Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ ๒ - บทที่ ๑๐ - ที่ที่ไม่ควรไป  

อ่านเนื้อหาภาค 1 ได้ที่นี่ครับ

http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=471973

เนื้อเรื่องต่อภาค 2

http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=623553

* * * * *

ขอบคุณคุณ Mnemosyne สำหรับกิฟท์นะครับ ^^

คุณ scottie - การออกจากวิถีกะหลั่วย่อมต้องใช้เวลาครับ ^^a

น้องแตม - แหะๆ จริงๆ บ้าเลือดเลยไปอยู่ทั้งเดือนน่ะ ตอนนั้นบอกว่าจะไป "ติดเกาะแชร์หอเพื่อน" แต่ยังไม่ได้บอกว่าติดเกาะนอกประเทศ ^^a

ถ้าเกรเนียอยู่สมัยนี้ อาจจะหายจากโรคไปแล้วก็ได้ แต่ก็ึคงมีหลายอย่างที่ค่อยๆ เยียวยาอีกเหมือนกัน

ส่วนกะหลั่วเริ่มสำนึก ดูลัสก็ต้องรอดูต่อไป หนูแอชก็ใสซื่อแบบพาเข้าใจผิดต่อไป ^^a

(ในป.ล. อ่านแล้วก็สงสัยเหมือนกัน ว่าถ้าจบเป็นหมอแล้ว ซานาจะยังลืมตัวอีกมั้ยนะ หรือจะหันไปไล่เบี้ยคนเรียกตัวเองว่าหมอฝึกหัดแทนซะงั้น ^^a )


* * * * *

บทที่ ๑๐
ที่ที่ไม่ควรไป


แสงสีแดงใกล้ลับเหลี่ยมเขา บอกว่าวันนี้กำลังจะหมดลงในไม่ช้า โดยไร้วี่แววของคนที่ดูลัสรอจะพบ

มีนักเดินทางและขบวนสินค้าเดินทางเข้าด่านยาร์ลาธบ้าง ทุกคนและทุกกลุ่มถูกองครักษ์ทั้งห้าในคราบทหารธรรมดาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุด จนดูเหมือนความละเอียดถี่ถ้วนนั้นจะเสียเปล่า

ชายหนุ่มพยายามบอกตนเอง...ยังมีเวลาอีกหลายวัน ใช่ว่าพวกมันจะไหวตัวแล้ว หรือไม่มุ่งหน้ามาทางนี้แต่แรก ต่อให้พวกมันอุตริไปทางอุลทูร์ ท่านพ่อย่อมเข้าใจความหมายของสารลับที่เขาส่งไปดีพอจะตรวจตราคนเข้าออกมณฑลให้รัดกุมเช่นกัน

กระนั้น ดูลัสกลับไม่อาจสลัดความกังวลอย่างประหลาดที่เกาะกุมใจในตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนมีใครกำลังคิดจะทำอะไรสักอย่าง และใครคนนั้นก็อยู่ใกล้ขนาดเพิ่งพบกันเมื่อเช้านี้เอง

ถ้าเด็กหนุ่มผมแดงทำได้ถึงขั้นหนีกลับมณฑลคนเดียวโดยไม่บอกบิดา ก่อนหน้าครอบครัวของอาเมียร์หายสาบสูญไปไม่นาน ดูลัสเชื่อว่ามันจะยิ่งทำได้มากกว่านั้น เพื่อช่วยเจ้าคนทรายที่มันนับถือเยี่ยงอาจารย์

อย่างแรกที่มันควรทำ คือเตือนอาเมียร์ไม่ให้เข้ามาทางด่านนี้ และหากทำไม่ได้ ก็เดินทางออกไปสมทบกันนอกยาร์ลาธเสียก่อน

เขาคำนวณเวลา เดินทางโดยเรือเดินทะเลจากเคนมารา เมืองหลวงของยาร์ลาธ ไปถึงเมอร์คาห์ก็ยังช้าไป ทางที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดคือผ่านด่านทางบก ซึ่งพวกเขาเฝ้าอยู่

