ความคิดเห็นที่ 1 |
เช่นที่รับปากไว้กับอดีตเพื่อนร่วมงานสองสามีภรรยา การะเกดมาช่วยนาราดูแลน้องน้ำฝน ลูกสาวคนโตระหว่างที่ทิวากรออกไปจัดการเรื่องงานศพของน้ำค้าง ลูกสาวคนเล็ก ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ช่วงหกโมงเย็นจนเวลาล่วงเลยมาถึงสองทุ่ม เธอรับรู้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะความไม่คุ้นเคยระหว่างเธอกับสาวน้อยที่เพิ่งพบหน้าเป็นหนแรก หากเป็นความห่างเหิน หวาดหวั่นที่ยากจะหาเหตุผลมาอธิบายที่นารามีต่อลูกสาวคนแรก จนกระทั่ง เธอชวนน้ำฝนเล่น ดูโทรทัศน์โดยมีนารานั่งดูอยู่ห่าง ๆ บรรยากาศแปลก ๆ นั้นจึงค่อยคลี่คลายลง และเบาบางยิ่งขึ้นเมื่อเธอชวนแม่หนูน้อยไปนอน พร้อมสัญญาว่าจะเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง
เท่าที่รู้ นิทานแทบทุกเรื่องจบลงที่เจ้าชายกับเจ้าหญิงแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปตลอดกาล แต่น้ำฝนไม่ต้องการให้นิทานจบแค่นั้น ส่วนเธอก็ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะต้องมาแต่งนิทานก่อนนอนโดยไม่ทันเตรียมตัวมาก่อนอย่างนี้
“น้าเกด เล่าต่อนะค้า” เด็กหญิงอ้อนขอภาคต่อจากตอนจบของซินเดอเรลลา นิทานที่เธอเลือกมาจากบรรดานิทานคลาสสิกทั้งหลาย
ก่อนที่จะได้เรื่องนี้มา การเลือกนิทานธรรมดาดูจะไม่ง่ายสำหรับคนเลือก เพราะเจ้าหญิงนิทราที่เอาแต่นอนดูขี้เกียจเกินไป เรื่องที่เหลืออยู่ก็มีสโนว์ไวท์ซึ่งโชคดีกว่าเธอหลายเท่าที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกับคนแคระทั้งเจ็ดได้โดยไม่มีใครตำหนิถึงความไม่เหมาะสม แถมเจ้าชายยังใจกว้างพอที่จะมองข้ามเรื่องนั้นไปได้อีกต่างหาก กับเรื่องซินเดอเรลลา หญิงสาวธรรมดาที่ถึงจะถูกกลั่นแกล้ง แต่ก็มีงานทำเป็นชิ้นเป็นอัน และที่สำคัญไม่มีใครตายตอนจบ หากท้ายที่สุด เธอก็ถามเอาความสมัครใจจากคนฟัง และได้ผลสรุปออกมาเป็นเรื่องนี้
“หลังแต่งงานกับเจ้าชาย เจ้าชายไม่ให้ซินเดอเรลลาทำงานบ้าน เพราะเจ้าชายไม่อยากให้ซินเดอเรลลาเหนื่อย แต่ซินเดอเรลลาไม่ยิ้ม ไม่ไปงานเต้นรำเหมือนเมื่อก่อน เจ้าชายคิดว่าซินเดอเรลลาป่วย” หญิงสาวหยุดพักนิดหนึ่ง สังเกตดูว่าคนฟังที่เงียบไปหลับแล้วหรือยัง
แม้หนูน้อยจะเริ่มหาว หากทันทีที่สิ้นเสียงคนเล่า ก็ทำพยายามทำตาโตเพื่อบอกว่าอยากฟังต่อ และรีบตั้งคำถามขึ้นทันที “ซินเดอเรลลาเป็นอะไรคะ”
สิ่งที่อ่านปากออกทำให้หญิงสาวอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ทั้งที่เริ่มเห็นใจเจ้าของนิทานต้นฉบับที่ถูกเธอจำต้องด้นภาคต่ออย่างปัจจุบันทันด่วนเป็นนิทานก่อนนอนฉบับใหม่ตามคำขอของเด็กหญิงมากขึ้นทุกที
“ซินเดอเรลล่าไม่มีความสุขค่ะ” เธอตอบ แอบนึกในใจว่านี่เป็นนิทานฉบับกระทรวงสาธารณสุขชัด ๆ “ซินเดอเรลลาเบื่องานเต้นรำที่มีทุกวัน เพราะพองานเต้นรำเลิก ปราสาทมีแต่ขยะ มีจานให้ล้างเยอะแยะ คนทำความสะอาดของเจ้าชายต้องทำงานหนักทุกวัน ซินเดอเรลลาเลยอยากช่วยทำงานบ้าน เจ้าชายอยากให้ซินเดอเรลลามีความสุข เลยยอมให้ซินเดอเรลลาช่วยทำความสะอาดปราสาท”
