มหกรรมวิทย์ 53 กับคำว่า "แม่"
|
|
มหกรรมวิทย์กับคำว่า “แม่” วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2553
วันนี้สัญญาว่าจะต้องพาเด็ก ๆ ไปงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ จัดโดย องค์การวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่ไบเทค กว่าจะทำอะไรเสร็จ ก็ไปถึงงานตอนประมาณเที่ยง เป็นงานที่จัดใหญ่โตเหมือนเคย เราไปกันทุกปี เหนื่อยทุกปี แต่รู้สึกว่าปีนี้จะเหนื่อยขาลากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเด็ก ๆ เริ่มเข้าใจความรู้ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น จึงมีความสนใจมากขึ้น
ตามรอยเด็กชายหม่อง พอไปถึงปุ๊บ ก็ไปหัดพับเครื่องบินร่อนกระดาษ เรื่องง่าย ๆ แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด นึกถึงเด็กชายหม่องที่ไปแข่งจนได้รางวัลที่ญี่ปุ่น เอามาเป็นแรงบันดาลใจ พี่ ๆ จะแจกกระดาษพร้อมสาธิตวิธีพับเพื่อให้เครื่องบินร่อนอยู่ในอากาศได้นานที่สุด ทุกอย่างต้องได้เหลี่ยมมุมตามหลักเรขาคณิต เพื่อให้บินได้ตามหลักเชิงกล เราพยายามเต็มที่ ทำตามทุกขึ้นตอนเป๊ะ พยายามพับเท่าไรก็ไม่เท่ากันซักกะมุม พอลองร่อน (จริง ๆ ไม่อยากใช้คำว่าร่อน ละอาย) แผ่นกระดาษที่เรียกว่า “เครื่องบินของรติ” พุ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว เหมือนอุกาบาตพุ่งชนโลกด้วยความเร็วสูง ความตั้งใจแรกที่เข้าบูธคือพับเสร็จจะสมัครเข้าแข่งร่อนในอากาศได้นานที่สุด ชิงเงินรางวัล 5000 บาท ความคิดนี้เป็นอันต้องล้มเลิก แต่ถ้าแข่งใครแตะพื้นก่อนมีหวังอย่างแน่นอน เลยชวนลูกไปเข้ากิจกรรมอย่างอื่นต่อ เพื่อจะได้ค้นพบอัจริยะภาพที่แท้จริงของพวกเราต่อไป มันคงยังไม่ใช่ทางของเราลูก
ห้องทดลองแสนสนุก ครอบครัวนักวิทย์ของเราจึงมุ่งหน้าไปที่บูธห้องทดลองวิทยาศาสตร์ มีกิจกรรมงานทดลองทั้งหมด 7 ฐาน แต่เราเลือกทดลอง 2 ฐาน คือการผลิต “สบู่ใสวัยปิ๊ง” และ “น้ำยาซักผ้า” เพราะคำนวณกันแล้วว่า พอทำเสร็จจะได้เอางานประดิษฐ์ไปใช้งานต่อที่บ้านได้ ก็ไปต่อคิวเพื่อรับบัตร
• เริ่มจากการผลิตสบู่ พี่ ๆ จากแผนกเภสัชกรรม เป็นผู้สาธิต ให้นำกลีซารีนมาละลายด้วยความร้อน ผสมน้ำหอม และอื่น ๆ (จำได้แค่นี้ memory เต็ม) เทใส่พิมพ์รูปสัตว์ทะเลใช้พิมพ์สำหรับทำน้ำแข็ง พอสบู่แข็งตัวก็บิดออกจากพิมพ์ มีการสอนการบรรจุหีบห่อด้วยนะ น่ารักอย่าบอกใคร สามารถผลิตเป็นของขวัญของฝากที่แสนประทับใจได้เลย ครอบครัวเรายิ้มแก้มปริว่า “ทำสำเร็จแล้ว มาถูกทางแล้ว” ภูมิใจอย่างแร่ง แต่ก็ไม่รู้จะภูมิใจเวอร์กันทำไม เพราะในห้องอีก 40 คนก็ทำสำเร็จเหมี้ยนพวกกูนี้แหละ