รูอาร์คย่อมไม่โง่ขนาดเดินทางมาอย่างเปิดเผยให้ดูลัสรู้ตัว หรือแหกด่านให้เป็นเรื่องใหญ่ ครั้นจะเสี่ยงเดินทางข้ามแดนทางป่าและภูเขากันดาร ก็ยากลำบากและเสียเวลา ดังนั้นเหลือแค่ทางเดียว

ปลอมตัวหรือซ่อนตัว ลักลอบผ่านด่าน

ดูลัสจึงตัดสินใจตรวจค้นคนเดินทางออกจากยาร์ลาธอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกัน ต่อให้ทั้งนายด่าน ทหารคนอื่นๆ ไปจนถึงราชองครักษ์ด้วยกันดูจะประหลาดใจ และไม่เห็นด้วย

นายด่านถึงกับเปรยลอยๆ ให้เขาได้ยิน ว่า “ยังดีที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล” หรือ “ทหารคลังแสงนี่ช่างเอาการเอางานดีจริง” เหมือนจะประชดกลายๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังทำเป็นหูทวนลมตามเดิม

จนตกเย็น ด่านจึงได้ต้อนรับคนเดินทางออกจากมณฑลอันแปลกประหลาดกว่ารายอื่นๆ

คนกลุ่มนั้นมากับรถม้าปิดม่านหรูหรา ทาสีเหล้าองุ่นโดดเด่น ดูลัสเดาว่าคงเป็นรถของพวกเศรษฐี หรือขุนนางระดับล่างถึงกลางซึ่งช่างอวดฐานะ แต่ทหารคนอื่นๆ ของด่านดูเหมือนจะรู้ดีกว่านั้น

“นั่นรถของ ‘คุณหญิงแมฟ’” นายด่านบอก “นางไม่ชอบเรื่องจุกจิกจู้จี้ ไม่ต้องตรวจให้มากความหรอก”

“คุณหญิงเป็นภรรยาของขุนนางท่านไหนในยาร์ลาธหรือขอรับ” ชายหนุ่มตั้งคำถาม

“ภรรยา...อือม์...จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่ไม่ถูกเสียทีเดียว” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “นางคบหากับขุนนางน่ะ ไม่ใช่คนเดียว ไม่ได้แต่งงาน แต่ได้ค่าเลี้ยงดูเป็นกอบเป็นกำ จนร่ำรวยเป็นที่ยอมรับในบรรดาคนชั้นสูงของยาร์ลาธ พูดเท่านี้เจ้าคงเดาได้”

“นางคบกับ...ใครในครอบครัวท่านเจ้ามณฑลด้วยหรือเปล่าขอรับ”

“ท่านเจ้ามณฑลต้องรู้จักนางอยู่แล้ว แต่คงไม่ใช่ ‘เพื่อนชาย’ ของนางหรอก เพราะไม่เคยมีข่าวเรื่องท่านกับนางเลย ว่าแต่ถามทำไม”

“ข้าแค่อยากทราบขอรับ” ดูลัสตอบเรียบๆ ไม่ให้มีพิรุธ “แต่เรื่องตรวจตรา ก็ต้องทำไปตามหน้าที่”

นายด่านเริ่มมีสีหน้าระอา

“เพื่ออะไร เจ้าเห็นด่านเราทำงานหละหลวมนักรึ ข้ารู้ว่าย้ายมาทำงานที่ใหม่เป็นวันแรกคงทำให้คนหนุ่มไฟแรงอยู่เฉยไม่ได้ แต่นี่มันเกินไป”

ชายหนุ่มไม่ตอบให้มากควาน เพียงเดินไปโบกมือเป็นสัญญาณให้รถม้าคันนั้นหยุด สารถีผู้ขับรถแต่งกายเรียบร้อยด้วยชุดแบบข้ารับใช้ขุนนาง ไม่ใช่เด็กหนุ่มผมแดงที่เขาระแวง เด็กรับใช้ชายเพิ่งเข้าวัยรุ่นที่นั่งอยู่ท้ายรถม้าก็ไม่ใช่เช่นกัน ทว่าเขายังไม่อาจวางใจ...เมื่อเห็นหีบเสื้อผ้าใบใหญ่ขนาดผู้ชายที่โตแล้วขดตัวนั่งลงไปได้สบาย ซึ่งผูกติดกับที่วางสัมภาระหลังรถม้าอย่างแน่นหนา

