ความคิดเห็นที่ 1 หลังจากเราดูค่าใช้จ่ายว่าพอสู้ไหวแล้ว .... เราก็ไปยื่นวีซ่ากันครับ • ขอวีซ่าที่สถานทูตญี่ปุ่น ...... สะดวก และ รวดเร็วจริงๆ   ถ้าคุณผู้อ่านมั่นใจในตนเองว่าจุดประสงค์ที่จะท่องเที่ยวญี่ปุ่นอย่างเดียว ไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่ว่าคุณจะนักศึกษา เป็นหญิงโสด เป็นหญิงแต่งงานแล้ว เป็นชายแท้ เป็นชายเทียม จะไปเที่ยวด้วยงบตัวเอง หรือ มีสปอนเซอร์จากเมืองไทย หรือ จากญี่ปุ่น  ฯ ก็ไม่ต้องกลัวว่าวีซ่าไม่ผ่าน ขอเพียงมีเอกสารตามที่สถานทูตกำหนดไว้ เพียงไม่กี่วันคุณผู้อ่านก็จะได้วีซ่าญี่ปุ่นประทับในพาสปอร์ตอย่างภาคภูมิใจ ผมขอยกตัวอย่างเอกสารสำหรับผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวแบบใช้งบตัวเองว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง 1. หนังสือเดินทาง (ในวันยื่นขอวีซ่ามีอายุใช้งานเหลืออย่างน้อย 6 เดือนและมีหน้าว่าง ที่ไม่มีตราประทับมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป หากมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า คุณผู้อ่านกรุณานำมาแสดงด้วย)   2. ใบคำร้องขอวีซ่า ( แบบฟอร์มของสถานฑูตฯ หรือพิมพ์มาจากโฮมเพจของสถานฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย )  1 ใบ   3. รูปถ่าย (ขนาด 2 x 2 นิ้ว สีหรือขาวดำ ที่มีพื้นหลังเป็นสีอ่อน ไม่มีลวดลาย ไม่มีการแต่งภาพถ่าย จะต้องเป็นรูปถ่ายที่ชัดเจนและถ่ายมาไม่เกิน 6 เดือน)  1 ใบ   4. แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่า สามารถกรอกได้ทั้ง ภาษาอังกฤษและ ภาษาไทย 5. ทะเบียนบ้าน  ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด 6.  สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารฉบับจริงและสำเนาทุกหน้า 1 ชุด ถ้าต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อด้ที่แผนกกงสุล สถานทูตญี่ปุ่น หมายเลขโทรศัพท์ 0-2207-8503 , 0-2696-3003   ส่วนคุณสมบัติในกรณีพิเศษ   เช่น ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบมีผู้อุปการะ หรือ ทำกิจการแบบทั้งจดและไม่ได้จดทะเบียนการค้า ฯ  ถ้าคุณผู้อ่านบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องลุ้นโพสหาคำตอบหรือขอความเห็นในเน็ตต่างๆ ว่าวีซ่าตนเองจะผ่านหรือไม่  เพราะไม่มีใครสามารถตอบได้ดีเท่าสถานทูต ฯ  ผมแนะนำว่าให้นำเอกสารที่ตนเองมีทั้งหมดไปที่สถานทูต ฯ ให้เขาตรวจเอกสารว่าใช้ได้หรือไม่  เขามีบริการตรวจเอกสารครับ .....เยี่ยมจริงๆ   หลังจากที่ยื่นเอกสารที่ครบถ้วน และถูกต้อง ทางสถานทูต ฯ จะออกใบนัดเพื่อไปรับเล่มคืน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 วัน เมื่อถึงกำหนดวันรับเล่ม คุณก็อ่านก็เพียงนำเงิน 1000 บาท พร้อมใบนัดไปชำระค่าธรรมเนียม แล้วรับพาสปอร์ตที่มีวีซ่าท่องเที่ยวญี่ปุ่นประทับตราอยู่ .....ช่างเป็นช่วงเวลาของความตื่นเต้นเพื่อเริ่มต้นวางแผนการเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้เป็นรูปเป็นร่างต่อไป จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 53 01:08:43

