรงหน้าผมคือ  …ดาวสมัยเด็กๆ ใส่ชุดนักเรียนดูคุ้นตา   กำลังเอี้ยวตัวมองหน้าผม  

ผมสั่นหัวอีกครั้งแล้วมองอีกที  กำลังคิดว่าผมคงตาฝาดไปแล้วแน่ๆ   ก็พอดีเสียงใสๆของเธอแทรกโสตประสาทเข้ามาซะก่อน
“ …มาขุดทำอะไรอยู่ตรงนี้เหรอคะ  ”

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 12:57:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com