ดูลัสเคาะประตูรถม้า ม่านติดระบายลูกไม้ถูกรวบไปด้านข้าง เผยใบหน้าของหญิงสาวรุ่นใหญ่ซึ่งบรรจงแต่งอย่างงดงาม และเรือนผมที่เกล้าอย่างประณีต ชายหนุ่มมองผ่านเธอไป เห็นว่าในรถมีหญิงหน้าตาเรียบๆ แต่งกายแบบสาวใช้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกคน

“มีอะไรหรือ” สตรีที่เขาเข้าใจว่าเป็นคุณหญิงแมฟถามด้วยเสียงค่อนข้างทุ้ม

“ขออนุญาตตรวจค้นสัมภาระและรถม้า ตามกฎของด่านขอรับ”

คิ้วที่กันไว้เรียวบางเลิกขึ้นน้อยๆ

“อะไรกัน ข้าเดินทางไปมาเมืองหลวงหลายครั้งแล้ว ยังไม่เห็นต้องตรวจค้นเลย”

“พวกเราได้รับคำสั่งให้บังคับใช้กฎเข้มงวดขึ้นขอรับ”

‘คุณหญิงแมฟ’ มีท่าทางลำบากใจ

“ในหีบมีแต่เสื้อผ้าข้าวของส่วนตัวของผู้หญิงทั้งนั้น ท่านเจ้าหน้าที่ก็น่าจะทราบ ว่าให้ผู้ชายมาดูของพวกนี้ มันน่าอายขนาดไหน”

“ข้าต้องทำตามหน้าที่ขอรับ ขออภัยด้วย” ดูลัสยืนกราน

เขาอดไม่ได้ที่จะดูแคลนหญิงคนพูดในใจ เธอมีหน้ามาอับอาย...หากทหารชายตรวจดูเครื่องใช้ส่วนตัวตามหน้าที่ ทั้งๆ ที่อาชีพของเธอเปิดเผยเรือนร่างต่อชายระดับสูง จนไม่เหลืออะไรให้ปิดบังยิ่งกว่าเสียอีก

"เอาเถอะ" หญิงสาวชะโงกหน้าไปทางเด็กรับใช้ท้ายรถ "เอาหีบลงมาให้พวกเจ้าหน้าที่เขาไป"

เด็กชายกระวีกระวาดแก้เชือกที่มัดหีบไว้กับที่ ดูลัสโบกมือให้เพื่อนร่วมงานของตนเข้าไปช่วยแบกหีบด้วยกัน จนกระทั่งหีบไม้ใบใหญ่ลงมาวางอยู่บนพื้นเรียบร้อย

เมื่อนั้น คุณหญิงแมฟจึงสั่งให้สาวใช้ส่งกุญแจหีบให้เขา แล้วก็นั่งรอเงียบอยู่

ดูลัสไขกุญแจเปิดหีบด้วยตนเอง ก่อนจะตรวจตราข้าวของภายใน ซึ่งประกอบด้วยชุดผ้าไหมหลายชุดพับซ้อนกัน รวมทั้งหีบเครื่องประดับและพัดหุ้มขอบลูกไม้ ราวกับจะไปร่วมงานเลี้ยงใหญ่ที่ใดสักแห่ง ชายหนุ่มกดเสื้อผ้าที่วางไว้เป็นตั้ง อีกทั้งล้วงลงไปในหีบให้แน่ใจว่าไม่มีคนซ่อนอยู่ แล้วจึงตัดสินใจว่าจะพอ

"ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือขอรับ" เขาเอ่ยกับเจ้าของรถม้าพร้อมกับส่งกุญแจคืนให้ ขณะที่ทหารคนอื่นๆ กับเด็กรับใช้ช่วยกันนำหีบเสื้อผ้ากลับขึ้นท้ายรถตามเดิม

"ข้าไปได้แล้วใช่ไหม"

"ขออภัย ต้องขออนุญาตตรวจค้นภายในรถด้วยขอรับ"