“เจ้าชายช่วยซินเดอเรลลาทำงานบ้านด้วย เพราะเจ้าชายอยากให้ซินเดอเรลลามีความสุข ต่อมาทุกคนในปราสาทก็ช่วยซินเดอเรลลาทำงานบ้าน พอปราสาทสะอาด ทุกคนก็มีความสุข เมื่อประชาชนเห็นปราสาทจนสะอาด พระราชา พระราชินี เจ้าหญิง เจ้าชายมีความสุขก็ทำตามบ้าง ในที่สุด ทุกคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในเมืองแสนสะอาดตลอดไปค่ะ”
ดวงตาของสาวน้อยเริ่มหรี่ลงเพราะความง่วงหลังนิทานของเธอจบ หากยังมีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาอย่างถูกใจกับเรื่องที่เพิ่งฟังจบ “ปาป๊าเป็นเจ้าชาย”
คราวนี้เป็นฝ่ายคนเล่านิทานที่ต้องทำตาโตด้วยความประหลาดใจบ้าง
มือป้อม ๆ โผล่พ้นผ้าห่มขึ้นมาปิดปากหาวอีกหน “ปาป๊าทำงานบ้าน”
“ปาป๊าของน้องฝนเก่งจังเลย” เธอเอ่ยชม หากใจหนึ่งนึกสงสัยที่เด็กน้อยไม่ยอมพูดถึงแม่บ้าง “น้องฝนช่วยป่าป๊าทำงานบ้านอะไรบ้าง”
“น้องฝนช่วยปาป๊ากวาดบ้านค่ะ” วิธีการขยับปากที่ช้าลงและจับความยากขึ้น ดวงตากลมโตที่มีแพขนตายาวหนักจนลืมไม่ขึ้นทำให้คนเห็นรู้ว่าน้ำฝนกำลังจะหลับ “ปาป๊าบอก พี่ขิ่นทำไม่ไหว พี่ขิ่นเหนื่อย”
“น้องฝนก็เก่งค่ะ น้องฝนเป็นเด็กดีมากด้วย” การะเกดก้มลงหอมแก้มนุ่ม ๆ สีชมพูของสาวน้อยเบา ๆ “น้าเกดจะอยู่ตรงนี้ รอให้น้องฝนหลับนะคะ”
คนบนเตียงพยักหน้ารับ เงียบไปนิดหนึ่ง “น้าเกดขา...”
“จ๋า...” หญิงสาวเอียงศีรษะมองด้วยความสงสัย “ว่าไงคะ”
“น้าเกด หอมแก้มฝนอีกนะคะ... หม่ามี้ไม่เคยหอมแก้มฝน หม่ามี้ไม่สบาย หอมแก้มฝนไม่ได้”
คำตอบที่ได้รับจากแม่หนูทำให้เธอถึงกับสะอึก รู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ในอกจนพูดไม่ออก ก่อนก้มลงหอมแก้มและหน้าผากของอีกฝ่าย เอื้อมมือไปดึงสวิตช์โคมไฟสำหรับอ่านหนังสือปิด และตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งรู้ว่าน้ำตาไหลกำลังไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
เธอไม่แน่ใจว่าตนเองนั่งมองนางฟ้าตัวน้อยผู้นี้อยู่ในความมืดอยู่นานเท่าใด หากตลอดระยะเวลานั้น ความเวทนาได้เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเธอจนหนักอึ้ง ทั้งที่น้ำฝนมีผิวพรรณและเค้าหน้าที่ถอดพิมพ์มาจากนารา แต่เพราะเกิดขึ้นมาพร้อมกับปัญหาหลายอย่าง จึงไม่ได้รับสัมผัสและความรักที่ควรได้จากผู้เป็นแม่เท่านั้นหรือ
ถ้านึกเพียงเท่านี้และไม่รู้เรื่องความเจ็บป่วยที่แม่ของเด็กหญิงเผชิญ เธอคงนึกตำหนินาราอยู่บ้าง แต่สิ่งที่รับรู้ทำให้เธอเห็นใจทุกฝ่าย และอดเป็นห่วงสิ่งที่จะเกิดตามมาหลังจากคดีที่เกิดขึ้นสิ้นสุดลงไม่ได้
การขยับตัวเปลี่ยนท่าจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง ซุกหน้าเข้ากับหมอนข้างบอกให้ผู้เฝ้ามองรู้ว่าน้ำฝนหลับไปแล้ว และถึงเวลาที่เธอจะกลับลงไปหาเจ้าของบ้านที่ชั้นล่างเสียที
หญิงสาวใช้ปลายแขนเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่สวมอยู่เช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้ม สูดลมหายใจเข้า เตือนให้ตนเองทำตัวเป็นปกติ แต่ขณะเปิดประตูห้องนอนที่แง้มไว้น้อย ๆ เธอก็พบว่า นาราทรุดกายลงนั่งอยู่แทบพื้นข้างประตูห้อง ใช้มือทั้งสองปิดปากกันไม่ได้เสียงสะอื้นดังลอดออกมาได้ ใบหน้าแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก
“พี่แนน เกิดอะไรขึ้นคะ... ลุกขึ้นก่อนนะ เดี๋ยวเกดพาไปที่ห้อง” การะเกดตรงเข้าจับแขน พยุงอีกฝ่ายให้ยืนขึ้นอย่างยากลำบากด้วยคนที่เธอประคองอยู่เหมือนขาอ่อนแรงจนทรงตัวแทบไม่ไหว ทำให้เธอต้องกึ่งดึงกึ่งจูงฝ่ายนั้นไปที่ราวระเบียงชานพักบันไดซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เพื่อใช้เป็นที่จับยึดชั่วคราว
“ไม่... เกด ไม่ต้อง พี่ไม่ได้เป็นอะไร” นาราปฏิเสธ ริมฝีปากที่เริ่มสั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเธอใกล้จะร้องไห้อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอสามารถควบคุมสติตัวเองเอาไว้ได้สำเร็จ “ลงไปคุยกันข้างล่างเถอะ...”
หญิงสาวทั้งสองเดินลงบันไดลงไปชั้นล่าง และตรงไปยังห้องทำงานที่นาราและทิวากรใช้ร่วมกัน โดยด้านหนึ่งเป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์และชั้นหนังสือที่มีพจนานุกรมสารพัดชนิดไปจนถึงนิยายภาษาอังกฤษและเยอรมัน กับนิยายแปลฝีมือเจ้าของห้องอีกส่วนหนึ่ง ส่วนอีกด้านเป็นโต๊ะตั้งคอมพิวเตอร์แม็คอินทอช เม้าส์แท็บเล็ต สแกนเนอร์สำหรับงานกราฟิก และโต๊ะไฟสำหรับงานเขียนภาพของทิวากร
ระหว่างนั้น ไม่มีการสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้นด้วยนาราเองก็รู้ว่า คนที่เดินตามเธอมาไม่ได้ยินเสียงและไม่สามารถรับข้อความโดยไม่อ่านปากผู้พูดได้ หากเมื่อทั้งคู่เข้ามาอยู่ในห้องทำงาน เธอก็ยังไม่สามารถเริ่มต้นกล่าวในสิ่งที่อยากบอกเล่าให้ผู้ที่พร้อมจะอ่านปากเธอแล้วรู้ได้
“พี่แนนได้ยินที่น้องฝนพูดกับเกดใช่ไหมคะ” การะเกดทำลายความเงียบเป็นคนแรก และได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าช้า ๆ ใบหน้าซีดเซียวกลับกลายเป็นสีแดงก่ำอีกครั้ง
“ขอโทษนะ เกด... โอย พี่เกลียดตัวเองจัง ทำไมร้องไห้บ่อยแบบนี้” นักแปลสาวดึงทิชชูจากกล่องบนโต๊ะทำงานมาเช็ดน้ำตาที่จู่ ๆ ก็ไหลออกมาอีกอย่างหงุดหงิดใจ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เท้าแขนของตนเอง ขบริมฝีปาก เรียกสติให้อยู่กับตัว ทบทวนคำถามที่ได้ยินก่อนตอบเสียงเครือ “พี่ได้ยินที่เกดคุยกันฝนหมดแล้ว”
“พี่... พี่เป็นแม่... ที่ไม่เอาไหนเลย” คำพูดของเธอขาดห้วงไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นพรั่งพรูออกมาจนหญิงสาวอีกคนหนึ่งเกือบจับความไม่ทัน “พี่ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ให้นมลูกกับอกตัวเองพี่ก็ยังทำไม่ได้ พี่กลัวไปหมด ใจหนึ่งพี่อยากกอดเขา แต่อีกใจพี่ก็กลัวตัวเองทำเขาตาย ไม่อยากถูกตัวเขา ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง มีแต่ดิวทั้งนั้น ที่ทำทั้งงาน ทั้งเลี้ยงลูก ทำงานบ้านทำทุกอย่าง ทำจนพี่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะเป็นแม่คน เขาบอกพี่แล้วว่าอย่าคิดมาก แต่พี่หยุดตัวเองไม่ได้ ยิ่งพยายาม พี่ก็ยิ่งหมดหวัง พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เกด... พี่...”