• ได้พบหนูวัน “นักวิทย์” ตัวน้อย พอได้สบู่กันคนละกล่อง ก็มาต่อคิวรับบัตรเข้าห้องทดลองผลิตน้ำยาซักผ้าต่อ ระหว่างต่อคิวรอเข้าห้องทดลองก็ได้เห็นเด็กผู้หญิงผอม ๆ แห้ง ๆ อายุประมาณ 7 ขวบ ใส่เสื้อยืดคอกลมสีแดง กางเกงขาสั้น หนีบรองเท้าแตะ เธอชื่อ “หนูวัน” ยืนรอเป็นคนแรก เธอเป็นเด็กช่างพูดไม่กลัวเกรงใครทั้งนั้น พอห้องเปิดครอบครัวเราก็เลือกนั่งโต๊ะแรกสุดเหมือนเคย ซึ่งก็เป็นโต๊ะเดียวกับหนูวัน นี่แหละ บนโต๊ะจะมีอุปกรณ์ทดลองเต็มตระกร้า พร้อมชามครึ่งวงกลมใบใหญ่วางตรงกลาง เจ้าหนูวันพอถึงโต๊ะก็รีบคว้าชามมากอดไว้ เพื่อแสดงว่า “เดี๋ยวฉันจะทำคนเดียว เข้าใจมั้ย” รติเลยชวนหนูวันคุย จึงรู้ความว่า หนูวันมาเดินงานวิทย์คนเดียว ตอนเช้าแม่มาส่งแล้วก็กลับไปขายของต่อ หนูวันมีอิสระท่องเที่ยวงานวิทย์ได้ทั้งวัน เย็น ๆ แม่ก็จะมารับ ไม่น่าเชื่อเด็กวัย 7 ขวบได้รับอิสรภาพเกินวัย ที่สำคัญหนูวันคุยเก่งม้าก รติเห็นว่าถ้าอยู่ร่วมโต๊ะเดียวกับหนูวันคงไม่ได้ทดลองแน่ เพราะหนูวันแสดงเจตนารมย์ชัดเจนว่า หนูเป็นจ่าฝูง รติเลยเรียกสมาชิกย้ายไปโต๊ะที่ว่างอยู่หลังหนูวัน ส่วนคู่สมรสเห็นว่าหนูวันจะอยู่คนเดียวเลยขอเป็นลูกมือหนูวันแทน
• การทดลองเริ่มแล้ว พี่ ๆ ทะยอยตวงน้ำร้อนจัดมาเทใส่ชามเพื่อให้เราได้ทำละลายสาร พอเทน้ำเดือดใส่อ่างก็ต้องใช้ตระกร้อคนให้ละลาย พี่ ๆ ประกาศว่าให้ผู้ปกครองช่วยทำให้เด็ก ๆ เพราะอันตรายเดี๋ยวชามคว่ำ แล้วก็หันมาทำเสียงเข้มข้นใส่คู่สมรส ประมาณมาให้ช่วยลูกคุณทำด้วยซึ่งหมายถึง ช่วยหนูวันคนหน่อย คู่สมรสได้แต่ทำหน้าเว่อ ๆ คิดในใจว่า เราสองคนคล้ายกันตรงไหน สีผิวเราสองคนแตกต่างกันเหมือนขนมปลากริมหวานกับเค็ม เสื้อผ้าก็มากันคนละเซ็ท เอาวะเพื่อความปลอดภัยของหนูวัน จึงขอหนูวันว่าลุงจะทำให้ หนูวันก็ไม่อิดออดเพราะพี่ ๆ บอกว่าให้ผู้ใหญ่ทำในขั้นตอนนี้ กวนกันอยู่สักพัก