ความคิดเห็นที่ 2 • Japan Rail Pass  (JR Pass ) สุดคุ้ม JAPAN RAIL PASS หรือ "JR Pass "  เป็นบัตรที่ไว้ขึ้นพาหนะของบริษัท JR  ที่ได้กำหนดไว้ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถบัส หรือเรือ ในราคาพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะมาท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสามารถซื้อได้กับตัวแทนหรือบริษัท ฯ ท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทยที่ได้สิทธิ์ในการจำหน่าย Pass นี้   JR Pass  แบ่งเป็นสองประเภทของที่นั่งคือ : 1.GREEN   (สำหรับชั้น First Class Green Car) 2.ORDINARY  (สำหรับชั้น Tourist Class) สำหรับผมแนะนำคุณผู้อ่านว่า ซื้อแค่ ORDINARY  ก็สุดหรูแล้วครับ คุณสมบัติของผู้ซื้อบัตร JR Pass 1.ผู้ที่มิได้ถือสัญชาติญี่ปุ่นและมีวีซ่าประเทศญี่ปุ่นประเภทชั่วคราวเท่านั้น (TEMPORARY VISITOR) 2.ผู้ถือสัญชาติญี่ปุ่นที่สามารถซื้อ JR Pass  ได้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 2.1 พำนักอาศัย ณ ต่างประเทศเป็นการถาวร 2.2 สมรสกับชาวต่างชาติและพำนัก ณ ประเทศนั้นเป็นการถาวร เอกสารที่ต้องใช้ในการซื้อบัตร JR PASS 1. สำเนาหนังสือเดินทาง 2. สำเนาวีซ่าประเทศญี่ปุ่น ประเภทชั่วคราว (TEMPORARY VISITOR) ที่ทางสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยออกให้ ผู้ถือหนังสือเดินทางที่ได้รับการยกเว้นมิต้องขอวีซ่าประเทศญี่ปุ่น ให้ใช้สำเนาหนังสือเดินทางเท่านั้น ขั้นตอนและข้อจำกัดของการใช้บัตร JR PASS *เมื่อมีการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทฯ ตัวแทนจำหน่ายจะออกเอกสาร (Voucher ) สำหรับนำไปใช้แลกเปลี่ยนเป็นบัตร JR * เมื่อเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว ให้นำ Voucher ที่ทางบริษัทฯ ตัวแทนจำหน่าย ออกให้ไปใช้แลกเป็นบัตร JR Pass  ณ สถานีที่ทาง JR กำหนดไว้ (ไม่สามารถแลกได้ทุกสถานี ) พร้อมแสดงหนังสือเดินทางและวีซ่าประเภทชั่วคราวต่อเจ้าหน้าที่  (Voucher ที่ทางบริษัทฯ ต่างๆ ออกให้ ไม่สามารถนำไปใช้ได้ทันที ) * วันหมดอายุของตั๋ว JR Pass  จะขึ้นอยู่กับประเภทตั๋วที่ซื้อคือ 7 วัน 14 วัน และ 21 วัน โดยจะเริ่มนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้บริการตั๋ว JR และนับต่อเนื่องกันทุกวัน ถึงแม้วันนั้นจะไม่ได้ใช้  JR Pass  ก็ตาม * บัตรนี้สงวนสิทธิ์เฉพาะชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น * ตั๋วนี้ใช้ได้กับบริการของชิงคันเซ็นได้ ยกเว้น ขบวน NOZOMI * บัตรนี้ไม่สามารถซื้อได้ในประเทศญี่ปุ่น วิธีการซื้อ JR Pass ในประเทศไทย