เอ่ยได้เท่านั้น เธอก็ผวาเข้ากอดการะเกดแน่น สะอื้นฮักออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนเธอจะพร่ำพูดระบายความรู้สึกอะไรอีกหลายอย่าง ทว่าหญิงสาวที่กอดเธอตอบและพยามปลอบประโลมไม่อาจได้ยิน และนึกเจ็บใจขึ้นมาแวบหนึ่งที่ตัวเองเป็นคนหูหนวก ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้มากไปกว่านี้
ไม่ใช่ว่าช่างภาพสาวจะไม่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก เพราะเธอรู้ดีว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ด้วยเธอเองก็เคยเคยตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับนารามาก่อน
ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หรือ PPD และชื่อยาคลายเครียดที่ นพ. กฤษฎีอธิบายให้เธอฟังแทบไม่ต่างจากโรคซึมเศร้าที่เธอเคยเป็นและย่ที่เธอเคยใช้ตอนที่เพิ่งสูญเสียการได้ยินเลย
ดังที่แพทย์นิติเวชบอก อดีตเพื่อนร่วมงานที่ลาออกจากบริษัทมานานแล้วรายนี้เกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดซ้ำอีกหลังจากคลอดน้องน้ำค้าง เพราะความกลัวว่าตนเองจะเป็นแม่ที่ดีไม่ได้ ไม่กล้าเลี้ยงลูก ทำให้ทิวากรต้องรับหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าของนารายิ่งรุนแรงมากขึ้น และในบางครั้ง คนเป็นแม่ก็อาจเอาความรู้สึกชิงชังตัวเองไปลงกับลูกแท้ ๆ ที่เธอคิดว่าเป็นต้นเหตุให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้าย
“พี่แนน ใจเย็น ๆ นะคะ” การะเกดเอ่ย คลายแขนออกจากหญิงสาวรุ่นพี่ที่เริ่มสงบลง และรับกระดาษเช็ดหน้าจากเธอมาซับน้ำตา “พี่แนนทานยาคลายเครียดหรือยัง... ทานหน่อยไหมคะ จะได้หลับสบาย”
ข้อเสนอนั้นทำให้นารามองเธอด้วยความตกตะลึง “เกดรู้เหรอ...”
“เห็นยาพี่แนนตกตอนทำเอกสารหล่นเมื่อวานน่ะค่ะ” เธอบอก แต่ละชื่อของผู้พบเห็นตัวจริงไว้ “เกดก็เคยทานยาตัวนี้ พี่แนนไม่ต้องตกใจ เกดไม่บอกใครหรอกค่ะ”
นักแปลสาวยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นยิ้มที่อมทุกข์อย่างยิ่งยวด “ขอบใจนะ แต่แทนที่จะเก็บเรื่องที่พี่ต้องกินยาเป็นความลับ เกดเก็บเรื่องที่พี่ไม่กินยาเป็นความลับจะดีกว่า เพราะพี่ไม่เคยกินยานี้เลยแม้แต่หนเดียว”
“พี่แนน” การะเกดอุทานเบา ๆ
“จริงจ้ะ... พี่ไม่เชื่อหมอเองละ พี่ไม่เชื่อที่หมอบอกพี่ว่ากินยานี้ระหว่างที่ให้นมลูกก็ไม่เป็นไร” ดวงตาของนาราที่จับจ้องยังใบหน้าของคู่สนทนาเหม่อลอย “แต่สิ่งที่พี่คิดว่าตัวเองทำเพื่อลูก คงจะผิดซะแล้วละ”
“พี่น่าจะกินซะตั้งแต่ตอนที่รู้สึกว่าตัวเองน่าจะบีบคอลูกให้ตายคามือแล้วก็ฆ่าตัวตายตามไป จะได้หมดเวรหมดกรรม ไม่เป็นภาระให้ใครทั้งแม่ทั้งลูก... พี่เคยคิดแบบนี้จริง ๆ”
(มีต่อนะคะ)
| จากคุณ |
:
ปิยะรักษ์
|
| เขียนเมื่อ |
:
วันแม่แห่งชาติ 53 23:23:42
|
|
|
|