คุณหญิงแต่ในฉายาขมวดคิ้วอีกครั้ง

"ท่านเจ้าหน้าที่ ท่านเกรงว่าข้าขนอะไรออกนอกด่าน ทองเถื่อนหรือสินค้าต้องห้ามหรือ"

"หามิได้ เราแค่ตรวจตามคำสั่งใหม่ของด่าน ขอให้พวกท่านลงจากรถม้าให้หมดด้วยขอรับ"

หญิงบนรถกลอกตา แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็โบกมือให้หญิงรับใช้เปิดประตู และลงมารอรับเธอ

กระทั่งในยามเดินทาง สาวใหญ่ก็ยังแต่งกายเหมือนจะให้หรูหราเฉิดฉายที่สุด กลิ่นน้ำหอมแรงโชยเข้าจมูกของดูลัสแต่ไกลจากที่ที่เธอยืนอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเธอโบกพัดผ้าไหมขลิบลูกไม้ในมือราวกับอากาศร้อนเต็มประดา เขาได้แต่รักษาสีหน้าให้เรียบเฉยขณะมองดูรถม้าว่างเปล่า มีเพียงเบาะนั่งหุ้มผ้าไหมปักลายอยู่สองฝั่ง

"ขออนุญาตขึ้นไปตรวจบนรถม้าขอรับ" ชายหนุ่มพูด แล้วก็ก้าวขึ้นไปโดยไม่รอคำตอบ เขาตรงเข้าไปตบเบาะผ้าไหมฟังเสียง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่าเบาะที่นั่งสองด้านส่งเสียงไม่เหมือนกัน

...มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่า...

ดูลัสยกเบาะด้านที่เขารู้สึกว่าน่าสงสัย พบว่าข้างล่างเป็นเพียงพื้นไม้กระดานตอกตะปูแน่นหนาสำหรับวางเบาะทับ เขาลองเคาะเนื้อไม้ ฟังเสียงข้างใน แล้วก็หันไปยกเบาะอีกด้าน พบว่าใต้นั้นเป็นพื้นไม้เช่นกัน...ทว่าเสียงต่างกัน

เบาะด้านหน้าซึ่งเขาสงสัยแต่แรกมีเสียงโปร่งกว่า เหมือนเป็นช่วงกลวงที่ใส่บางสิ่งได้ แต่พอนึกถึงโครงสร้างของรถม้า เขาก็คิดว่าเป็นเพราะเบาะด้านหน้ามีช่องข้างล่างเชื่อมกับใต้ที่นั่งคนขับรถม้า จึงได้มีเสียงต่างกัน

อย่างไรก็ดี ดูลัสตระหนักว่าตนไม่อาจตรวจค้นถึงขั้นขอให้รื้อรถม้าของอีกฝ่ายลงได้เด็ดขาด

"ข้างหลังมีขบวนสินค้ารออยู่อีกสอง รีบทำเวลาหน่อยก็ดี" นายด่านพูดให้เขาได้ยิน

เจ้าเด็กผมแดงนั่นจะยอมทำถึงขนาดซ่อนตัวใต้เบาะ แล้วตอกตะปูตอกปิดตายตัวเองเอาไว้เชียวหรือ

...คงไม่กระมัง

ราชองครักษ์หนุ่มคิด แล้วก็วางเบาะลงที่เดิม ก่อนจะลงจากรถแล้วค้อมศีรษะน้อยๆ คำนับผู้เป็นเจ้าของ

"ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือขอรับ เชิญพวกท่านผ่านไปได้"

คุณหญิงแมฟไม่พูดอะไรเลย ขณะยกชายกระโปรงเดินผ่านหน้าเขากลับไปขึ้นรถตามเดิม ตามมาด้วยสาวใช้ และไม่นานรถของเธอก็แล่นผ่านด่านไป

นายด่านโคลงศีรษะอย่างระอา ขณะที่ดูลัสหันไปสนใจขบวนเดินทางผ่านด่านอีกขบวน ซึ่งเป็นรถขนฟางที่ดูน่าสงสัยไม่น้อยไปกว่ากัน

* * * * *

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 09:34:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com