• ระหว่างรอนั้น หนูวัน ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เลยหันไปคว้าเกลือซึ่งเป็นส่วนผสมที่จะต้องใส่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตขึ้นมารับประทาน ก็มันเบื่อนี่ช่วยไม่ได้ คู่สมรสได้เว่อเป็นครั้งที่สองในความเปรี้ยวซ่าของหนูวัน มองด้วยความรู้สึกเฮ้ย เฮ้ย นั่นมันส่วนผสมสำคัญที่จะทำให้สารละลายในชามกลายสภาพเป็นข้นหนืด หนูทานของลุงไป แล้วน้ำยาซักผ้าลุงจะเป็นยังไงเนี๊ยะ รติก็ช่วยกันห้ามการบริโภคเกลืออีกแรง เพราะไม่รู้ว่ามันสะอาดแค่ไหน หนูวันก็เชื่อเปลี่ยนจากหยิบกิน มาเป็นใช้นิ้วแตะ ๆ เอาเข้าปากแทน ถึงที่สุดพวกเราก็ได้น้ำยามากันหลายขวด คู่สมรสบอกด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ว่า “ไม่รู้ว่าน้ำยาของกลุ่มแกจะซักผ้าสะอาดหรือเปล่านะ เพราะเพื่อนร่วมงานเอาส่วนผสมไปกินซะนี่” แฮะ แฮะ
หลังจากนั้นครอบครัวเราก็เดินแวะอีกหลาย ๆ บูธ รวมถึงชอปปิ้งซื้อของด้วย เด็ก ๆ ก็เพลิดเพลินกับกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตลอดเส้นทาง เช่น พลังน้ำ แรงเสียดทาน นิติวิทยาศาสตร์ ซากดึกดำบรรพ์ได้โนเสาร์ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ เทคโนโลยีสำหรับคนพิการ พร้อมได้ทำบุญอ่านนิทานเพื่อบริจาคเสียงให้แก่เด็กตาบอดได้ฟัง ฯลฯ เดินจนเหนื่อยเราก็มาหยุดพักตรงบูธการทำเครื่องปั้นดินเผา
ศิลปะจากก้อนดินเหนียว • บูธนี้จะสอนให้เด็กรู้ว่าถ้วยชามที่เราใช้กันนี้ มันทำมาจากอะไร มีดินเหนียวให้เด็ก ๆ ได้ปั้นตามจินตนาการ เหมือนการปั้นดินน้ำมันนั่นแหละ ทางบูธจะจัดเป็นแคร่ไม้ไผ่ยาว ๆ และมีเก้าอี้เล็ก ๆ ให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองได้นั่งทำงานศิลปะกัน พอเราเดินเข้าไปนั่งก็ได้เห็นพ่อกะลูกสาววัย 4 ขวบใส่ชุดกระโปรงเหมือนเจ้าหญิง กำลังปั้นกันอยู่ คุณพ่อกำลังปั้นไดโนเสาร์พันธุ์ไทรเซอราทอป ส่วนลูกสาวปั้นอะไรไม่สามารถ identify ได้ ปั้นได้สักพักสองพ่อลูกก็เดินหายไปไหนไม่รู้ รติเลยเข้าไปนั่งตรงที่เจ้าหญิงน้อยนั่งเมื่อตะกี้แทน พอนั่งปุ๊บก็เอาก้อนดินเหนียวตรงหน้ามาปั้นเป็นน้องควาย เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมีเขาและมีขา เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว อยู่ ๆ เจ้าหญิงน้อยกับคุณพ่อก็เดินกลับมา หนูน้อยเริ่มโวยวาย ใครเอาแรคคูนมีหนวดของหนูไป หนูปั้นวางไว้ตรงนี้... ฮ้า อะไรนะ รติเริ่มตกใจ ตรงนี้ ???? ไอ้ก้อนดินขยุ้กขยุ้ย นั่นเหรอที่เรียกว่าแรคคูนมีหนวด หนูน้อยเริ่มงอแงมากขึ้น “หนูวางตรงนี้จริง ๆ” รติรู้สึกผิดอย่างแร่งที่เอาแรคคูนมีหนวดของหนูมาแปรสภาพเป็นควายเสียแล้ว จะสารภาพก็ไม่กล้า ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย พร้อมแสดงตนเป็นแม่พระ “ไม่เป็นไรนะค่ะ เดี๋ยวป้าช่วยปั้นให้ใหม่ดีมั้ยค่ะ” พ่อแม่เด็กก็ได้แต่ปลอบโอ้โลมปฏิโลม “เอางี้” คุณพ่อบอก “หนูเอาไดโนเสาร์พ่อกลับบ้านแทนก็แล้วกัน” เจ้าหญิงน้อยก็ยอมแต่โดยดี พ่อแม่ลูกก็จากไปอย่างมีความสุข