คุณผู้อ่านสนใจสามารถติดต่อซื้อได้โดยตรงกับตัวแทนจำหน่าย เช่น TV Air Booking หรือ World Surprise    เป็นต้น  ส่วนราคาซื้อขายจะซื้อกันเป็นเงินบาทขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละวันครับ ราคา JR Pass 7 วัน แบบ Ordinary  ราคา  28,300 เยน / 14 วัน ราคา  45,100 เยน / 21 วัน ราคา  57,700 เยน   นอกเหนือ JR Pass แบบที่ใช้เดินทางได้ทั่วทุกภูมิภาค ( Nationwide ) แล้ว สำหรับคุณผู้อ่านที่เดินทางเป็นโซนๆ เช่น Hokkaido, Tohoku, Kansai หรือ Kyushu  ก็สามารถซื้อ JR Pass  ของโซนนั้นๆ ได้ เช่น JR East, JR West เป็นต้น ซึ่งจะมีราคาตามจำนวนวันที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีตั๋ว JR Pass  พิเศษตามโปรโมชั่นในเทศกาลต่างๆ เช่น JR East Flexible ที่สามารถเดินทางแบบไม่ต้องใช้ต่อเนื่องติดต่อกันทุกวัน วิธีใช้  JR Pass ก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างไร ลองมาดูกันครับ 1. สำหรับรถไฟสายปกติ วิ่งรอบภายในเมืองต่างๆ เช่นโตเกียว โอซาก้า เซ็นได ฯ รถไฟสายด่วน และรถไฟชิงคังเซ็น ที่ไม่ได้จอง  เพียงเราแสดงบัตร JR Pass นี้ให้แก่เจ้าหน้าที่ก่อนเข้าชานชลา เจ้าหน้าที่ก็จะเปิดประตูด้านข้างให้ (เหมือนกับประตูของรถไฟฟ้า BTS ที่เปิดให้หญิงตั้งครรภ์เดินผ่านได้ ) จากนั้นเราก็ไปรอที่ชานชลาตามที่กำหนด สำหรับรถไฟภายใน เราก็ขั้นได้เลยเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา แต่ถ้าเป็นรถไฟสายด่วน หรือ ชิงคังเซ็น ก็ขึ้นขบวนที่เขาเขียนไว้ข้างตู้รถไฟว่า Non-Reserved   2. สำหรับรถไฟสายด่วน หรือ ชิงคังเซ็น ที่ต้องจองที่นั่ง  คุณผู้อ่านก็เพียงนำ JR Pass ใบเดิม ไปที่สำนักงานของ JR Office เพื่อทำการจองที่นั่ง วัน เวลา ฯ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะออกตั๋วใบเล็กๆ มาว่าคุณผู้อ่านได้จองรถขบวนอะไร เดินทางจากไหน ไปไหน วัน เวลา เมื่อไหร่ ตู้ที่เท่าไหร่ ที่นั่งหมายเลขอะไร ฯ  เมื่อเราขึ้นรถไฟ เราก็เดินหาที่นั่งของเราครับ  ซึ่งตั๋วใบเล็กๆ นี้เมื่อเจ้าหน้าที่ขอตรวจ ก็แสดงพร้อม JR Pass ครับ ซึ่งการจองที่นั่งไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด และสามารถจองล่วงหน้าข้ามวันได้ แต่ผมขอแนะนำนิดหน่อยก็คือ เมื่อคุณผู้อ่านต้องการยกเลิกเส้นทางที่จองไว้ ก็แวะไปบอกเจ้าหน้าที่ที่สำนักงาน JR ว่าขอยกเลิก ทาง JR จะได้นำที่นั่งไปจำหน่ายให้ผู้โดยสารท่านอื่นต่อไป   3. การใช้ JR Pass กับทางรถบัสของ  JR Bus  ซึ่งสามารถใช้ได้ไม่กี่แห่ง เช่นที่ JR Bus Tohoku ดังนั้นต้องถสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนว่าใช้ได้หรือเปล่าก่อนนะครับ   4. การใช้ JR Pass กับทางระบบเรือ ของ JR Boat  ก็เช่นกันว่าให้ถามเจ้าหน้าที่ก่อนว่าใช้ได้ที่ไหนบ้าง ยกตัวอย่างที่สามารถใช้ได้ก็คือ การข้ามไปยังเกาะ Miyajima  เพื่อไปชมศาลเจ้ามรดกโลก และ เสาโทริอิกลางทะเล ที่ Hiroshima  ครับ   JR Pass  จะมีประโยชน์และคุ้มค่ามาก ถ้าคุณผู้อ่านมีแผนการเที่ยวญี่ปุ่นข้ามโซน เช่นจาก Tokyo  มา Osaka  แค่ค่ารถไฟชิงคังเซ็นไปกลับราคา 17,020 เยน ก็ได้ JR Pass อายุ 7 วัน (28,300 เยน ) กว่าครึ่งใบแล้ว  แต่ถ้าเที่ยวแต่ในโตเกียวและรอบนอก ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ JR Pass  เลย เพราะที่ญี่ปุ่นนอกจาก JR Pass  แล้วยังมี Pass ที่แสนสะดวกและประหยัดให้คุณผู้อ่านได้เลือกใช้ได้อีกมากมาย จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 53 01:11:51

ความคิดเห็นที่ 3 • Pass  สุดฮิป นอกเหนือ  JR Pass   Pass  ที่จะกล่าวต่อไปก็คือ Pass ที่ใช้ในการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นตั๋วรถไฟ ตั๋วรถราง  ตั๋วรถบัส ตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆ เช่นการเดินทางไป Nikko  ชมมรดกโลก หรือเที่ยว Hakone ล่องเรือโจรสลัด กับชมภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งตั้งต้นจาก Tokyo เป็นต้น มีแบบทั้งใช้ได้ครั้งเดียวหรือรอบเดียว  และ ใช้ได้แบบไม่ต้องยั้ง  ภายในระยะเวลาและสถานที่ที่แต่ละ Pass  กำหนดไว้ นอกเหนือการใช้ JR Pass  แล้ว ยังจะมี Pass ตัวอื่นๆ จากหลากหลายบริษัท ฯ ที่จะะช่วยให้คุณผู้อ่านวางแผนการเที่ยวญี่ปุ่นได้คล่องตัวและประหยัดอีกเพิ่มขึ้นด้วย เรามาดูตัวอย่าง  Pass ต่างๆ จากภูมิภาค Hokkaido จนถึง ภูมิภาค Kyushu ที่เป็นยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ชาติอื่นๆ ด้วย) กันที่ลิงก์นี้กันเลยครับ   http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9532975/E9532975.html ถ้าคุณผู้อ่านสามารถนำ  Pass ต่างๆ ไปประยุกต์กับแผนเดินทางแล้ว ผมรับรองว่าทริปเที่ยวญี่ปุ่นของคุณผู้อ่าน จะเป็นทริปที่แสนสะดวกและประหยัดได้ดีจริงๆ   แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 53 01:18:53 จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 53 01:17:50

ความคิดเห็นที่ 4 •Search หาและจองที่พักกันดีกว่า หลังจากได้วีซ่ามาแล้ว สำหรับผมก่อนจะหาซื้อตั๋วเครื่องบินนั้น ผมจะหาที่พักก่อน เพราะตั๋วถ้าจองล่วงหน้าสัก 1-2 เดือนล่วงหน้า ยังมีโอกาสเลื่อนได้ แต่ถ้าซื้อตั๋วก่อน แล้วจองที่พัก ถ้าที่พักไม่ลงตัว หรือ เต็ม ตอนนี้แหละค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นมาทันที อาจต้องไปนอนที่แพงกว่าเดิม หรือ ไม่ก็ขยับวันเดินทาง เปลี่ยนตั๋วเครื่องบินให้วุ่นวายกันเลยทีเดียว การจองที่พักในญี่ปุ่นทางอินเตอร์เน็ตนั้น สามารถจองได้โดยตรงกับโรงแรม หรือ จองผ่านเอเย่นต์ก็ได้ ตามถนัด การจองโดยตรงกับโรงแรมจะดีอย่างก็คือ เราอุ่นใจได้ว่าเราได้ที่พักแน่นอน ไม่ต้องลุ้นว่าเอเย่นต์ลืมจองให้เราหรือเปล่า