• ทิ้งไว้แต่รติรส ที่อยู่ในสภาพงง ๆ ว่าไอ้ก้อนดินกำ ๆ ก้อน ๆ นี่เหรอที่หนูบอกว่าเป็นแรคคูน แถมมีหนวดด้วย ช่างกล้า ดีนะที่ไม่บอก detail ไปมากกว่านี้ ว่าเจ้าแรคคูนมีหนวด ยืนสองขากำลังกินผลวอลนัทอยู่ “เฮ้อตูจะบ้า ทำไมถึงได้ตาต่ำอย่างนี้ มองไม่เห็นศิลปะจากก้อนดินตรงหน้า ศิลปะของหนูมัน abstract มาก ๆ สงสัยจะมาแนว impressionist ป้าตามไม่ทัน” เข้าใจคำว่า “แม่”
• พวกเราปั้นดินกันอยู่นาน เด็ก ๆ ก็ยังสนุกไม่หยุดจะไปกันต่อ แต่นี่มัน 6 โมงเย็นแล้ว ไม่เบื่อกันรึไง ตูที่เป็นแม่นี้ เหนื่อยจนขาลากแล้วเข้าใจมั้ย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ บอกลูกว่า เอางี้แม่นั่งรอตรงพื้นกลางงานนี้แหละ ไปชมให้เต็มที่เสร็จเมื่อไรวิ่งมาหาก็แล้วกัน ในใจคิดว่าคงอีกไม่นาน โอ้โฮ หายไปเป็นชั่วโมง นั่งรอที่พื้นจนเป็นเหน็บชา เบื่อแล้วนะ รอนานแล้วนะ ไม่เห็นมาซักที • พอมีเวลาอยู่กับตัวเองทำให้ย้อนกลับไปคิดชีวิตวัยเด็ก ที่พ่อแม่เรานั่งรอเราทำกิจกรรมเป็นวัน ๆ แต่เราไม่เคยคิดเลยแฮะว่ามันเหนื่อย เพราะตอนนั้นเราเป็นผู้รับ รับแต่ความสุขและความสนุกสนาน ทำให้เกิดปัญญาในจิตว่า ดูซิถึงวันนี้แม่ยังเป็นผู้ให้เราไม่เสื่อมคลายมา 40 กว่าปีแล้วนะ วันนี้แม่ส่งไม้ต่อ เพื่อให้เราดูแลลูกเราด้วยความอดทน จากผู้รับมาเป็นผู้ให้ เลยทำให้เกิดความเข้าใจนี่เองว่า เรายังให้ลูกไม่ถึงครึ่งทางของแม่เลย ต้องอดทนต่อไป และพยายามทำให้ถึงที่สุด ระหว่างที่ความคิดกำลังตกตะกอน ได้ยินเสียงรินากะน้องริน เรียกแม่มาแต่ไกล ก็เกิดความปิติอย่างยิ่งว่า “กูจะได้กลับบ้านแล้ว” กลับบ้านกันเถอะลูกนี่มันทุ่มกว่า ๆ แล้วนะ ยังไม่กลับ ลากแม่ไปดูสิ่งประดิษฐ์การกลิ้งของลูกบอล ICON “วิทยาศาสตร์มีคำตอบ”: “จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์” เอาก็เอาวะ แต่สักพักก็ได้กลับบ้านแล้ว เย้ “สุขสันต์วันแม่จ๊ะ สำหรับคนเป็นแม่ และคนที่เป็นลูกของแม่”
จากคุณ |
:
Ratis
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ส.ค. 53 19:57:55
A:125.25.95.215 X: TicketID:283682
|
|
|
|