แต่ปัญหาในการจองโดยตรงสำหรับโรงแรมหรือที่พักบางแห่งก็คือ มีแต่ภาษาญี่ปุ่น ไม่มีภาษาอังกฤษเลย  ต้องให้เพื่อนที่ทราบภาษาญี่ปุ่นเป็นคนจองให้ ซึ่งบางครั้งเมื่อไปถึงที่พักแล้ว เรื่องการสื่อสารก็อาจสื่อกันไม่รู้เรื่อง ต้องพิมพ์เอกสารการ Confirm ห้องพักที่เมล์โต้ตอบระหว่างคุณผู้อ่านและทางโรงแรมไปด้วยนะครับ จะทำให้การ Check In ง่ายขึ้นมากครับ การชำระเงินในการจองห้องพักที่ญี่ปุ่น ส่วนมากจะไม่ค่อยมีเก็บเงินล่วงหน้ากัน ให้ไปจ่ายที่ญี่ปุ่นเลย ผมชอบระบบของญี่ปุ่นอยู่อย่างหนึ่งก้คือเขาให้เกียรติกันและกัน ทางที่พักจะขอเพียงเบอร์บัตรเครดิตของเรา เป็นการ Confirm ว่าคุณผู้อ่านจะเข้าพักแน่นอน  แต่ถ้าคุณผู้อ่านจองห้องพักแล้วไม่ไปพัก เขาก็จะหักเงินในการ No Show ของเราตามเงื่อนไขของแต่ละโรงแรมจากบัตรเครดิต  แต่ถ้าเรามีความจำเป็นจริงๆ ก็สามารถยกเลิกได้เช่กัน แต่ก็ต้องตามเงื่อนไขว่าคุณผู้อ่านได้ยกเลิกการเข้าพักล่วงหน้านานแค่ไหน     ที่พักของญี่ปุ่น แบ่งเป็นหลายระดับ มีตั้งแต่ห้องพักแคปซูล แบบพอซุกหัวได้ ซึ่งผมไม่ค่อยเห็นมีคนไทยใช้เท่าไหร่ และเวลาใครมาปรึกษาผมเรื่องนี้ ผมจะบอกว่าถ้าไปเที่ยวแล้วทรมาน อย่าไปเลยดีกว่าครับ รอให้พร้อมกว่านี้แล้วค่อยไป ถัดมาก็คือแบบหอพัก เรียวกัง และ โรงแรมสไตล์ตะวันตก ฯ   ถ้าคุณผู้อ่านชอบแบบโรงแรมสไตล์ตะวันตกทั่วไป ก็สามารถเลือกได้ทั่วไปเหมือนเราจองโรงแรมในไทยทั่วไป แต่ถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศแบบญี่ปุ่น ก็แนะนำให้พักเรียวกัง ที่เขาจะเอาฟูกมาปูบนเสื่อทาทามิ ให้เรานอน บางแห่งก็มีห้องสุขา และห้องน้ำในตัว บางแห่งก็ต้องใช้รวมกัน บางแห่งมีผ้าเช็ดตัวให้ บางให้ต้องพกไปเอง  แต่ขอบอกว่าที่ผมไปพักส่วนมากในญี่ปุ่นสะอาดและปลอดภัยครับ แถมยังได้เพื่อนใหม่ ๆ มามากมาย เพราะบางแห่งมีบรรยากาศเหมือนหอพักมหาวิทยาลัย เวลามานั่งเล่นกันที่ล๊อบบี้ ก็จะมาแนะนำตัวกัน บ้างก็แลกเปลี่ยนข้อมูลในการท่องเที่ยวกัน ทำให้บรรยกาศย้อนไปสมัยพวกเราเป็นนิสิตนักศึกษากัน ส่วนสนนราคาที่พักนั้นก็แล้วตามอัตภาพ ตามกำลังทรัพย์ ส่วนสำหรับผมจะเลือกช่วงราคาประมาณ 3000 เยน – 6000 เยน (1110-2220 บาท ) ซึ่งผมจองตรงกับโรงแรมผ่านทางอีเมล์ มีทั้งแบบเรียวกังและโรงแรมทั่วไป เป็นห้องเดี่ยว อุปกรณ์พร้อม บางแห่งก็ห้องน้ำส่วนตัว บางที่ก็ห้องน้ำรวม ลองมาดูตัวอย่างสักสามแห่งนะครับ (ราคาห้องเดี่ยว/คืน) 1. โรงแรมที่ Tokyo ***  Hotel  Suntagas  – มีห้องนอน พร้อม ห้องสุขาและห้องอาบน้ำส่วนตัว+ อาหารเช้า  ราคา 6500 เยน ( 2400 บาท  ) 2. โรงแรมที่ Sendai *** Toyoko Inn Sendai Higashi-guchi No.1 – มีห้องนอน ห้องสุขาและห้องอาบน้ำส่วนตัว + อาหารเช้า ราคา 5670 เยน ( 2100 บาท  ) 3. เรียวกังที่ Kyoto   – Matsubaya Ryokan – มีห้องนอนและ ห้องสุขาส่วนตัว แต่ห้องอาบน้ำส่วนกลาง ไม่มีอาหารเช้า ราคา 3800 เยน ( 1400 บาท  ) ข้อแนะนำในการจองที่พักที่ผมขอแชร์ประสบการณ์ในการเที่ยวญี่ปุ่นก็คือ ควรจองที่พักใกล้กับสถานีหลักของเมืองให้มากที่สุด เนื่องจากการเที่ยวญี่ปุ่นต้องใช้พลังงานเยอะ เดินเยอะ  บางครั้งทำให้เกิดการล้า และ เหนื่อย ถ้าที่พักห่างจากสถานีหลักไม่ว่าจะเป็น รถบัส  รถราง หรือ รถไฟ จะทำให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น เมื่อคุณผู้อ่านถูกใจโรงแรมที่หามาแล้ว ก็ลองกดคำว่า Access ซึ่งทุกเวปของโรงแรมญี่ปุ่นจะมีคำนี้ เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าโรงแรมตั้งอยู่ตรงไหน นอกจากคุณผู้อ่านมีประสบการณ์การเที่ยวแบบ Back Pack  อันนี้ก็เยี่ยมเลยไม่ว่าที่พักจะไกลแค่ไหน ก็คงไม่เหนื่อย   แต่สำหรับผมเป็นนักท่องเที่ยวแบบสัมภาระเยอะก็จะเลือกโรงแรมที่พักห่างจากสถานีหลักไม่อยู่ด้านหน้าเลย หรือไม่ก็เดินเพียง 3-5 นาที ถ้าไม่มีจริงๆ ก็คงต้องเลือกโรงแรมที่ไกลออกไป แต่ผมทำใจแล้วว่าต้องใช้บริการแท็กซี่ไปโรงแรมแน่นอน เพราะการเดินไกลๆ พร้อมลากกระเป๋าสัมภาระแล้วไปเดินหาโรงแรมที่เราไม่เคยมาพัก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อให้ถูกแค่ไหน แต่เดินทางลำบาก ผมขอยอมจ่ายแพงเพิ่มขึ้น แต่ขอเดินทางสะดวกครับ แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 53 01:28:30 จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 53 01:21:40

ความคิดเห็นที่ 5 • เริ่มเสาะหาตั๋วเครื่องบิน ตั๋วเครื่องบินที่คุณผู้อ่านจะเสาะหานั้น นอกจากโปรโมชั่นดีๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงเลยก็คือแผนการเที่ยวของคุณผู้อ่านนั้นเข้าและออกสนามบินไหน เช่น เข้าและออกสนามบิน Narita  หรือ เข้าทางสนามบิน Narita  แล้วออกที่สนามบิน Kansai  หรือ เข้าทางสนามบิน Nagoya  และ ออกที่สนามบิน Fukuoka   ซึ่งมันจะเกี่ยวพันกับสายการบินที่บินในรูทที่คุณผู้อ่านอยากเข้าและออกสนามบินนั้นๆ นอกจากมีสายการบินที่บินเข้าญี่ปุ่นโดยตรงแล้ว ยังมีสายการบินที่บินแวะ (Via) ตามเมืองต่างๆ เช่นสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค แวะที่ Hongkong  หรือสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ ที่แวะที่ Hanoi  ก่อนจะบินเข้าญี่ปุ่น คุณผู้อ่านก็ลองอ่านเงื่อนไข และ โปรโมชั่น ซึ่งอาจเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้คุณผู้อ่านได้ตั๋วราคาพิเศษ ถึงแม้ว่าอาจใช้เวลาเดินทางนานเพิ่มขึ้นบ้างครับ   **** พบกันใหม่พุธหน้า .... อาหารการกินที่ญี่ปุ่น อร่อย ถูก มีมากมาย จากคุณ : ติวเตอร์ตู่ (CEOTHAI42) เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 53 01:25:18

ความคิดเห็นที่ 6 หลงหูหลงตากระทู้นี้ไปได้ไงหนอเรา เข้ามาลงชื่อชมเช่นเคยค่ะ จากคุณ : Coaststarlight เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 53 01:38:23